

ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันโจทก์แยกไปอยู่กับมารดาของโจทก์โดยยกทรัพย์สินและบ้านให้จำเลยทั้งหมดปล่อยให้จำเลยอยู่ที่บ้านดังกล่าวกับบุตรตามลำพังโจทก์มิได้เคยส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูเยี่ยงสามีภรรยาและบิดามารดากับบุตรที่ดินที่ปลูกบ้านเป็นของบุคคลอื่นซึ่งต้องการที่ดินคืนโจทก์มิได้ไปมาหาสู่จำเลยการที่จำเลยขายบ้านหลังนี้ไปโดยพลการมิได้ปรึกษาหารือโจทก์โดยจำเลยมีเหตุจำเป็นดังกล่าวและเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยแล้วจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภรรยากันอย่างร้ายแรงโจทก์จะยกเอาเป็นข้ออ้างเป็นเหตุในการฟ้องหย่าจำเลยหาได้ไม่. โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าโจทก์ทนอยู่กับจำเลยต่อมาจนถึงปีพ.ศ.2511โจทก์จึงแยกไปอยู่ที่อื่นโดยยอมยกทรัพย์สินและบ้านเรือนทั้งหมดให้จำเลยแล้วมิได้ติดต่ออยู่กินกันอีกเลยและจากนั้นโจทก์บรรยายฟ้องถึงจำเลยนำบ้านไปขายโดยพลการโจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าหลังจากแยกกันอยู่แล้วจำเลยตามไปรังควานโจทก์ฉะนั้นการที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยไปทำลายประตูบ้านโจทก์และเอาอุจจาระไปป้ายที่นอนของโจทก์จึงเป็นการสืบนอกฟ้องศาลฎีกานำมาวินิจฉัยเป็นเหตุหย่าให้โจทก์ไม่ได้. โจทก์เป็นคนชอบดื่มสุราและเจ้าชู้การที่จำเลยรู้เรื่องราวจากภายนอกแล้วนำมาต่อว่าโจทก์เป็นครั้งคราวจริงบ้างไม่จริงบ้างแล้วทะเลาะกันเช่นนี้โจทก์มีส่วนเป็นผู้ก่อเหตุอยู่บ้างการที่จำเลยต่อว่าถึงเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ภรรยามีความรักสามีโจทก์อยู่ในฐานะที่จะป้องกันเหตุเหล่านี้มิให้เกิดขึ้นได้โดยการละเว้นความประพฤติดังกล่าวก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะหึงหวงโจทก์ต้องทะเลาะกันดังนั้นการกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้ประพฤติชั่วอันทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงหรือได้รับความดูถูกเกลียดชังหรือได้รับความเดือดร้อนจนเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าจำเลยได้. โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลย จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรด้วยกัน 5 คน จำเลย เป็นคนขี้หึง และปากร้าย ได้ทะเลาะด่าว่าล่วงเกิน โจทก์และ บิดาโจทก์ เนืองๆ เพื่อ ให้ โจทก์ได้ รับความอับอายโดยมิได้ให้เกียรติโจทก์ และบิดามารดา โจทก์ ออกปากขับไล่โจทก์ตลอดมาจนถึง พ.ศ. 2511 โจทก์แยกไปอยู่ที่อื่น โดยยอมยกทรัพย์สินและบ้านเรือนให้จำเลยทั้งหมดแล้ว มิได้ติดต่ออยู่กินกันจนบัดนี้ ภายหลังจำเลยได้ขายบ้านที่ร่วมกันปลูกในที่ดินที่เช่านั้นไป และ อพยพ ไปอยู่ที่อื่น พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาต่อโจทก์อย่างร้ายแรง ขอให้ศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน จำเลย ให้การว่า จำเลยมิได้ประพฤติชั่วไม่เคยหมิ่นประมาท หรือเหยียดหยามบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์มีภรรยาใหม่ และจงใจละทิ้งร้างจำเลย โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงไม่ให้ความช่วยเหลือ อุปการะ เลี้ยงดูจำเลย และบุตรทำให้จำเลยลำบากในการดำรงชีพ ประกอบเจ้าของที่ดินต้องการที่ดินคืน จำเลยจึงต้องขายบ้านเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูบุตร ศาลชั้นตน เห็นว่า ฟ้องโจทก์ เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ การที่จำเลยขายบ้าน ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากัน ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยได้ รังควานโจทก์จึงไม่มีประเด็นที่ จะนำสืบพิพากษายืน โจทก์ ฎีกา ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่า การขายบ้านหลัง โรงพยาบาล โพธาราม ที่จำเลยอยู่อาศัยไปโดยพลการถือว่า จำเลยกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิที่หย่า กับ จำเลย ได้นั้น ในปัญหานี้ ได้ความตามคำฟ้องของ โจทก์ว่า' โจทก์ทนอยู่กับจำเลยจน ถึง พ.