
| สรุปเหตุ หย่า ละทิ้งร้าง > สมัครใจแยกกันอยู่มาตรา 1516, ป.พ.พ. มาตรา 1516(4/2),
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีฟ้องหย่าโดยอาศัยเหตุ “จงใจละทิ้งร้าง” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า เมื่อฝ่ายหนึ่ง (โจทก์) เป็นฝ่ายแยกไปอยู่ที่อื่นโดยมีเหตุทะเลาะกับฝ่ายจำเลยเป็นสำคัญ และฝ่ายจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่ จึงไม่เข้าลักษณะของเหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่” ตามบัญญัติแห่งมาตรา 1516 (4/2) – ดังนั้น จึงไม่มีเหตุให้ฟ้องหย่าได้ตามกฎหมาย สรุปข้อเท็จจริง ในคดีนี้ คู่สมรสจดทะเบียนสมรสกันและอยู่กินด้วยกันในแฟลตของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2532 ถึง 2534 หลังจากนั้นเกิดเรื่องทะเลาะกันหลายครั้ง เนื่องจาก: • โจทก์มีหนี้สินนายบุญยุงค์ ในฐานะนายหน้า ซึ่งถูกจับกุมที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เพราะหนี้สินนั้น • โจทก์ยังนำที่ดินและบ้านในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจำเลยมีส่วนอยู่ด้วย ไปจํานองกับนายประยงค์ และต่อมาถูกบังคับจํานองขายทอดตลาด • ด้วยเหตุทะเลาะข้างต้น โจทก์จึงแยกไปพักอยู่ตามลำพังที่ทำงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยจำเลยไม่ได้สมัครใจอยู่แยกจากโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากจำเลย และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ส่วนจำเลยโต้แย้งว่า ยังมีความประสงค์จะอยู่ร่วมกันเป็นสามี-ภริยาต่อไป และโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะใช้อำนาจปกครองบุตร ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่าขาด และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว ส่วนศาลอุทธรณ์แก้เป็นให้ยกฟ้องเฉพาะข้อขอหย่า แต่คงให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร จากนั้นโจทก์ฎีกา และศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำวินิจฉัยว่า เหตุการณ์ที่โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายแยกไปอยู่เนื่องจากทะเลาะกับจำเลยนั้น “มีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ” และจำเลย “ไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์” ดังนั้นจึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจทิ้งร้างจำเลยไปฝ่ายเดียว ไม่ใช่กรณีของสามี-ภริยาที่สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุขเกินสาม ปี ตามมาตรา 1516 (4/2) จึงเห็นว่าโจทก์ไม่มีเหตุฟ้องหย่า และพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาใช้บทบัญญัติหลักจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) เป็นแก่นสำคัญของคดีนี้ เนื้อหาหลักของมาตรานี้กำหนด “เหตุฟ้องหย่า” ว่า “ถ้าสามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ และไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี อีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องหย่าได้” แต่ในคดีนี้ ศาลวินิจฉัยว่า ไม่เข้าเหตุ (4/2) เพราะการแยกกันอยู่เกิดจาก “การจงใจละทิ้งร้าง” ของฝ่ายหนึ่ง ไม่ใช่ “สมัครใจแยกกันอยู่” ของทั้งสองฝ่าย 🔹 กฎหมายที่ศาลฎีกาใช้วินิจฉัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) “สามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้” ศาลฎีกานำบทบัญญัตินี้มาใช้ตีความว่า “สมัครใจแยกกันอยู่” ต้องหมายถึงเจตนาของทั้งสองฝ่ายที่ยินยอมอยู่แยกกัน ไม่ใช่กรณีที่ฝ่ายหนึ่งทิ้งอีกฝ่ายไปโดยฝ่ายเดียวยังต้องการอยู่ร่วมกัน 🔸 5 คำสำคัญ (Key Words) ที่เป็นแก่นของคดีนี้ พร้อมขยายความสั้น ๆ 1️. สมัครใจแยกกันอยู่ (Voluntary Separation) คือ การที่ทั้งสามีและภริยามีเจตนาและความยินยอมตรงกันว่าจะอยู่แยกกันโดยถาวรเพราะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ➡️ ศาลชี้ว่าในคดีนี้ไม่เข้าลักษณะนี้ เพราะจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกจากโจทก์ 2️. จงใจละทิ้งร้าง หมายถึงการที่ฝ่ายหนึ่งแยกตัวออกจากการอยู่ร่วมกันโดยเจตนา และไม่ประสงค์จะกลับมาอยู่ร่วมกันอีก โดยอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอม ➡️ ศาลเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่าย “ละทิ้งร้าง” จำเลยไปฝ่ายเดียว จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่ 3️. มาตรา 1516 (4/2) เป็นบทบัญญัติหลักที่ศาลใช้พิจารณา โดยระบุชัดว่าการฟ้องหย่าต้องเกิดจาก “การสมัครใจแยกกันอยู่ของทั้งสองฝ่าย” ต่อเนื่องเกิน 3 ปี ➡️ ศาลตีความแยกชัดเจนระหว่าง “การสมัครใจ” กับ “การละทิ้งร้างฝ่ายเดียว” 4️. เหตุหย่าที่ไม่สมบูรณ์ แม้จะมีการแยกกันอยู่จริง แต่ถ้าไม่เข้าหลักของมาตรา 1516 (4/2) ก็ถือว่าไม่มีเหตุทางกฎหมายให้ฟ้องหย่าได้ ➡️ ศาลจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนขอหย่า 5️. เจตนา (Intention) ของคู่สมรส ประเด็นสำคัญที่สุดที่ศาลใช้พิจารณาคือ “เจตนา” ของแต่ละฝ่าย — แยกกันอยู่เพราะยินยอมทั้งสองฝ่าย หรือเพราะฝ่ายหนึ่งละทิ้งร้างอีกฝ่าย ➡️ ศาลใช้พฤติการณ์และข้อเท็จจริง (หนี้สิน การถูกจับ การจำนองบ้าน) เพื่อพิสูจน์ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดเจตนาและละทิ้งร้างไปเอง 🟩 สรุปแก่นสาระสำคัญของคดีนี้ คำพิพากษาฎีกาที่ 8059/2538 เป็นตัวอย่างสำคัญที่ศาลแยกความแตกต่างระหว่าง “สมัครใจแยกกันอยู่” กับ “จงใจละทิ้งร้าง” อย่างชัดเจน โดยชี้ว่าการแยกกันอยู่เพราะฝ่ายหนึ่งเป็นต้นเหตุและอีกฝ่ายไม่สมัครใจ ไม่อาจใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าตาม มาตรา 1516 (4/2) ได้ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า • การที่โจทก์แยกไปพักอยู่ที่อื่นนั้นเกิดจากการทะเลาะกัน โดยมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกอยู่กับโจทก์ จึงไม่ถือว่าเป็น “การสมัครใจแยกกันอยู่” ตามมาตรา 1516 (4/2) • พฤติการณ์ดังกล่าวเป็น “การจงใจละทิ้งร้าง” อีกฝ่ายหนึ่งไปฝ่ายเดียว มิใช่การที่ทั้งคู่สมัครใจแยกอยู่ด้วยกันอย่างถาวร • เนื่องจากไม่เข้าเหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่” ก็ไม่อยู่ในบังคับของข้อ (4/2) ที่กำหนดให้สามารถฟ้องหย่าได้เมื่อต่างฝ่าย “สมัครใจแยกอยู่กันฉันสามี-ภริยามาแล้วเกินสามปี” • ดังนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิเฟ้องหย่าตามข้อดังกล่าว • ศาลจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คือยกฟ้องข้อขอหย่า ขยายความประเด็นทางกฎหมาย มาตรา 1516 (4/2) กับความหมาย “สมัครใจแยกกันอยู่” บัญญัติว่า หาก “สามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี” อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ • “สมัครใจแยกกันอยู่” ต้องแสดงเจตนาโดยทั้งสองฝ่ายหรืออย่างน้อยต้องมีลักษณะที่แสดงได้อย่างชัดเจนว่า ต่างฝ่ายไม่มีความประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสามี-ภริยา • ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “จงใจละทิ้งร้าง” อีกฝ่าย โดยอีกฝ่ายไม่ได้สมัครใจแยกอยู่ ถือเป็นเหตุ “ละทิ้งร้าง” ไม่ใช่ “สมัครใจแยก” แยกความหมายระหว่าง “การจงใจละทิ้งร้าง” กับ “สมัครใจแยกกันอยู่” • การจงใจละทิ้งร้าง คือ ฝ่ายหนึ่งออกจากการอยู่ร่วมและไม่มีเจตนาจะกลับอยู่ด้วยกัน หรือยุติความสัมพันธ์สามี-ภริยาด้วยฝ่ายเดียว • สมัครใจแยกกันอยู่ คือ เหตุที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมหรือยอมรับว่าจะอยู่ต่างหากกัน ซึ่งแสดงถึงการสิ้นสัมพันธ์ฉันสามี-ภริยาจริง ผลจากคำพิพากษา คดีนี้เน้นว่าแม้จะมีการอยู่ต่างบ้าน แต่ หากฝ่ายหนึ่งไม่ได้สมัครใจแยกอยู่ แต่ถูกฝ่ายหนึ่ง “จงใจละทิ้งร้าง” ก็ไม่เข้าเหตุหย่าตาม (4/2) แนวทางใช้งานในอนาคต • คู่สมรสที่จะแยกอยู่กัน ถ้าต้องการอ้างเหตุ (4/2) ควรมีข้อเท็จจริงแสดงว่าเป็นการสมัครใจแยกอยู่ ไม่ใช่ฝ่ายเดียวถูกทิ้ง • จำเลยควรแสดงเจตนาจะอยู่ร่วมต่อไป หากไม่ต้องการให้ถือว่าเป็นสมัครใจแยกอยู่ สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • เหตุของมาตรา 1516 (4/2) คือ “สมัครใจแยกกันอยู่” ซึ่งแตกต่างจาก “จงใจละทิ้งร้าง” • ฝ่ายที่ถูกละทิ้งฝ่ายเดียวไม่อาจอ้าง (4/2) ได้ ¬– ทำให้ฟ้องหย่าไม่ได้ • การพิสูจน์ “เจตนา” ของทั้งสองฝ่ายมีความสำคัญยิ่งต่อการฟ้องหย่า • คำพิพากษานี้ชี้ให้เห็นว่าศาลจะพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์โดยรวม ไม่ใช่ดูแค่การอยู่แยกกัน คำถาม–คำตอบ คำถาม 1: ฝ่ายหนึ่งของคู่สมรสแยกไปพักอยู่ที่อื่นเพราะทะเลาะกับอีกฝ่าย โดยอีกฝ่ายไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่ ถือว่าอยู่ในเหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่” ตาม มาตรา 1516 (4/2) ได้หรือไม่? คำตอบ: ไม่ได้ ถือว่าเป็นกรณี “จงใจละทิ้งร้าง” ไม่ใช่ “สมัครใจแยกกันอยู่” เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอมหรือสมัครใจแยกอยู่ด้วยกันตามเจตนา. ในคดี 8059/2538 ศาลเห็นว่า ฝ่ายหนึ่งจงใจทิ้งอีกฝ่ายไปฝ่ายเดียว จึงไม่เข้าเหตุ (4/2). คำถาม 2: ในคดีนี้ ศาลใช้เหตุอะไรเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าไม่ได้? คำตอบ: ศาลใช้อ้างว่า แม้แยกกันอยู่เกินสามปี