ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สรุปเหตุ หย่า “ละทิ้งร้าง > สมัครใจแยกกันอยู่”มาตรา 1516, ป.พ.พ. มาตรา 1516(4/2),

คำพิพากษาศาลฎีกา 8059/2538, สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหย่า, คดีหย่าละทิ้งร้าง, คดีหย่าสมัครใจแยกกันอยู่, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2), วิเคราะห์แนวคำพิพากษาศาลฎีกา คดีครอบครัว, สิทธิในการฟ้องหย่าตามกฎหมายไทย, การตีความเหตุหย่าตาม มาตรา 1516, ความแตกต่างระหว่าง “ละทิ้งร้าง” และ “สมัครใจแยกกันอยู่”, แนวปฏิบัติของศาลฎีกา คดีสามีภริยา, กฎหมายครอบครัว ฟ้องหย่า, ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาคดีครอบครัว, การวิเคราะห์ข้อเท็จจริงคดีหย่า, การใช้สิทธิฟ้องหย่าโดยฝ่ายเดียว, ศึกษากฎหมายครอบครัว ผ่านฎีกา 8059/2538

 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีฟ้องหย่าโดยอาศัยเหตุ “จงใจละทิ้งร้าง” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า เมื่อฝ่ายหนึ่ง (โจทก์) เป็นฝ่ายแยกไปอยู่ที่อื่นโดยมีเหตุทะเลาะกับฝ่ายจำเลยเป็นสำคัญ และฝ่ายจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่ จึงไม่เข้าลักษณะของเหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่” ตามบัญญัติแห่งมาตรา 1516 (4/2) – ดังนั้น จึงไม่มีเหตุให้ฟ้องหย่าได้ตามกฎหมาย

สรุปข้อเท็จจริง

ในคดีนี้ คู่สมรสจดทะเบียนสมรสกันและอยู่กินด้วยกันในแฟลตของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2532 ถึง 2534 หลังจากนั้นเกิดเรื่องทะเลาะกันหลายครั้ง เนื่องจาก:

โจทก์มีหนี้สินนายบุญยุงค์ ในฐานะนายหน้า ซึ่งถูกจับกุมที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เพราะหนี้สินนั้น

โจทก์ยังนำที่ดินและบ้านในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจำเลยมีส่วนอยู่ด้วย ไปจํานองกับนายประยงค์ และต่อมาถูกบังคับจํานองขายทอดตลาด

ด้วยเหตุทะเลาะข้างต้น โจทก์จึงแยกไปพักอยู่ตามลำพังที่ทำงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยจำเลยไม่ได้สมัครใจอยู่แยกจากโจทก์

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากจำเลย และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ส่วนจำเลยโต้แย้งว่า ยังมีความประสงค์จะอยู่ร่วมกันเป็นสามี-ภริยาต่อไป และโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะใช้อำนาจปกครองบุตร

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่าขาด และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว ส่วนศาลอุทธรณ์แก้เป็นให้ยกฟ้องเฉพาะข้อขอหย่า แต่คงให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร

จากนั้นโจทก์ฎีกา และศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำวินิจฉัยว่า เหตุการณ์ที่โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายแยกไปอยู่เนื่องจากทะเลาะกับจำเลยนั้น “มีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ” และจำเลย “ไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์” ดังนั้นจึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจทิ้งร้างจำเลยไปฝ่ายเดียว ไม่ใช่กรณีของสามี-ภริยาที่สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุขเกินสาม ปี ตามมาตรา 1516 (4/2) จึงเห็นว่าโจทก์ไม่มีเหตุฟ้องหย่า และพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

ศาลฎีกาใช้บทบัญญัติหลักจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) เป็นแก่นสำคัญของคดีนี้

เนื้อหาหลักของมาตรานี้กำหนด “เหตุฟ้องหย่า” ว่า

“ถ้าสามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ และไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี อีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องหย่าได้”

แต่ในคดีนี้ ศาลวินิจฉัยว่า ไม่เข้าเหตุ (4/2) เพราะการแยกกันอยู่เกิดจาก “การจงใจละทิ้งร้าง” ของฝ่ายหนึ่ง ไม่ใช่ “สมัครใจแยกกันอยู่” ของทั้งสองฝ่าย

🔹 กฎหมายที่ศาลฎีกาใช้วินิจฉัย

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2)

“สามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

ศาลฎีกานำบทบัญญัตินี้มาใช้ตีความว่า “สมัครใจแยกกันอยู่” ต้องหมายถึงเจตนาของทั้งสองฝ่ายที่ยินยอมอยู่แยกกัน ไม่ใช่กรณีที่ฝ่ายหนึ่งทิ้งอีกฝ่ายไปโดยฝ่ายเดียวยังต้องการอยู่ร่วมกัน

🔸 5 คำสำคัญ (Key Words) ที่เป็นแก่นของคดีนี้ พร้อมขยายความสั้น ๆ

1️. สมัครใจแยกกันอยู่ (Voluntary Separation)

คือ การที่ทั้งสามีและภริยามีเจตนาและความยินยอมตรงกันว่าจะอยู่แยกกันโดยถาวรเพราะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข

➡️ ศาลชี้ว่าในคดีนี้ไม่เข้าลักษณะนี้ เพราะจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกจากโจทก์

2️. จงใจละทิ้งร้าง 

หมายถึงการที่ฝ่ายหนึ่งแยกตัวออกจากการอยู่ร่วมกันโดยเจตนา และไม่ประสงค์จะกลับมาอยู่ร่วมกันอีก โดยอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอม

➡️ ศาลเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่าย “ละทิ้งร้าง” จำเลยไปฝ่ายเดียว จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่

3️. มาตรา 1516 (4/2)

เป็นบทบัญญัติหลักที่ศาลใช้พิจารณา โดยระบุชัดว่าการฟ้องหย่าต้องเกิดจาก “การสมัครใจแยกกันอยู่ของทั้งสองฝ่าย” ต่อเนื่องเกิน 3 ปี

➡️ ศาลตีความแยกชัดเจนระหว่าง “การสมัครใจ” กับ “การละทิ้งร้างฝ่ายเดียว”

4️. เหตุหย่าที่ไม่สมบูรณ์

แม้จะมีการแยกกันอยู่จริง แต่ถ้าไม่เข้าหลักของมาตรา 1516 (4/2) ก็ถือว่าไม่มีเหตุทางกฎหมายให้ฟ้องหย่าได้

➡️ ศาลจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนขอหย่า

5️. เจตนา (Intention) ของคู่สมรส

ประเด็นสำคัญที่สุดที่ศาลใช้พิจารณาคือ “เจตนา” ของแต่ละฝ่าย — แยกกันอยู่เพราะยินยอมทั้งสองฝ่าย หรือเพราะฝ่ายหนึ่งละทิ้งร้างอีกฝ่าย

➡️ ศาลใช้พฤติการณ์และข้อเท็จจริง (หนี้สิน การถูกจับ การจำนองบ้าน) เพื่อพิสูจน์ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดเจตนาและละทิ้งร้างไปเอง

🟩 สรุปแก่นสาระสำคัญของคดีนี้

คำพิพากษาฎีกาที่ 8059/2538 เป็นตัวอย่างสำคัญที่ศาลแยกความแตกต่างระหว่าง “สมัครใจแยกกันอยู่” กับ “จงใจละทิ้งร้าง” อย่างชัดเจน โดยชี้ว่าการแยกกันอยู่เพราะฝ่ายหนึ่งเป็นต้นเหตุและอีกฝ่ายไม่สมัครใจ ไม่อาจใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าตาม มาตรา 1516 (4/2) ได้

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

การที่โจทก์แยกไปพักอยู่ที่อื่นนั้นเกิดจากการทะเลาะกัน โดยมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกอยู่กับโจทก์ จึงไม่ถือว่าเป็น “การสมัครใจแยกกันอยู่” ตามมาตรา 1516 (4/2)

