
| หย่า แบ่งสินสมรส, อำนาจปกครองบุตร, & คุ้มครองดอกผล (ฎีกา 10361/2557)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีครอบครัวที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย ขอแบ่งสินสมรส และขอให้ศาลกำหนดค่าเลี้ยงดูบุตร รวมทั้งมีประเด็นสำคัญในการขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวระหว่างพิจารณาเกี่ยวกับดอกผลของที่ดินพิพาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การสั่งให้จำเลยนำรายได้จากผลผลิตกึ่งหนึ่งมาวางศาล เป็นไปเพื่อคุ้มครองสิทธิในสินสมรสของคู่สมรสและไม่เกินกว่าคำขอในฟ้อง ถือเป็นการใช้มาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในการรักษาประโยชน์ของคู่ความ
ข้อเท็จจริงโดยสรุป 1. โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ขอแบ่งสินสมรส (ที่ดินสวนยาง 60 ไร่ + ที่ดินสวนปาล์ม 15 ไร่ + รถยนต์ 1 คัน) และขอให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท 2. ขอให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ 2 คนอยู่กับโจทก์ และกำหนดค่าเลี้ยงดูเดือนละ 5,000 บาทต่อคน 3. ศาลชั้นต้นพิพากษาตามฟ้อง ให้หย่า, แบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่ง, ให้โจทก์ได้อำนาจปกครองบุตร, กำหนดค่าเลี้ยงดู, และให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหาย 4. ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำบัญชีรายได้จากผลผลิต และนำรายได้กึ่งหนึ่งมาวางศาลทุกเดือน 5. จำเลยฎีกา อ้างว่าเป็นคำสั่งนอกประเด็น เกินกว่าคำขอในฟ้อง
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 เกี่ยวกับดอกผลทรัพย์สินพิพาทนั้นเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติให้คู่สมรสมีสิทธิได้รับดอกผลของสินสมรสร่วมกัน • หากไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โจทก์อาจเสียสิทธิในดอกผลสินสมรส จึงมีเหตุสมควรให้คุ้มครอง • คำสั่งดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการเกินกว่าคำขอหรือเป็นเรื่องนอกประเด็นตามที่จำเลยฎีกาอ้าง • พิพากษายืน คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ชอบด้วยกฎหมาย
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. สิทธิในสินสมรสและดอกผล o ตาม ป.พ.พ. มาตรา 148 คู่สมรสมีสิทธิได้รับดอกผลจากสินสมรสร่วมกัน o แม้คดียังไม่ถึงที่สุด แต่การสั่งให้วางเงินรายได้กึ่งหนึ่งไว้กับศาลถือเป็นการคุ้มครองสิทธิ ไม่ใช่การตัดสินคดีล่วงหน้า 2. คำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว o ศาลอาจสั่งเพื่อป้องกันความเสียหายแก่คู่ความในอนาคต o ไม่ถือว่าเป็นนอกประเด็น หากเกี่ยวพันโดยตรงกับสิทธิที่คู่ความฟ้องขอ 3. แนวทางการวินิจฉัยของศาลฎีกา o ยืนยันหลักการว่าคู่สมรสมีสิทธิในสินสมรสร่วมกันตั้งแต่เริ่มฟ้อง o การสั่งคุ้มครองเป็นกลไกป้องกันความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้หากคดีสิ้นสุด
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): การสั่งให้จำเลยนำรายได้จากผลผลิตของที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่งมาวางศาลระหว่างพิจารณา เป็นคำสั่งนอกประเด็นหรือเกินกว่าคำขอหรือไม่ Rule (หลักกฎหมาย): • ป.พ.พ. มาตรา 148: คู่สมรสมีสิทธิในดอกผลของสินสมรส • หลักการคุ้มครองชั่วคราว: ศาลสามารถสั่งเพื่อรักษาประโยชน์ของคู่ความได้ Application (การปรับใช้): • โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่ง รวมถึงสิทธิในดอกผล • หากไม่มีคำสั่งคุ้มครอง โจทก์อาจเสียหาย เพราะจำเลยได้รับผลผลิตฝ่ายเดียว • คำสั่งให้วางรายได้กึ่งหนึ่งไว้กับศาลจึงสอดคล้องกับสิทธิในสินสมรส Conclusion (ข้อสรุป): คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการเกินคำขอ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • สิทธิในสินสมรสไม่จำกัดเฉพาะตัวทรัพย์ แต่รวมถึงดอกผลที่เกิดขึ้นด้วย • ศาลมีอำนาจสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหายแก่คู่สมรส แม้คดียังไม่ถึงที่สุด • หลักการนี้ช่วยให้คู่สมรสที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างเป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10361/2557 โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากจำเลยที่ 1 และขอให้พิพากษาแบ่งสินสมรสแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งสินสมรสที่ดินสวนยางพาราพิพาทเนื้อที่ 60 ไร่ และที่ดินสวนปาล์มน้ำมันพิพาทเนื้อที่ 15 ไร่ แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว และศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำบัญชีดอกผลรายได้จากผลผลิตในที่ดินพิพาทเป็นรายเดือน