ศ. 2511 โจทก์จึงแยกไปอยู่ที่อื่น โดยยอมยกทรัพย์ทรัพย์สิน และบ้านให้จำเลยทั้งหมด' ประกอบกับ ตามข้อนำสืบของโจทก์ และ จำเลย ฟัง ได้ว่า หลังจากโจทก์แยกไปอยู่กับมารดาของโจทก์แล้วคงปล่อยให้จำเลยอยู่บ้านหลัง โรงพยาบาลโพธารามพร้อมกับบุตรตามลำพัง ทั้งปรากฏว่าโจทก์มิได้เคยส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตรเยี่ยงสามีภรรยา และบิดามารดากับ บุตร นอกจากนี้ยังปรากฏอีกว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเป็นที่ดินของคนอื่น ซึ่งต้องการที่ดินคืน โจทก์มิได้ไปมาหาสู่จำเลย จำเลยได้ขายบ้านหลังนี้ไปโดยพลการ มิได้ปรึกษาหารือโจทก์ โดยจำเลยมีเหตุจำเป็นดังกล่าวข้างต้น และเป็น ทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลย เป็นการกระทำตนที่เป็นปฏิปักต์ต่อการที่เป็นสามีหรือภรรยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จะยกเอาเป็นข้ออ้าง เป็นเหตุในการฟ้องหย่า จำเลยหาได้ไม่ ที่โจทก์ ฎีกาว่า โจทก์นำสืบว่าหลังจากโจทก์แยกกันไปอยู่ที่อื่นแล้ว จำเลยตามไปรังควานโจทก์อีกไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนั้น ศาลฎีกา ตรวจฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าโจทก์ทนอยู่กับจำเลย ต่อมาจน ถึงปี พ.ศ. 2511 โจทก์จึงแยกไปอยู่ที่อื่น โดยยอมยกทรัพย์สิน และ บ้านเรือนทั้งหมดให้จำเลยแล้วมิได้ติดต่ออยู่กินกันอีกเลย และจากนั้นโจทก์ก็บรรยายฟ้องถึงจำเลยนำบ้านไปขายโดยพลการ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่า หลังจากแยกกันอยู่แล้ว จำเลยตามไปรังควานโจทก์แต่ประการใด ฉะนั้นการที่โจทก์ นำสืบว่า จำเลยตามไปทำลายประตูบ้านโจทก์ และเอาอุจจาระไปป้ายที่นอนของโจทก์จึงเป็นการสืบนอกฟ้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจนำมา วินิจฉัยว่าเป็นเหตุหย่าให้โจทก์ได้ โจทก์ ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า นาย ทวีศักดิ์ พยานจำเลยเอง เบิกความว่า 'จำเลยเป็นคนขี้หึง พอได้ข่าวมาก็โวยวายบางครั้งบางคราว จะจริงหรือไม่จริงก็ทะเลาะกันจึงเป็น เหตุหย่าได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ยอมรับว่า โจทก์ได้พาหญิงอื่นมาอยู่ร่วม ฉันสามีภรรยา กับโจทก์ ดังนั้นข้อเท็จจริง จึงน่าเชื่อตามที่จำเลย นำสืบว่า โจทก์เป็นคนชอบดื่มสุราและ เป็นคนเจ้าชู้ ชอบติดพันหญิงอื่นฐานชู้สาว การที่จำเลยได้ไปรู้เรื่องราวจากภายนอกแล้ว จำเลยได้นำมาต่อว่า โจทก์เป็นครั้งคราว จริงบ้างไม่จริงบ้าง แล้วทะเลาะกัน เช่นนี้ เห็นว่าโจทก์มีส่วนเป็นผู้ก่อเหตุอยู่บ้าง การที่จำเลยต่อว่าต่อขานถึงเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ภรรยามีความรักต่อสามี โจทก์อยู่ในฐานะที่จะป้องกันเหตุเหล่านี้ มิให้เกิดขึ้นโดยการละเว้น ความประพฤติดังกล่าวข้างต้นก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะหึงหวงโจทก์จนต้องทะเลาะกัน ดังนั้น การกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขั้น จำเลยเป็นผู้ประพฤติชั่วอันทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือได้รับ ความดูถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายเดือดร้อนจนเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2529)
|