พฤติการณ์ดังกล่าวเป็น “การจงใจละทิ้งร้าง” อีกฝ่ายหนึ่งไปฝ่ายเดียว มิใช่การที่ทั้งคู่สมัครใจแยกอยู่ด้วยกันอย่างถาวร

เนื่องจากไม่เข้าเหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่” ก็ไม่อยู่ในบังคับของข้อ (4/2) ที่กำหนดให้สามารถฟ้องหย่าได้เมื่อต่างฝ่าย “สมัครใจแยกอยู่กันฉันสามี-ภริยามาแล้วเกินสามปี”

ดังนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิเฟ้องหย่าตามข้อดังกล่าว

ศาลจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คือยกฟ้องข้อขอหย่า

ขยายความประเด็นทางกฎหมาย

มาตรา 1516 (4/2) กับความหมาย “สมัครใจแยกกันอยู่”

บัญญัติว่า หาก “สามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี” อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

“สมัครใจแยกกันอยู่” ต้องแสดงเจตนาโดยทั้งสองฝ่ายหรืออย่างน้อยต้องมีลักษณะที่แสดงได้อย่างชัดเจนว่า ต่างฝ่ายไม่มีความประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสามี-ภริยา

ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “จงใจละทิ้งร้าง” อีกฝ่าย โดยอีกฝ่ายไม่ได้สมัครใจแยกอยู่ ถือเป็นเหตุ “ละทิ้งร้าง” ไม่ใช่ “สมัครใจแยก”

แยกความหมายระหว่าง “การจงใจละทิ้งร้าง” กับ “สมัครใจแยกกันอยู่”

การจงใจละทิ้งร้าง คือ ฝ่ายหนึ่งออกจากการอยู่ร่วมและไม่มีเจตนาจะกลับอยู่ด้วยกัน หรือยุติความสัมพันธ์สามี-ภริยาด้วยฝ่ายเดียว

สมัครใจแยกกันอยู่ คือ เหตุที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมหรือยอมรับว่าจะอยู่ต่างหากกัน ซึ่งแสดงถึงการสิ้นสัมพันธ์ฉันสามี-ภริยาจริง

ผลจากคำพิพากษา

คดีนี้เน้นว่าแม้จะมีการอยู่ต่างบ้าน แต่ หากฝ่ายหนึ่งไม่ได้สมัครใจแยกอยู่ แต่ถูกฝ่ายหนึ่ง “จงใจละทิ้งร้าง” ก็ไม่เข้าเหตุหย่าตาม (4/2)

แนวทางใช้งานในอนาคต

คู่สมรสที่จะแยกอยู่กัน ถ้าต้องการอ้างเหตุ (4/2) ควรมีข้อเท็จจริงแสดงว่าเป็นการสมัครใจแยกอยู่ ไม่ใช่ฝ่ายเดียวถูกทิ้ง

จำเลยควรแสดงเจตนาจะอยู่ร่วมต่อไป หากไม่ต้องการให้ถือว่าเป็นสมัครใจแยกอยู่

สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

เหตุของมาตรา 1516 (4/2) คือ “สมัครใจแยกกันอยู่” ซึ่งแตกต่างจาก “จงใจละทิ้งร้าง”

ฝ่ายที่ถูกละทิ้งฝ่ายเดียวไม่อาจอ้าง (4/2) ได้ ¬– ทำให้ฟ้องหย่าไม่ได้

การพิสูจน์ “เจตนา” ของทั้งสองฝ่ายมีความสำคัญยิ่งต่อการฟ้องหย่า

คำพิพากษานี้ชี้ให้เห็นว่าศาลจะพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์โดยรวม ไม่ใช่ดูแค่การอยู่แยกกัน

คำถาม–คำตอบ

คำถาม 1:

ฝ่ายหนึ่งของคู่สมรสแยกไปพักอยู่ที่อื่นเพราะทะเลาะกับอีกฝ่าย โดยอีกฝ่ายไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่ ถือว่าอยู่ในเหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่” ตาม มาตรา 1516 (4/2) ได้หรือไม่?