แล้วนำเงินรายได้จากผลผลิตที่จะได้รับจำนวนกึ่งหนึ่งของทั้งหมดมาวางศาลเป็นรายเดือน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงเป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยดอกผลของทรัพย์พิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ซึ่งในที่สุดหากโจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับแบ่งดอกผลของทรัพย์ที่พิพาทดังกล่าวซึ่งเป็นสินสมรสได้ คำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวจึงหาเกินกว่าคำขอในคำฟ้อง อันเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 แบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่งแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่มีคำพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้นายอดิศักดิ์และเด็กชายชลสิทธิ์ บุตรผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง คนละ 5,000 บาท ต่อเดือน จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ 1 ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ คือ นายอดิศักดิ์และเด็กชายชลสิทธิ์ แต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยที่ 1 แบ่งสินสมรสที่ดินสวนยางพาราพิพาทเนื้อที่ 60 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านพักเลขที่ 139/2 หมู่ที่ 2 ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ดินสวนปาล์มน้ำมันพิพาทเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ หมู่ที่ 2 ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน กจ 9725 สุราษฎร์ธานี 1 คัน แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมแบ่งหรือแบ่งไม่ได้ให้แจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีนำสินสมรสดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้แบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะค่าเลี้ยงดูนายอดิศักดิ์และเด็กชายชลสิทธิ์ บุตรผู้เยาว์ทั้งสองคนละ 5,000 บาท ต่อเดือน และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนแก่โจทก์ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว มีคำสั่งว่า กรณีมีเหตุคุ้มครองชั่วคราวให้จำเลยที่ 1 ทำบัญชีดอกผลรายได้จากผลผลิตเป็นรายเดือน แล้วนำเงินรายได้จากผลผลิตที่จะได้รับจำนวนกึ่งหนึ่งของทั้งหมดมาวางศาลเป็นรายเดือน ตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า มีเหตุที่จะคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวให้แก่โจทก์ระหว่างการพิจารณาคดีชั้นอุทธรณ์ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้เสียหายและการยื่นคำขอของโจทก์เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้องเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นและมิใช่เพื่อบังคับตามคำพิพากษา ขอให้ศาลฎีกายกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 นั้น เห็นว่า คดีนี้นอกจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ยังฟ้องขอให้พิพากษาแบ่งสินสมรสแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งสินสมรสที่ดินสวนยางพาราพิพาทเนื้อที่ 60 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านพักเลขที่ 139/2 หมู่ที่ 2 ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ดินสวนปาล์มน้ำมันพิพาทเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ หมู่ที่ 2 ตำบลปากหมาก อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง เช่นนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำบัญชีดอกผลรายได้จากผลผลิตในที่ดินพิพาทเป็นรายเดือน แล้วนำเงินรายได้จากผลผลิตที่จะได้รับจำนวนกึ่งหนึ่งของทั้งหมดมาวางศาลเป็นรายเดือน ตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงเป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยดอกผลของทรัพย์ที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ซึ่งในที่สุดหากโจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการแบ่งดอกผลของทรัพย์ที่พิพาทดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนของสินสมรสเช่นกัน กรณีจึงอาจทำให้โจทก์เสียหายได้หากศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่มีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวระหว่างพิจารณา และหาใช่เป็นคำสั่งคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้องอันเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นและมิใช่เพื่อบังคับตามคำพิพากษาดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 มานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|





.jpg)
.jpg)
