ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม

การเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง

สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในระยะเวลา 20 ปี จำเลยจะร่วมเพศกับโจทก์ทุกวันแทบไม่มีวันหยุด หากโจทก์ไม่ยินยอมร่วมเพศ จำเลยก็จะเรียกบุตรแต่ละคนมานั่งฟังคำด่า จนโจทก์ต้องยินยอมให้จำเลยร่วมเพศ ต่อมาโจทก์ปวดท้องเพราะมดลูกอักเสบ จำเลยทราบเรื่องดี จำเลยยังคงร่วมเพศกับโจทก์อีก จนโจทก์ทนพฤติกรรมของจำเลยไม่ได้ต้องหนีออกจากบ้านหลายครั้ง จนบุตรต้องขอร้องให้กลับไปอยู่กับจำเลยโดยจำเลยรับปากว่าจะไม่มีพฤติกรรมทางเพศดังกล่าวอีก แต่จำเลยคงมีพฤติกรรมเช่นเดิม

โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาต้องอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาซึ่งจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้าง แต่การร่วมประเวณีแต่ละครั้งต้องเกิดจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมพร้อมใจอีกฝ่ายก็จะบังคับหาได้ไม่ หากขืนใจก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ได้ การที่จำเลยเรียกบุตรผู้เยาว์มาฟังคำด่าจนโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณีก็เพื่อให้บุตรผู้เยาว์ได้พักผ่อน เช่นนี้จะถือว่าจำเลยยินยอมพร้อมใจที่จะร่วมประเวณีกับจำเลยหาได้ไม่ การที่โจทก์มดลูกอักเสบจากการร่วมประเวณีของจำเลย เมื่อจำเลยทราบก็ยังไม่หยุดร่วมประเวณีกับโจทก์ จนโจทก์ต้องหนีออกจากบ้านหลายครั้ง และเมื่อกลับมาอยู่กับจำเลยเนื่องจากบุตรช่วยเจรจาและจำเลยรับปากว่าจะไม่กระทำตามพฤติกรรมดังกล่าวจึงเป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงตาม มาตรา 1516 (6) ด้วย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2559

แม้โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1461 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้าง แต่การร่วมประเวณีต้องเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมก็ไม่อาจบังคับได้ หากขืนใจถือเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276

การที่จำเลยเรียกบุตรผู้เยาว์มาฟังคำด่าจนโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณีเพื่อให้บุตรผู้เยาว์ไปพักผ่อน เช่นนี้จะถือว่าโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณีไม่ได้ และการที่โจทก์มดลูกอักเสบจากการร่วมประเวณีของจำเลย จำเลยทราบแต่ไม่หยุดร่วมประเวณีกับโจทก์ จนโจทก์ต้องหนีออกจากบ้าน พฤติกรรมของจำเลยถือเป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) และยังถือเป็นพฤติการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6) ด้วย

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ 6 แปลง ที่เป็นสินสมรสให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าทดแทนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1525

