
| โมฆะสมรส & สิทธิอำนาจปกครองบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร (ฎีกา 10442/2558)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการสมรสที่เป็นโมฆะเนื่องจากไม่มีเจตนาอยู่กินฉันสามีภริยา แม้โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเพื่อให้จำเลยตั้งครรภ์บุตรโดยการผสมเทียม แต่ศาลวินิจฉัยว่าการสมรสดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1458 และ 1496 อย่างไรก็ดี บุตรที่เกิดขึ้นระหว่างการสมรสยังถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1536 ศาลจึงกำหนดให้ทั้งคู่มีสิทธิอำนาจปกครองร่วม แต่ให้อำนาจปกครองในส่วนการกำหนดที่อยู่เป็นของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว
ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์และจำเลยตกลงว่าจ้างกันเพื่อให้จำเลยตั้งครรภ์บุตร โดยใช้วิธีการผสมเทียม • ทั้งคู่ไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอบางละมุง แต่ไม่มีความประสงค์อยู่กินฉันสามีภริยา • ต่อมาจำเลยตั้งครรภ์และคลอดเด็กชาย ม. โดยโจทก์เป็นผู้ตั้งชื่อและโอนเงินค่าใช้จ่ายให้ในระหว่างตั้งครรภ์ • ภายหลังจำเลยเลี้ยงดูบุตรเองโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโจทก์ และมีการฟ้องร้องเพื่อสิทธิการปกครอง
ประเด็นข้อกฎหมาย 1. การสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ 2. บุตรที่เกิดจากการสมรสดังกล่าวมีสถานะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 3. สิทธิอำนาจปกครองบุตรควรตกแก่ฝ่ายใด
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ประเด็นการสมรส: ศาลเห็นว่าการสมรสเป็นการปราศจากความยินยอมที่จะอยู่กินฉันสามีภริยา เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1458 และ 1496 • สถานะบุตร: แม้การสมรสเป็นโมฆะ แต่บุตรคลอดก่อนศาลพิพากษา จึงถือเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์และจำเลย ตามมาตรา 1536 • สิทธิอำนาจปกครองบุตร: ศาลให้ทั้งสองมีอำนาจปกครองร่วมกัน แต่เนื่องจากจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูมาตลอดและไม่มีพฤติการณ์เสียหาย ศาลจึงให้อำนาจปกครองในส่วนการกำหนดที่อยู่แก่จำเลยฝ่ายเดียว
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. โมฆะสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1458 และ 1496 กฎหมายกำหนดให้การสมรสต้องมีความยินยอมที่จะอยู่กินฉันสามีภริยา หากขาดเจตนานี้ แม้มีการจดทะเบียนก็ถือว่าเป็นโมฆะโดยศาลสามารถวินิจฉัยได้ 2. สถานะบุตรตามมาตรา 1536 แม้การสมรสถูกพิพากษาเป็นโมฆะ แต่บุตรที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคำพิพากษายังได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย 3. สิทธิอำนาจปกครองบุตร การกำหนดสิทธิเลี้ยงดูและปกครอง ศาลพิจารณาตามสภาพความเป็นจริงและประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ ไม่ได้ยึดเพียงสถานะทางกฎหมายของบิดามารดา
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): การสมรสที่เกิดจากการว่าจ้างเพื่อให้ตั้งครรภ์บุตรโดยผสมเทียม ถือเป็นการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมายหรือโมฆะ และบุตรที่เกิดขึ้นมีสถานะทางกฎหมายอย่างไร Rule (กฎหมาย): • ป.พ.พ. มาตรา 1458: การสมรสต้องมีความยินยอมอยู่กินฉันสามีภริยา • ป.พ.พ. มาตรา 1496: หากขาดเงื่อนไขดังกล่าว การสมรสเป็นโมฆะ ศาลมีอำนาจวินิจฉัย • ป.พ.พ. มาตรา 1536: บุตรที่เกิดก่อนการพิพากษาโมฆะสมรส ถือเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย • ป.พ.พ. มาตรา 1499/1, 1567: การใช้อำนาจปกครองบุตรต้องพิจารณาตามประโยชน์ของผู้เยาว์ Application (การปรับใช้): • ข้อเท็จจริงชี้ว่าฝ่ายคู่สมรสไม่มีเจตนาอยู่กินฉันสามีภริยา การสมรสจึงเป็นโมฆะตามกฎหมาย • อย่างไรก็ดี บุตรที่เกิดขึ้นยังถือเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเพราะเกิดขึ้นก่อนการพิพากษา • เมื่อจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรเพียงฝ่ายเดียวและไม่มีพฤติการณ์เสียหาย ศาลจึงให้อำนาจปกครองในส่วนที่อยู่แก่จำเลย Conclusion (ข้อสรุป): การสมรสเป็นโมฆะ แต่บุตรยังคงสถานะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลให้ทั้งสองฝ่ายปกครองร่วมกัน แต่ให้อำนาจปกครองด้านที่อยู่แก่จำเลยเพียงฝ่ายเดียว
ข้อคิดทางกฎหมาย คำพิพากษานี้สะท้อนหลักการว่า แม้การสมรสจะเป็นโมฆะเนื่องจากไม่มีเจตนาอยู่กินฉันสามีภริยา แต่สิทธิของบุตรยังคงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ ขณะเดียวกัน ศาลยังยืนยันอำนาจในการวินิจฉัยเรื่องโมฆะสมรส แม้ไม่มีการร้องขอตรงก็ตาม หากเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10442/2558 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ม. จำเลยให้การว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้จดทะเบียนสมรส และใช้วิทยาการทางการแพทย์โดยการผสมเชื้ออสุจิเพื่อตั้งครรภ์เด็กชาย ม. ให้โจทก์ โดยไม่เคยได้ใช้ชีวิตดังสามีภริยาเลย เมื่อเด็กชาย ม. คลอด โจทก์ไม่ส่งเงินมาให้ ไม่ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแต่กลับขู่ให้ส่งมอบบุตรให้ ขอให้ยกฟ้อง ศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทด้วยว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่โดยให้จำเลยมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการจดทะเบียนที่ปราศจากความยินยอมที่จะอยู่กินฉันสามีภริยากันอย่างแท้จริง เนื่องจากโจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเพราะโจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยให้ตั้งครรภ์บุตรให้แก่โจทก์ด้วยวิธีการผสมเทียม โดยต่างไม่ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริงและไม่ประสงค์ที่จะอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา จึงเป็นการสมรสที่ผิดเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 1458 ซึ่งมีผลให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1496 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าการสมรสเป็นโมฆะ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลให้การสมรสเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1496 วรรคสองแล้ว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะได้ กรณีไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142
