

สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา เรียกให้"พ่อตา" มารับภรรยากลับไปแล้วอ้างเหตุหย่าว่าทิ้งร้างเกิน 1 ปี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4480/2553 จำเลยซึ่งเป็นภริยาย้ายออกจากบ้านพักของโจทก์ซึ่งเป็นแฟลตตำรวจไปอยู่บ้านที่อำเภอน้ำปาดเนื่องจากโจทก์บอกให้ย้ายไป โดยโจทก์โทรศัพท์แจ้งบิดาจำเลยให้มารับจำเลยไป ทั้งบ้านที่อำเภอน้ำปาดก็เป็นที่ดินของโจทก์และจำเลยอันเป็นสินสมรสร่วมกัน การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งร้างโจทก์ โจทก์จึงอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
จำเลยให้การว่า หลังจดทะเบียนสมรสกันแล้ว โจทก์จำเลยและบุตรผู้เยาว์ทั้งสองพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านเลขที่ 72/9 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อโจทก์ย้ายไปรับราชการที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำเลยและบุตรผู้เยาว์ยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าวตลอดมา จำเลยไม่ได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปตามฟ้อง พระเลี่ยมทอง (พระพุทธโกสัย) เป็นของหมั้นจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย จำเลยไม่ได้ประพฤติเสื่อมเสียอันเป็นเหตุให้ถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของจำเลยแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ให้โจทก์เป็นผู้ชดใช้หนี้สินระหว่างสมรสแต่เพียงผู้เดียว สินสมรส คือ รถจัรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนดาสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กบธ อุตรดิตถ์ 851 ยกให้นายศุภภักดี รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนดา สีดำ หมายเลขทะเบียน อุตรดิตถ์ ฉ 2881 ยกให้เด็กหญิงภักดิ์กมล บ้านเลขที่ 72/4 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และบ้านเลขที่ 11/1 หมู่ที่ 4 ตำบลแม้จั๊วะ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ยกให้นายศุภภักดิ์ และเด็กหญิงภักดิ์กมล คนละกึ่งหนึ่ง ให้โจทก์และจำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองร่วมกัน และให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูนายศุภภักดิ์เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท เด็กหญิงภักดิ์กมลเดือนละ 3,000 บาท จนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีตามที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยเพราะจำเลยทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี หรือไม่ เห็นว่า โจทก์จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงรับกันว่า ในขณะเกิดเหตุโจทก์กับจำเลยทะเลาะกันรุนแรงจนถึงขนาดโจทก์ตบตีจำเลยและจำเลยย้ายออกจากบ้านพักของโจทก์ที่เป็นแฟลตตำรวจ ตั้งอยู่ถนนศรีพนมมาศ ตำบลศรีพนมมาศ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ไปอยู่ที่บ้านตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยจำเลยพาเด็กหญิงภักดิ์กมล บุตรสาวของโจทก์และจำเลยไปอยู่ด้วย จนเป็นเหตุให้โจทก์อ้างเป็นเหตุหาว่าจำเลยละทิ้งร้างโจทก์เป็นคดีนั้น โจทก์จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงรับกันด้วยว่า การที่จำเลยย้ายออกจากบ้านพักแฟลตตำรวจไปอยู่ที่บ้านที่อำเภอน้ำปาดเป็นเพราะโจทก์บอกให้ย้ายไป โดยโจทก์โทรศัพท์แจ้งบิดาจำเลยให้มารับจำเลยไปและบ้านที่อำเภอน้ำปาดดังกล่าวนั้น ก็เป็นบ้านที่เป็นของโจทก์และจำเลยอันเป็นสินสมรสร่วมกัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งร้างโจทก์ โจทก์จึงอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าเมื่อโจทก์ฟ้องขอหย่ากับจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยกลับมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ดำเนินคดีแทน ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดปทุมธานีแผนกคดี เยาวชนและครอบครัว ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2547 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยว่าทนายจำเลยแถลงว่าจำเลยอยู่ต่างประเทศ ทนายจำเลยแจ้งถึงเหตุที่จำเลยต้องมาเบิกความด้วยตนเองตามระบบกระบวนการพิจารณาคดีให้จำเลยทราบและเข้าใจแล้ว จำเลยยืนยันว่าไม่สามารถมาเบิกความตามที่ทนายความแนะนำได้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏดังกล่าวแสดงให้เห็นพฤติการณ์ของจำเลยว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี นับตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเป็นปีที่โจทก์ขอให้จำเลยกลับมาอยู่กับโจทก์ที่ประเทศไทยเป็นต้นมา เพราะจำเลยประสงค์ที่จะทำงานอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไปโดยไม่สนใจที่จะกลับมาดูแลบุตรและอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับโจทก์อีกต่อไป โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4) เหตุฟ้องหย่าที่ควรทราบ : หากชายหรือหญิงจงใจละทิ้งร้างเกินกว่า 1 ปีเสียเอง ไม่สามารถฟ้องหย่าตามเหตุแห่งการฟ้องหย่านี้ได้ ฝ่ายที่จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ต้องเป็นฝ่ายที่ถูกทิ้งร้าง เป็นการจงใจทิ้งร้างสามีเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี
|