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้จำเลยแบ่งสินสมรส ได้แก่ รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ หมายเลขทะเบียน วห 5127 กรุงเทพมหานคร ที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 23/7 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตามสำเนาโฉนดที่ดิน บ้านและที่ดินอีก 2 แปลง ที่ตำบลดอยลาน จังหวัดเชียงราย ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ น้ำหนักรวม 20 บาท ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยชำระเงิน 722,750 บาท แก่โจทก์ หากตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 ถึงวันพิพากษา (วันที่ 31 กรกฎาคม 2557) จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เท่าใดนำมาหักด้วย ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 15,000 บาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตยกเว้นบางส่วนในศาลชั้นต้น ให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์เฉพาะ ค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดี ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์และจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันขณะโจทก์อายุประมาณ 18 ปี (ประมาณปี 2528 จำเลยเป็นคนพิการขาข้างขวาขาดตั้งแต่ต้นขาเหนือเข่าต้องใส่ขาเทียม) ต่อมาจดทะเบียนสมรสกันภายหลังเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2533 มีบุตรก่อนจดทะเบียนสมรส 2 คนและหลังจดทะเบียนสมรส 1 คน คือนางสาว ก. นางสาว ร. และนางสาว ณ. ตามสำเนาทะเบียนการสมรส สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านบุตรทั้งสามระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน จำเลยร่วมประเวณีกับโจทก์เวลาประมาณ 19 นาฬิกา เกือบทุกวัน โดยในระหว่างที่บุตรเป็นผู้เยาว์ หากโจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณี จำเลยก็จะเรียกบุตรแต่ละคนมาฟังคำด่าของจำเลย จนโจทก์ยินยอม จำเลยจึงยอมให้บุตรไปพักผ่อน เมื่อปลายปี 2556 โจทก์ปวดท้องเนื่องจากมดลูกอักเสบ จำเลยทราบดี จำเลยก็ยังร่วมประเวณีกับโจทก์จนโจทก์ทนไม่ได้ต้องหนีออกจากบ้านไปหลายครั้ง บุตรได้ขอร้องให้โจทก์กลับมาอยู่กับจำเลย และจำเลยรับปากว่า จะไม่กระทำการดังกล่าวอีก เมื่อโจทก์กลับมาอยู่กับจำเลย แต่จำเลยยังคงมีพฤติกรรมเช่นเดิม จนครั้งสุดท้ายโจทก์หนีไปอยู่ที่อื่นไม่กลับไปอยู่กับจำเลยและได้ให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยขอหย่าและแบ่งสินสมรส ระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน โจทก์และจำเลยร่วมทำมาหากิน ที่ดินโฉนดเลขที่ 133476 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 50 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดิน พร้อมบ้านเลขที่ 23/7 ที่ดินโฉนดเลขที่ 134229 ถึง 134302 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 1 งาน, 1 งาน, 61 ตารางวา และ 50 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินโฉนดเลขที่ 81562 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 1 งาน ตามสำเนาโฉนดที่ดิน พร้อมตึกแถว 7 ห้อง และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลง ที่ตำบลดอยลาน จังหวัดเชียงราย พร้อมบ้านกับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ หมายเลขทะเบียน วห 5127 กรุงเทพมหานคร สลากออมสินของธนาคารออมสิน 100,000 บาท ตามสำเนาสลากออมสิน เงินประกันชีวิต 130,000 บาท ตามสำเนากรมธรรม์ประกันชีวิต รวมทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณ น้ำหนัก 20 บาท สร้อยคอและต่างหู กับสิทธิเรียกร้องหนี้จากนายปรีชา 540,000 บาท เป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โดยโฉนดที่ดินและทะเบียนรถยนต์มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ สลากออมสินถอนมาได้เงิน 105,500 บาท เงินประกันชีวิตได้รับมาแล้ว 120,000 บาท สร้อยคอและต่างหู ขายไปแล้วได้เงินมา 200,000 บาท และนายปรีชาชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องมาแล้ว 20,000 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับมา 445,500 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำขอแบ่งที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน พร้อมบ้านเลขที่ 23/7 จำเลยไม่อุทธรณ์จึงยุติ