แม้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ แต่เมื่อบุตรผู้เยาว์คลอดระหว่างที่ศาลยังไม่ได้มีการพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ผู้เยาว์จึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1536 วรรคสอง โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และให้เด็กชาย ม. อยู่ในความปกครองและอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และให้จำเลยผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่สำนักงานทะเบียนอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 เป็นโมฆะ ให้แจ้งนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส กับให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ม. ผู้เยาว์ แต่เพียงผู้เดียว ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ และที่พิพากษาให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ม. แต่เพียงผู้เดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ประจำกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 โจทก์เดินทางมาประเทศไทยเพื่อตกลงว่าจ้างจำเลยให้ตั้งครรภ์บุตรให้แก่โจทก์ด้วยวิธีการผสมเทียมโดยการติดต่อผ่านทางนายพิเศษ หรือบ๊อบบี้ ต่อมาวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยโดยต่างไม่ได้ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริงและไม่ประสงค์ที่จะอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา ในวันเดียวกับที่มีการจดทะเบียนสมรสโจทก์กับจำเลยไปโรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา เพื่อรับการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์กับแพทย์หญิงสุชาดา และมีการเก็บน้ำเชื้ออสุจิของโจทก์ไว้ ก่อนที่โจทก์เดินทางกลับไปประเทศกรีซในวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 จากนั้นจำเลยเข้าไปรับการรักษาจากแพทย์จนกระทั่งจำเลยตั้งครรภ์ผู้เยาว์ซึ่งระหว่างที่จำเลยตั้งครรภ์โจทก์โอนเงินค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยทุกเดือน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2552 จำเลยคลอดผู้เยาว์ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์และโจทก์เป็นผู้ตั้งชื่อผู้เยาว์ว่าเด็กชาย ม. ต่อมาโจทก์กับจำเลยมีการติดต่อกันเพื่อดำเนินการให้จำเลยกับบุตรผู้เยาว์เดินทางไปประเทศกรีซ แต่เนื่องจากโจทก์ปฏิเสธที่จะโอนเงินให้แก่จำเลยก่อนออกเดินทาง 150,000 บาท และอีก 150,000 บาท เมื่อจำเลยกับผู้เยาว์เดินทางไปถึงซึ่งจำเลยอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นค่าจ้างในการตั้งครรภ์ให้แก่โจทก์ จำเลยจึงไม่เดินทางไปประเทศกรีซและขาดการติดต่อกับโจทก์เป็นเวลาเกือบ 2 ปี โดยจำเลยพาผู้เยาว์ไปอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นและทำงานอยู่กับพี่สาว ซึ่งพี่สาวและพี่เขยของจำเลยได้ช่วยอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ด้วย ส่วนโจทก์หลังจากเดินทางกลับไปประเทศกรีซแล้ว ไม่เคยเดินทางกลับมาประเทศไทยจนกระทั่งเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเป็นการพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า การจดทะเบียนสมรสของโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ โดยให้จำเลยมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวไว้ จนได้ข้อเท็จจริงอันรับฟังได้เป็นยุติว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการจดทะเบียนที่ปราศจากความยินยอมที่จะอยู่กินฉันสามีภริยากันอย่างแท้จริง เป็นการสมรสที่ผิดเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 ซึ่งมีผลให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะและขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎหมาย จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลให้การสมรสเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 วรรคสอง แล้ว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะได้ กรณีไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาให้วินิจฉัยต่อไปเกี่ยวกับสถานะความเป็นบุตรของผู้เยาว์และอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ เห็นว่า แม้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ แต่เมื่อบุตรผู้เยาว์คลอดระหว่างที่ศาลยังไม่ได้มีการพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ผู้เยาว์จึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 วรรคสอง ในส่วนของอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์นั้น แม้โจทก์กับจำเลยในฐานะเป็นบิดามารดาของผู้เยาว์เป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ร่วมกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เพียงคนเดียวมาตั้งแต่ผู้เยาว์เกิด ไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์เสียหายใด ๆ ต่อสวัสดิภาพและอนาคตของผู้เยาว์ ส่วนโจทก์ไม่เคยกลับมาประเทศไทยและไม่เคยดูแลผู้เยาว์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ในส่วนของอำนาจปกครองในการกำหนดที่อยู่ของผู้เยาว์ แต่เพียงผู้เดียวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499/1 และ 1567 พิพากษากลับว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้แจ้งนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส กับให้โจทก์กับจำเลยมีอำนาจปกครองเด็กชาย .ม ผู้เยาว์ร่วมกัน แต่ให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองในการกำหนดที่อยู่ของผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
|





.jpg)
.jpg)
