

เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส การกระทำที่ยังไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันการทำร้ายร่างกายคู่สมรสอันเนื่องมาจากเหตุอารมณ์หึงหวง แม้เกิดต่อหน้าบุคคลอื่นก็ไม่อาจถือว่าคู่สมรสฝ่ายที่ทำร้ายนั้นประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือการที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งไปร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมไม่ดีในทางชู้สาวของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งต่อผู้บังคับบัญชาของคู่สมรสฝ่ายดังกล่าว การด่าทอคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งที่ประพฤติตนไม่ดีในทางชู้สาว แม้รุนแรงบ้างหรือการกระทำอื่นใดที่ไม่ต้องการให้คู่สมรสไปมีความสัมพันธ์ในทางชู้สาวกับบุคคลอื่นเป็นต้น ย่อมเป็นการกระทำอันเนื่องมาจากเหตุหึงหวง หรือการกระทำที่ต้องการให้คู่สมรสจ่ายค่าอุปการเลี้ยงดูตนและบุตรตามหน้าที่ หรือสามีภริยาอยู่บ้านเดียวกัน แต่เป็นการที่ต่างคนต่างอยู่และมิได้ยุ่งเกี่ยวกันถือไม่ได้ว่า เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง การกระทำที่ถือว่า เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน การที่คู่สมรสกระทำการใดที่มิได้เกิดจากอารมณ์หึงหวง อันเป็นการกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การงานของคู่สมรสอีกฝ่าย เช่น สามีเป็นตำรวจส่วนภริยาเป็นเจ้ามือขายสลากกินรวบ หรือคู่สมรสฝ่ายหนึ่งขายยาเสพติดให้โทษ หรือการที่สามีปลุกปล้ำหญิงอื่นเป็นต้น ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน การที่สามีภริยาสมัครใจหรือยินยอมแยกกันอยู่คนละบ้าน ย่อมมิใช่เป็นการทิ้งร้าง ส่วนการที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งแยกตัวออกไปอยู่ที่อื่น โดยที่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไม่สมัครใจด้วย ถือว่าคู่สมรสฝ่ายแรกเป็นฝ่ายทิ้งร้างคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไป ดังนี้คู่สมรสฝ่ายแรกย่อมไม่อาจฟ้องหย่าคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้างเหตุทิ้งร้าง หรือการที่สามีทำร้ายร่างกายภริยาเป็นประจำ จนภริยาต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าภริยาเป็นฝ่ายทิ้งร้างสามีไป แต่ถ้าเป็นการที่คู่สมรสฝ่ายใดแยกตัวออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น โดยมิได้ชักชวนคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไปอยู่ด้วย และมิได้กลับมาหาเลยย่อมถือว่าเป็นการทิ้งร้างคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ส่วนการทำร้ายร่างกายนั้น จะต้องเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น มีบาดแผลมีดบาดหรือช้ำบวม หรือกระดูกแตกหักเป็นต้น ซึ่งการทำร้ายดังกล่าว นอกจากจะเป็นเหตุให้ถูกฟ้องหย่าแล้ว ยังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 มาตรา 296 มาตรา 297 และมาตรา 391 ที่ผู้ถูกทำร้ายร่างกายอาจไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ผู้ทำร้ายร่างกายได้ มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 296 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ถ้าความผิด นั้น มีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงสิบปี มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2524 โจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภริยาทะเลาะและทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันดังนี้ หาใช่เป็นเรื่องจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์อันเป็นการร้ายแรงไม่ จำเลย(ภริยา) มีเหตุอันควรที่จะเชื่อได้ว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่น จึงทำให้เกิดอารมณ์หึงหวงซึ่งโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดขึ้นโดยไปไหนมาไหนกับหญิงอื่นจนเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและโจทก์ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับจำเลยมานานแล้วการที่จำเลยระงับอารมณ์ไม่อยู่และเกิดทะเลาะวิวาทกับโจทก์ บางครั้งถึงกับทุบตีและทำร้ายร่างกายกัน แม้จะทะเลาะวิวาทในสถานที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าผู้ที่มาติดต่อก็เป็นพฤติการณ์ที่ยังเรียกไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน จำเลยได้ทำร้ายโจทก์จนได้รับบาดเจ็บ หมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์และบุพพการีโจทก์อย่างร้ายแรงจำเลยได้ไปที่ธนาคารซึ่งโจทก์เป็นผู้จัดการแล้วหมิ่นประมาทโจทก์ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายและได้รับความดูถูกเกลียดชัง จึงฟ้องให้โจทก์จำเลยหย่าจากกันให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยหมิ่นประมาทโจทก์และบุพพการีไม่เคยทำร้ายโจทก์จนได้รับบาดเจ็บ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ถ้าจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่า ให้โจทก์ไปจดฝ่ายเดียวโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์และบุพพการีอย่างร้ายแรง ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์นั้นโจทก์เบิกความว่า เมื่อทะเลาะกันเพราะจำเลยหึงโจทก์ โจทก์จำเลยได้ทุบตีกันนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันหาใช่จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์อันเป็นการร้ายแรงไม่ ฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าและได้รับความดูถูกเกลียดชังนั้น เห็นว่า การทะเลาะวิวาทกันระหว่างโจทก์จำเลยสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยหึงโจทก์ ซึ่งตามคำเบิกความของนายเกษมพยานโจทก์ก็ว่าทราบว่าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลงข่าวว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นโจทก์สนิทสนมกับนางทองสุข โจทก์เองก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์เคยไปไหนมาไหนกับนางทองสุข โจทก์ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับจำเลยมานานจนถูกจำเลยถามว่าทำไมไม่มีความรู้สึกทางเพศ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีเหตุอันควรที่จะเชื่อได้ว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่น จึงทำให้เกิดอารมณ์หึงหวงซึ่งโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดขึ้น การที่จำเลยระงับอารมณ์ไม่อยู่และเกิดทะเลาะวิวาทกับโจทก์ บางครั้งถึงกับมีการทุบตีและทำร้ายร่างกายกัน แม้จำเลยจะทะเลาะวิวาทกับโจทก์ในสถานที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าลูกค้าของธนาคารก็เป็นพฤติการณ์ที่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ พิพากษายืน
|