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า มีเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยป่วยเป็นวัณโรค เบาหวานและถุงลมโป่งพองต้องรับประทานยาไม่สามารถร่วมเพศได้ทุกวัน จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ และในชั้นนำสืบพยานก็ไม่ได้นำสืบพยานไว้ เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบมาในศาลล่างทั้งสองต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ทั้งเอกสารแนบท้ายฎีกาหมายเลข 1 และหมายเลข 9 ดังกล่าว จำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายต้องห้ามมิให้รับฟัง ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) และมาตรา 88 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 นอกจากนี้ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่นำแพทย์ที่ตรวจรักษาโจทก์เกี่ยวกับมดลูกอักเสบ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มดลูกอักเสบนั้น โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเหตุมดลูกอักเสบ จำเลยไม่ให้การโต้แย้งถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง โดยโจทก์ไม่ต้องนำแพทย์มาเป็นพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 (3) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ระหว่างระยะเวลา 20 ปี ที่โจทก์จำเลยอยู่ด้วยกัน จำเลยจะร่วมเพศกับโจทก์ทุกวันแทบไม่มีวันหยุด โดยช่วงที่บุตรยังเป็นผู้เยาว์ หากโจทก์ไม่ยินยอมร่วมเพศ จำเลยก็จะเรียกบุตรแต่ละคนมานั่งฟังคำด่า จนโจทก์ต้องยินยอมให้จำเลยร่วมเพศ จำเลยจึงยอมให้บุตรไปนอนพักผ่อน จนกระทั่งปลายปี 2556 โจทก์ปวดท้องเพราะมดลูกอักเสบ จำเลยทราบเรื่องดี จำเลยยังคงร่วมเพศกับโจทก์อีก จนโจทก์ทนพฤติกรรมของจำเลยไม่ได้ต้องหนีออกจากบ้านหลายครั้ง ทุกครั้งบุตรต้องขอร้องให้กลับไปอยู่กับจำเลยโดยจำเลยรับปากว่าจะไม่มีพฤติกรรมทางเพศดังกล่าว โจทก์กลับไปอยู่กับจำเลย แต่จำเลยคงมีพฤติกรรมเช่นเดิมดังที่ศาลล่างวินิจฉัย เห็นว่า แม้โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาต้องอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้าง แต่การร่วมประเวณีแต่ละครั้งต้องเกิดจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมพร้อมใจอีกฝ่ายก็จะบังคับหาได้ไม่ หากขืนใจก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ได้ การที่จำเลยเรียกบุตรผู้เยาว์มาฟังคำด่าจนโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณีก็เพื่อให้บุตรผู้เยาว์ได้พักผ่อน เช่นนี้จะถือว่าจำเลยยินยอมพร้อมใจที่จะร่วมประเวณีกับจำเลยหาได้ไม่ การที่โจทก์มดลูกอักเสบจากการร่วมประเวณีของจำเลย เมื่อจำเลยทราบก็ยังไม่หยุดร่วมประเวณีกับโจทก์ จนโจทก์ต้องหนีออกจากบ้านหลายครั้ง และเมื่อกลับมาอยู่กับจำเลยเนื่องจากบุตรช่วยเจรจาและจำเลยรับปากว่าจะไม่กระทำตามพฤติกรรมดังกล่าว แต่จำเลยก็ยังคงผิดข้อตกลง เหตุที่โจทก์ไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นคดีอาญาก็เป็นสิทธิของโจทก์ พฤติกรรมของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าวจึงเป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงตาม มาตรา 1516 (6) ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่ามีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (3) มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยประการนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการที่สองว่า จำเลยต้องแบ่งเงินจากการขายสร้อยคอเพชรและต่างหูเพชรกับทองคำแท่งและทองรูปพรรณให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งเงินที่ขายสร้อยคอและต่างหูเพชร 200,000 บาท และแบ่งทองคำแท่งและทองรูปพรรณ น้ำหนัก 20 บาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยไม่อุทธรณ์ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ว่า ไม่มีเงินดังกล่าวและไม่มีทองคำแท่งกับทองรูปพรรณ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการที่สามว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน กับที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลง ตำบลดอยลาน จังหวัดเชียงราย พร้อมบ้านเป็นสินสมรสหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีเหตุหย่าตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่า ก็หาจำต้องพิจารณาเรื่องสินสมรส ประกอบกับโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จำเลยขายตึกแถวซึ่งจำเลยมีก่อนอยู่กินกับโจทก์ได้เงินมา 3,800,000 บาท นำเงินไปซื้อที่ดินที่บางโทรัด เงิน 3,800,000 บาท เป็นสินส่วนตัวหาใช่สินสมรส เมื่อนำไปซื้อทรัพย์ ทรัพย์นั้นจึงเป็นสินส่วนตัว ตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว ไม่ได้กล่าวถึงที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลงพร้อมบ้านข้างต้น นอกจากนี้ในชั้นสืบพยานจำเลยนั้น จำเลยก็นำสืบแต่เพียงว่าจำเลยนำเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินไปซื้อที่ดินที่บางโทรัด ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลงพร้อมบ้านไม่ใช่สินสมรส จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในส่วนที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลงพร้อมบ้าน คงมีปัญหาเฉพาะที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ว่าเป็นสินสมรสหรือไม่ จำเลยเบิกความว่า ที่ดินซึ่งตั้งอยู่ตำบลบางโทรัด อำเภอเมืองสมุทรสาคร นั้นจำเลยซื้อมาโดยเงินที่ได้จากการขายที่ดินส่วนตัวเป็นเงิน 3,800,000 บาท (ตามเอกสารแนบท้ายฎีกาที่โจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านคือที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 12429 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจำเลยได้มาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2526 และขายไปเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 ) โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า สำหรับที่ดินที่บางโทรัดนั้นจำเลยขายตึกที่จำเลยมีมาก่อนจะมาอยู่กินกับโจทก์ ได้เงินประมาณ 3,800,000 บาท นำไปซื้อที่ดินเปล่า 3 แปลงไม่ใช่ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน คำเบิกความของโจทก์จึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลย ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ได้มาเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2549 ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ได้มาวันที่ 13 มกราคม 2549 ส่วนตามสำเนาโฉนดที่ดินได้มา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 ซึ่งตามเอกสาร แนบท้ายฎีกาที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ส่วนที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน มีสิ่งปลูกสร้าง ระยะเวลาที่ได้ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน หลังจากที่โจทก์ขายที่ดินสินส่วนตัวไปเพียง 15 วัน 3 วัน 3 วัน และ 3 วันเท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปซื้อที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินทั้งสี่แปลงจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย สำหรับที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน มีสิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน ได้มาหลังจากจำเลยขายที่ดินสินส่วนตัวเป็นเวลา 1 ปีเศษ จำเลยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสินส่วนตัว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาในปัญหานี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยประการนี้ฟังขึ้นบางส่วน

