จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา • การทิ้งร้างตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ • เหตุผลในการฟ้องหย่า มาตรา 1516 • คดีทิ้งร้างคู่สมรส ฎีกา • การจงใจทิ้งร้าง และสิทธิการหย่า • ระยะเวลาทิ้งร้าง ฟ้องหย่าได้หรือไม่ • สิทธิในการฟ้องหย่า จากการละทิ้งร้าง โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยาเพียงสองเดือน จากนั้นจำเลยไปเป็นทหารและปลดประจำการในปี 2531 แต่จำเลยกลับไม่กลับมาอยู่กับโจทก์ฉันสามีภริยา ภายหลังปี 2533 โจทก์จึงไปอยู่กับนายเฉลิมพลจนมีบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลยแสดงถึงความจงใจละทิ้งร้างโจทก์เกินหนึ่งปี ทำให้โจทก์สามารถฟ้องหย่าได้ โจทก์ฟ้องขอหย่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่ากัน จำเลยอุทธรณ์ไปถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยไม่กลับมาอยู่ร่วมกับโจทก์หลังปลดประจำการแสดงถึงความไม่ใส่ใจดูแลโจทก์ตามหน้าที่สามี ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลล่าง การทิ้งร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4) หมายถึงกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจงใจละทิ้งหรือทอดทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่กลับมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาเป็นระยะเวลาติดต่อกันเกินหนึ่งปี การกระทำนี้เป็นเหตุผลให้ฝ่ายที่ถูกทิ้งสามารถยื่นฟ้องหย่าได้ สำหรับข้อกำหนดที่ชัดเจนในมาตรา 1516 (4) ระบุว่าการทิ้งร้างต้องมีลักษณะ “จงใจ” ซึ่งหมายถึงฝ่ายที่ละทิ้งมีเจตนาที่จะไม่กลับมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา และการทิ้งร้างต้องมีระยะเวลาติดต่อกันอย่างน้อยหนึ่งปี โดยระยะเวลานี้อาจเกิดจากการไม่กลับมาอยู่ร่วมกันตามเดิม หรือเกิดจากการที่อีกฝ่ายหนึ่งละเลยไม่สนใจที่จะปฏิบัติต่อกันในฐานะคู่สมรส กรณีคำพิพากษาฎีกาที่กล่าวถึงนี้ ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นสามีได้ละทิ้งโจทก์ตั้งแต่หลังปลดประจำการทหาร โดยไม่มีความพยายามที่จะติดต่อหรือชวนโจทก์กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างจริงจัง แม้จะอ้างว่าเคยส่งจดหมายหรือโทรศัพท์ไปหา แต่การติดต่อดังกล่าวถือว่าไม่เพียงพอ ศาลพิจารณาว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อถึงความจงใจที่จะทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลานานเกินกว่าหนึ่งปี ทำให้เป็นเหตุสมควรแก่การอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ อยู่กินฉันสามีภริยาแค่สองเดือน สามีไปเป็นทหารเกณฑ์ หลังจากปลดประจำการทหารแล้ว สามีก็ไม่ได้กลับมาอยู่กินในฐานะสามีภริยา ไม่ขวนขวายเพื่อติดต่อกับภริยา เป็นการส่อเจตนาว่าไม่ประสงค์ให้ภริยาไปอยู่ร่วมกันมากกว่า สามีอ้างแต่เพียงว่าเคยส่งจดหมายและโทรศัพท์ไปแล้ว แต่ภริยาไม่ตอบนั้นเป็นการขวนขวายที่ไม่เพียงพอ การเป็นสามีภริยากันนั้นเมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้วตามกฎหมายสามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและสามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน พฤติการณ์ของสามีเป็นเรื่องจงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีตั้งแต่ปลดประจำการทหาร ภริยาจึงฟ้องหย่าได้
โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้วอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาเพียงสองเดือน ต่อมาจำเลยไปรับราชการทหารและปลดเป็นกองหนุนเมื่อปี 2531 หลังจากที่จำเลยปลดประจำการทหารแล้วจำเลยมิได้กลับไปอยู่กินด้วยกันกับโจทก์ฉันสามีภริยา จนกระทั่งปี 2533 โจทก์จึงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับ ฉ. จนมีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี ตั้งแต่จำเลยปลดประจำการทหารในปี 2531 โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “...คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์หรือไม่ เห็นว่า หลังจากโจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว โจทก์กับจำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาเพียงสองเดือน หลังจากนั้นจำเลยไปรับราชการทหารตลอดมาและปลดเป็นกองหนุนเมื่อปี 2531 หลังจากจำเลยปลดประจำการทหารแล้ว จำเลยควรจะมาอยู่กินกับโจทก์ในฐานะสามีภริยา ควรหาที่อยู่อาศัยเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่จำเลยกลับย้ายออกจากบ้านน้าสาวที่เขตห้วยขวางโดยไม่ขวนขวายเพื่อติดต่อกับโจทก์ เป็นการส่อเจตนาว่าจำเลยไม่ประสงค์ให้โจทก์ไปอยู่ร่วมกันมากกว่า จำเลยอ้างว่าหลังจากปลดประจำการทหารเคยชวนโจทก์มาอยู่ด้วยก็เป็นการกล่างอ้างลอย ๆ หากจำเลยนำพาที่จะอยู่กินฉันสามีภริยากันโจทก์จำเลยควรที่จะติดต่อให้เป็นกิจจะลักษณะเพื่อพาโจทก์ไปอยู่ด้วย จำเลยอ้างแต่เพียงว่าเคยส่งจดหมายและโทรศัพท์ไปแล้ว แต่โจทก์ไม่ตอบนั้นเป็นการขวนขวายที่ไม่เพียงพอ การเป็นสามีภริยากันนั้นเมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้วตามกฎหมายสามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและสามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน แต่ไม่ปรากฏวาจำเลยปฏิบัติเช่นนั้นกลับหนีหายไปพฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยไม่เอาใจใส่ดูแลโจทก์ในฐานะสามีที่จะพึงปฏิบัติต่อภริยา แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์ที่จะอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์อีกแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหลังจากจำเลยปลดประจำการทหารแล้ว จำเลยมิได้กลับไปอยู่กินด้วยกันกับโจทก์ฉันสามีภริยา จนกระทั่งปี 2533 โจทก์จึงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนายเฉลิมพลจนมีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินหนึ่งปีตั้งแต่จำเลยปลดประจำการทหารในปี 2531 โจทก์จึงฟ้องหย่าจำเลยได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย” พิพากษายืน
|