แต่ไม่ได้ “สมัครใจแยกกันอยู่” ตาม มาตรา 1516 (4/2) เพราะฝ่ายจำเลยไม่ได้มีเจตนาแยกอยู่กับโจทก์ ดังนั้น แม้จะอยู่แยก มีเหตุทะเลาะกัน ยังคงไม่เข้าเหตุที่กฎหมายบัญญัติ. (พีศิริกฎหมาย) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8059/2538 การทะเลาะกันระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นเหตุให้โจทก์แยกจากจำเลยไปอยู่ที่อื่นนี้ จึงมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจทิ้งร้างจำเลยไปฝ่ายเดียวมิใช่เรื่องที่โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยยังมีความประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับโจทก์ต่อไป โจทก์เป็นผู้ไม่เหมาะสมที่จะใช้อำนาจปกครองบุตร ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้โจทก์แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ยกฟ้องแย้งจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะข้อที่ขอหย่าจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เมื่อปี 2532 ถึง2534 โจทก์จำเลยได้อยู่ร่วมกันที่แฟลตของการท่าเรือแห่งประเทศไทยการที่โจทก์แยกไปพักอยู่ตามลำพังยังที่ทำงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้นเนื่องจากโจทก์กับจำเลยทะเลาะกัน เพราะโจทก์เป็นหนี้นายบุญยุงค์ โจทก์ถูกจับกุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดจากการเป็นนายหน้าขายสินค้า นอกจากนี้โจทก์ยังนำที่ดินและบ้านที่จังหวัดสมุทรปราการที่จำเลยมีส่วนอยู่ด้วยไปจำนองกับนายประยงค์ ต่อมาถูกเจ้าหนี้ฟ้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการบังคับจำนองเอาที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ การทะเลาะกันระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นเหตุให้โจทก์แยกจากจำเลยไปอยู่ที่อื่นนี้ จึงมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจทิ้งร้างจำเลยไปฝ่ายเดียวมิใช่เรื่องที่โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4/2) ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกา 451/2567 ในคดีนี้ โจทก์อ้างเหตุฟ้องหย่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ว่า “สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี” โดยโจทก์ให้พฤติการณ์ว่า ตนกับจำเลยได้แยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา โจทก์และจำเลยไม่ได้อยู่กินกันอีก ศาลชั้นต้นรับฟังว่า ระยะเวลามากกว่า 3 ปีจริง แต่จำเลยยืนยันว่าไม่ได้สมัครใจแยกอยู่ด้วย เจตนาไม่ได้ตรงกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ระยะเวลาเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีองค์ประกอบว่า “สมัครใจแยกกันอยู่” ด้วย (คือทั้งสองฝ่ายมีเจตนาตรงกันที่จะอยู่ต่างหาก) อีกทั้งต้องเป็นเหตุที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามี¬ภริยาโดยปกติสุขตลอดมา จากสภาพความเป็นจริง ฯลฯ เหตุผลที่เกี่ยวข้องกับคดี 8059/2538: – ใช้ข้อกฎหมายเดียวกัน (มาตรา 1516 (4/2)) – เหมือนประเด็นของ “สมัครใจแยกกันอยู่” vs “ไม่ได้สมัครใจ” – ช่วยเปรียบให้เห็นว่า แม้มีการอยู่แยกเกิน 3 ปีแล้ว แต่ถ้าขาดเจตนาร่วมกัน ก็อาจไม่เข้าเหตุฟ้องหย่า 2. คำพิพากษาศาลฎีกา 8832/2542 ในคดีนี้ โจทก์อ้างเหตุตามมาตรา 1516 (4/2) ว่า คู่สมรสแยกกันอยู่ประมาณ 25 ปี เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุข จากข้อเท็จจริงฝ่ายหนึ่งมีบุตรและชีวิตครอบครัวใหม่ ฝ่ายอีกฝ่ายก็อยู่คนเดียว ฯลฯ ศาลวินิจฉัยว่า แม้มีระยะเวลายาวนานมาก แต่ต้องดูว่าอีกฝ่าย “สมัครใจแยกอยู่” หรือไม่ ซึ่งในคดีนี้ศาลเห็นว่าฝ่ายหนึ่งไม่ได้สมัครใจแยกอยู่กับอีกฝ่าย เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีชีวิตอยู่ต่างหาก จึงถือว่าเข้าเหตุ (4/2) ได้ เหตุผลที่เกี่ยวข้อง: – แสดงกรณีที่มี “ระยะเวลาแยกกันอยู่ยาวนาน” เป็นตัวช่วยวิเคราะห์ – แต่ยังต้องตรวจสอบเจตนาและลักษณะการอยู่แยกอย่างชัดเจน – สามารถนำมากล่าวเปรียบได้ว่า ใน 8059/2538 ก็มีการแยกอยู่ แต่เจตนาไม่ตรงกัน 3. คำพิพากษาศาลฎีกา 11702/2555 คดีนี้เกี่ยวกับเหตุฟ้องหย่าฐานตามมาตรา 1516 (4/1) (คือ “สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเกิน 1 ปี” ) ไม่ได้ใช้ (4/2) แม้ความเสียหายเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ศาลวินิจฉัยว่า แม้จำเลยถูกจำคุกเกิน 1 ปี แต่หากพ้นโทษมาแล้วและโจทก์ฟ้องภายหลัง ระยะเวลาความเสียหายสิ้นสุดแล้ว จะไม่ถือว่าอีกฝ่ายได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร จึงไม่มีเหตุฟ้องหย่า เหตุผลที่เกี่ยวข้อง: – แม้ไม่ใช่กรณี (4/2) แต่วินิจฉัย “เหตุฟ้องหย่า” ที่มีลักษณะใกล้เคียง (คือการฟ้องด้วยเหตุตาม มาตรา 1516) – ช่วยให้เห็นว่า ศาลมีแนวทางตีความว่า ไม่ใช่เพียงมีเหตุ แต่ต้องมีองค์ประกอบตามบทบัญญัติให้ครบถ้วน 4. คำพิพากษาศาลฎีกา 3608/2531 ในคดีนี้ คู่สมรสจดทะเบียนสมรสกัน จากนั้นจำเลย (ฝ่ายภริยา) นำบุตรสาวจากภริยาก่อนมาอยู่ด้วย แล้วทำให้เกิดความระหองระแหงในครอบครัว ศาลวินิจฉัยว่า มีข้อเท็จจริงแห่งความไม่สงบสุขในชีวิตคู่แต่ไม่ได้อยู่ในลักษณะของ “สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี” อย่างชัดเจน – จึงไม่อาจถือว่าเข้าเหตุตามมาตรา 1516 (4/2) โดยอัตโนมัติ เหตุผลที่เกี่ยวข้อง: – เป็นกรณีที่มีความขัดแย้งในครอบครัว แต่ไม่ถึงขั้นลักษณะการแยกกันอยู่อย่างสมัครใจและเกิน 3 ปี – เหมาะสำหรับเปรียบให้เห็นว่า แค่ความระหองระแหงไม่พอ ต้องมี “การอยู่แยกอย่างสมัครใจ” และ “เกิน 3 ปี” ฯ 5. คำพิพากษาศาลฎีกา 3596/2546 คดีนี้จำเลย 1 อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลย 2 ซึ่งเป็นหญิงอื่น ฉันภริยา อันเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (1) (การมีชู้) ศาลวินิจฉัยว่า เหตุการมีหญิงอื่นนั้นเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ เหตุผลที่เกี่ยวข้อง: – แม้ไม่เกี่ยวกับบท (4/2) โดยตรง แต่เป็นกรณีเหตุหย่าอีกประเภทที่อยู่ภายใต้บทมาตรา 1516 – ช่วยให้บทความมีมุมเปรียบ “เหตุหย่าประเภทอื่น” กับ “เหตุหย่า (4/2)” เพื่อให้ผู้อ่านเห็นความแตกต่าง
|