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยต้องจ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด คดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าสมควรได้รับค่าทดแทนเพียงใด ทั้งคำฟ้องก็ไม่ได้บรรยายถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์สมควรได้ค่าตอบแทนเพียงใด คงแต่มีคำขอท้ายฟ้องว่าให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 1525 เท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนอันจะต้องชำระค่าขึ้นศาลมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ขาดสาระสำคัญแห่งคดีที่จะให้จำเลยรับผิดใช้ค่าทดแทน ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้ค่าทดแทนในส่วนนี้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าทดแทนจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ดังนั้นจำเลยไม่ต้องชำระค่าทดแทนตามที่ศาลล่างพิพากษา

อนึ่ง ทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์และฎีกามีไม่ถึง 4,000,000 บาท เนื่องจากศาลชั้นต้นยกคำขอที่ให้แบ่งที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน และให้แบ่งทองคำแท่งกับทองรูปพรรณเพียงน้ำหนัก 20 บาท กับแบ่งเงินที่ขายเครื่องเพชรเพียง 200,000 บาท (ฟ้องขอเป็นเงิน 325,000 บาท) จำเลยชำระค่าขึ้นศาลจากทุนทรัพย์ 4,000,000 บาท จึงเกินมา เห็นควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่ชำระเกินมาคือกึ่งหนึ่งของราคาที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน และกึ่งหนึ่งของราคาทองคำแท่งกับทองรูปพรรณน้ำหนัก 5 บาท กับค่าเครื่องเพชรกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 225,000 บาท นอกจากนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์เป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคสอง จึงไม่ต้องนำมาหักกับจำนวนเงินที่จำเลยต้องชำระตามคำพิพากษา

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้แบ่งที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ด้วยและจำเลยไม่ต้องชำระ ค่าทดแทนจำนวน 500,000 บาท สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยชำระให้โจทก์ไม่ต้องนำมาหักกับเงินที่ต้องชำระ 222,750 บาท คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาที่จำเลยชำระเกินมาแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาต้องอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาซึ่งจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้าง แต่การร่วมประเวณีแต่ละครั้งต้องเกิดจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมพร้อมใจอีกฝ่ายก็จะบังคับหาได้ไม่ หากขืนใจก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ได้ การที่โจทก์มดลูกอักเสบจากการร่วมประเวณีของจำเลยจนโจทก์ต้องหนีออกจากบ้านตามพฤติกรรมดังกล่าวจึงเป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงด้วย




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว article
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้ article
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
สามีโจทก์เข้าออกบ้านของจำเลยในเวลากลางคืนบ่อยครั้ง
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
เหตุฟ้องหย่าอ้างว่าใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังการหย่า
สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์หมดไปโจทก์ให้ความยินยอมและรู้เห็นเป็นใจ
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
คำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวด้วยดอกผลของสินสมรส
แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้
จดทะเบียนสมรสโดยต่างไม่ได้ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริง
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
ฟ้องหย่าคดีอยู่ระหว่างฎีกาฟ้องคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อน
สำนักงานการปฏิรูปฯ (ส.ป.ก.)ขอออกโฉนดโดยมิชอบ
พักโรงแรมห้องเดียวกับสามี ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้โดยไม่ต้องฟ้องหย่า
โจทก์ไม่ทราบแน่ชัดเรื่องชู้สาวจึงไม่เป็นการยินยอมและให้อภัยของโจทก์
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าว่าให้ที่ดินตกเป็นของบุตรเมื่อตายไม่ใช่พินัยกรรม
คดีฟ้องหย่าฟ้องชู้สาวไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้
การจดทะเบียนหย่าด้วยการแสดงเจตนาลวง
จดทะเบียนหย่าแล้วก็ฟ้องเรียกค่าทดแทนชู้สาวได้
ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ฟ้องหย่าขอแบ่งสินสมรส การจัดการสินสมรสที่เป็นเงินตรา(เงินสด)
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
การฟ้องและเรียกค่าทดแทนคดีครอบครัว
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง
เรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น(เมียน้อย), ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
การหย่าโดยความยินยอม, บันทึกเป็นหนังสือประสงค์หย่าขาด
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้