คำตอบ:

ไม่ได้ ถือว่าเป็นกรณี “จงใจละทิ้งร้าง” ไม่ใช่ “สมัครใจแยกกันอยู่” เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอมหรือสมัครใจแยกอยู่ด้วยกันตามเจตนา. ในคดี 8059/2538 ศาลเห็นว่า ฝ่ายหนึ่งจงใจทิ้งอีกฝ่ายไปฝ่ายเดียว จึงไม่เข้าเหตุ (4/2). 

คำถาม 2:

ในคดีนี้ ศาลใช้เหตุอะไรเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าไม่ได้?

คำตอบ:

ศาลใช้อ้างว่า แม้แยกกันอยู่เกินสามปี แต่ไม่ได้ “สมัครใจแยกกันอยู่” ตาม มาตรา 1516 (4/2) เพราะฝ่ายจำเลยไม่ได้มีเจตนาแยกอยู่กับโจทก์ ดังนั้น แม้จะอยู่แยก มีเหตุทะเลาะกัน ยังคงไม่เข้าเหตุที่กฎหมายบัญญัติ. (พีศิริกฎหมาย)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8059/2538

การทะเลาะกันระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นเหตุให้โจทก์แยกจากจำเลยไปอยู่ที่อื่นนี้ จึงมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจทิ้งร้างจำเลยไปฝ่ายเดียวมิใช่เรื่องที่โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยยังมีความประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับโจทก์ต่อไป โจทก์เป็นผู้ไม่เหมาะสมที่จะใช้อำนาจปกครองบุตร ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว

โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้โจทก์แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ยกฟ้องแย้งจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะข้อที่ขอหย่าจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เมื่อปี 2532 ถึง2534 โจทก์จำเลยได้อยู่ร่วมกันที่แฟลตของการท่าเรือแห่งประเทศไทยการที่โจทก์แยกไปพักอยู่ตามลำพังยังที่ทำงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้นเนื่องจากโจทก์กับจำเลยทะเลาะกัน เพราะโจทก์เป็นหนี้นายบุญยุงค์ โจทก์ถูกจับกุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดจากการเป็นนายหน้าขายสินค้า นอกจากนี้โจทก์ยังนำที่ดินและบ้านที่จังหวัดสมุทรปราการที่จำเลยมีส่วนอยู่ด้วยไปจำนองกับนายประยงค์ ต่อมาถูกเจ้าหนี้ฟ้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการบังคับจำนองเอาที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ การทะเลาะกันระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นเหตุให้โจทก์แยกจากจำเลยไปอยู่ที่อื่นนี้ จึงมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจทิ้งร้างจำเลยไปฝ่ายเดียวมิใช่เรื่องที่โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4/2) ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย

พิพากษายืน


คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกา 451/2567

ในคดีนี้ โจทก์อ้างเหตุฟ้องหย่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ว่า “สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี” โดยโจทก์ให้พฤติการณ์ว่า ตนกับจำเลยได้แยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา โจทก์และจำเลยไม่ได้อยู่กินกันอีก ศาลชั้นต้นรับฟังว่า ระยะเวลามากกว่า 3 ปีจริง แต่จำเลยยืนยันว่าไม่ได้สมัครใจแยกอยู่ด้วย เจตนาไม่ได้ตรงกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ระยะเวลาเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีองค์ประกอบว่า “สมัครใจแยกกันอยู่” ด้วย (คือทั้งสองฝ่ายมีเจตนาตรงกันที่จะอยู่ต่างหาก) อีกทั้งต้องเป็นเหตุที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามี¬ภริยาโดยปกติสุขตลอดมา จากสภาพความเป็นจริง ฯลฯ 

เหตุผลที่เกี่ยวข้องกับคดี 8059/2538:

– ใช้ข้อกฎหมายเดียวกัน (มาตรา 1516 (4/2))

– เหมือนประเด็นของ “สมัครใจแยกกันอยู่” vs “ไม่ได้สมัครใจ”

– ช่วยเปรียบให้เห็นว่า แม้มีการอยู่แยกเกิน 3 ปีแล้ว แต่ถ้าขาดเจตนาร่วมกัน ก็อาจไม่เข้าเหตุฟ้องหย่า

2. คำพิพากษาศาลฎีกา 8832/2542

ในคดีนี้ โจทก์อ้างเหตุตามมาตรา 1516 (4/2) ว่า คู่สมรสแยกกันอยู่ประมาณ 25 ปี เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามี-ภริยาได้โดยปกติสุข จากข้อเท็จจริงฝ่ายหนึ่งมีบุตรและชีวิตครอบครัวใหม่ ฝ่ายอีกฝ่ายก็อยู่คนเดียว ฯลฯ ศาลวินิจฉัยว่า แม้มีระยะเวลายาวนานมาก แต่ต้องดูว่าอีกฝ่าย “สมัครใจแยกอยู่” หรือไม่ ซึ่งในคดีนี้ศาลเห็นว่าฝ่ายหนึ่งไม่ได้สมัครใจแยกอยู่กับอีกฝ่าย เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีชีวิตอยู่ต่างหาก จึงถือว่าเข้าเหตุ (4/2) ได้ 

เหตุผลที่เกี่ยวข้อง:

– แสดงกรณีที่มี “ระยะเวลาแยกกันอยู่ยาวนาน” เป็นตัวช่วยวิเคราะห์

– แต่ยังต้องตรวจสอบเจตนาและลักษณะการอยู่แยกอย่างชัดเจน

– สามารถนำมากล่าวเปรียบได้ว่า ใน 8059/2538 ก็มีการแยกอยู่ แต่เจตนาไม่ตรงกัน

3. คำพิพากษาศาลฎีกา 11702/2555

คดีนี้เกี่ยวกับเหตุฟ้องหย่าฐานตามมาตรา 1516 (4/1) (คือ “สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเกิน 1 ปี” ) ไม่ได้ใช้ (4/2) แม้ความเสียหายเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ศาลวินิจฉัยว่า แม้จำเลยถูกจำคุกเกิน 1 ปี แต่หากพ้นโทษมาแล้วและโจทก์ฟ้องภายหลัง ระยะเวลาความเสียหายสิ้นสุดแล้ว จะไม่ถือว่าอีกฝ่ายได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร จึงไม่มีเหตุฟ้องหย่า 

เหตุผลที่เกี่ยวข้อง:

– แม้ไม่ใช่กรณี (4/2) แต่วินิจฉัย “เหตุฟ้องหย่า” ที่มีลักษณะใกล้เคียง (คือการฟ้องด้วยเหตุตาม มาตรา 1516)

– ช่วยให้เห็นว่า ศาลมีแนวทางตีความว่า ไม่ใช่เพียงมีเหตุ แต่ต้องมีองค์ประกอบตามบทบัญญัติให้ครบถ้วน

4. คำพิพากษาศาลฎีกา 3608/2531

ในคดีนี้ คู่สมรสจดทะเบียนสมรสกัน จากนั้นจำเลย (ฝ่ายภริยา) นำบุตรสาวจากภริยาก่อนมาอยู่ด้วย แล้วทำให้เกิดความระหองระแหงในครอบครัว ศาลวินิจฉัยว่า มีข้อเท็จจริงแห่งความไม่สงบสุขในชีวิตคู่แต่ไม่ได้อยู่ในลักษณะของ “สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี” อย่างชัดเจน – จึงไม่อาจถือว่าเข้าเหตุตามมาตรา 1516 (4/2) โดยอัตโนมัติ 

เหตุผลที่เกี่ยวข้อง:

– เป็นกรณีที่มีความขัดแย้งในครอบครัว แต่ไม่ถึงขั้นลักษณะการแยกกันอยู่อย่างสมัครใจและเกิน 3 ปี

– เหมาะสำหรับเปรียบให้เห็นว่า แค่ความระหองระแหงไม่พอ ต้องมี “การอยู่แยกอย่างสมัครใจ” และ “เกิน 3 ปี” ฯ

5. คำพิพากษาศาลฎีกา 3596/2546

คดีนี้จำเลย 1 อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลย 2 ซึ่งเป็นหญิงอื่น ฉันภริยา อันเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (1) (การมีชู้) ศาลวินิจฉัยว่า เหตุการมีหญิงอื่นนั้นเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ 

เหตุผลที่เกี่ยวข้อง:

– แม้ไม่เกี่ยวกับบท (4/2) โดยตรง แต่เป็นกรณีเหตุหย่าอีกประเภทที่อยู่ภายใต้บทมาตรา 1516

– ช่วยให้บทความมีมุมเปรียบ “เหตุหย่าประเภทอื่น” กับ “เหตุหย่า (4/2)” เพื่อให้ผู้อ่านเห็นความแตกต่าง

 

มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้...(4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

หย่า ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) vs (4/2)แยกกันอยู่, ละทิ้งร้าง, สมัครใจแยกกันอยู่, (ฎีกา 2345/2552)
ฟ้องหย่าเพราะภรรยาแจ้งความสามีไม่ได้ ศาลชี้สิทธิเลี้ยงดูยังมีอยู่(ฎีกา 2109/2567)
หย่าเพราะทรมานร่างกาย-จิตใจ (บังคับร่วมประเวณี)เหตุฟ้องหย่า (ฎีกา 8611/2557)
ฟ้องโมฆะ & หย่า / อายุความ / ค่าเลี้ยงชีพ แยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา 10770/2558)
คดีหย่า & ค่าทดแทน, สิทธิฟ้องหย่า, (มาตรา 1518, 1523)(ฎีกา 2473/2556)
หย่า แบ่งสินสมรส, อำนาจปกครองบุตร, & คุ้มครองดอกผล (ฎีกา 10361/2557)
คดีหย่า & อำนาจปกครองบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดู, (ฎีกา 5535/2558)
โมฆะสมรส & สิทธิอำนาจปกครองบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร (ฎีกา 10442/2558)
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. ม.173, ฟ้องซ้ำ, (ฎีกา 8186/2551)
สิทธิครอบครองที่ดิน & เพิกถอนโฉนดออกโดยมิชอบ (ฎีกา 3169/2564)
ฟ้องหญิงอื่นเรียกค่าทดแทน (มาตรา 1523) (ฎีกา 4818/2551)
คดีหย่า & สิทธิฟ้องหย่า, อายุความคดีหย่า (การยินยอมและให้อภัย) (ฎีกา 3190/2549)
ค่าเลี้ยงดูบุตร & เพิกถอนโอนบ้าน, สัญญาหย่า, พินัยกรรม, (ฎีกา 6926/2560)
ฟ้องหย่า สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา, 2520/2549),
การหย่าโมฆะ & สิทธิในมรดกที่ดินพิพาท
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเรื่องชู้สาว (ฎีกา 4261/2560)
กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ 2568: สิทธิของคู่สมรสทุกเพศในการเรียกค่าทดแทนและฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259 - 5260/2561 : การรับฟังพยานบันทึกเสียง, สิทธิฟ้องหย่า, ค่าทดแทนชู้ และอำนาจปกครองบุตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2562 เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น เหตุชู้สาวต่อเนื่องไม่ขาดอายุความ
การหย่าโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ – วิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและสิทธิของเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4130/2548 สิทธิภริยาชอบด้วยกฎหมายเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523
สิทธิฟ้องหย่าและอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีสามีขับไล่ภริยา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564
การเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและการปรับค่าเลี้ยงดูตามสถานการณ์ใหม่ (ฎีกาที่ 1218/2567)
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น