

หลักเกณฑ์การหมั้นและเงื่อนไข อายุของคู่หมันฝ่าฝืนเป็นโมฆะ
เงื่อนไขของการหมั้น ในการที่ชายและหญิงจะทำการหมั้นกันนั้นกฎหมายกำหนดเงื่อนไขของการหมั้นไว้ 2 ประการ คือ ชายและหญิงคู่หมั้นคู่หมั้นต้องมีอายุอย่างต่ำ 17 ปีบริบูรณ์ การที่ชายจะทำการหมั้นหญิงนั้นกฎหมายกำหนดอายุของคู่หมั้นไว้ว่า ชายและหญิงต้องมีอายุอย่างต่า 17 ปี บริบูรณ์ อายุที่กำหนดตาม มาตรา 1435 นี้เป็นเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ การหมั้นที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขนี้จึงเป็นโมฆะ เหตุที่กฎหมายกำหนดอายุขั้นต่าของชายและหญิงที่จะเป็นคู่หมั้นกันไว้ก็เพราะการหมั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของชายและหญิง เมื่อจะทำสัญญาหมั้นกันจึงควรให้ชายและหญิงที่จะเป็นคู่หมั้นอยู่ในวัยที่รู้เรื่องการหมั้นได้ตามสมควร กฎหมายถือว่าชายและหญิงที่มี อายุต่ำกว่า 17 ปี บริบูรณ์ยังไม่เจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและจิตใจเพียงพอที่จะทำการหมั้นหรือการสมรส จึงทำการหมั้นไม่ได้ แม้บิดามารดาหรือผู้ปกครองจะให้ความยินยอมก็ตาม การหมั้นที่ชายและหญิงอายุยังไม่ครบ 17 ปี บริบูรณ์อันเป็นโมฆะตาม มาตรา 1435 วรรคสองนี้ แม้ต่อมา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มตรา 172 ซึ่งบัญญัติว่าโมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ เพราะฉะนั้นหากจะให้การหมั้นสมบูรณ์ก็ต้องมาทำการหมั้นกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ชายและหญิงที่มีอายุต่ากว่า 17 ปี บริบูรณ์จะขออนุญาติศาลทำการหมั้นไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ผิดกับการสมรสซึ่งหากมี่เหตุอันสมควร มาตรา 1448 ให้อำนาจศาลที่จะอนุญาตให้ชายหรือหญิงที่อายุต่ำกว่า 17 ปีบริบูรณ์ทำการสมรสได้ในกรณีที่ชายหรือหญิงซึ่งอายุต่ากว่า 17 ปีบริบูรณ์ทำการสมรสโดยได้รับอนุญาตจากศาล หากต่อมาขาดจากการสมรสเดิมและประสงค์จะทำการหมั้นใหม่ในขณะที่ตนอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ก็ไม่อาจจะกระทำได้ เพราะขัดต่อ มาตรา 1435 ที่บัญญัติไว้โดยเด็ดขาดว่า ชายและหญิงต้องอายุครบ 17 ปี บริบูรณ์แล้วทั้งสองคนจึงจะทำการหมั้นได้ หากฝ่าฝืนทำการหมั้นกันการหมั้นนี้เป็นโมฆะ หลักเกณฑ์การหมั้น มาตรา 1435 การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปี บริบูรณ์แล้ว
ผู้เยาว์ทำการหมั้นจะต้องได้รับความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครองด้วย ในกรณีที่ผู้เยาว์จะทำการหมั้นนั้น มาตรา 1436 ได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ว่า ผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้ (ก) มารดา หรือบิดา ถึงแก่ความตาย หรือถูกถอนอำนาจปกครองไปแล้ว บิดา หรือมารดาที่เหลืออยู่เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์เพียงคนเดียวจึงมีอำนาจที่จะให้ความยินยอมให้ผู้เยาว์ทำการหมั้นโดยลำพังคนเดียว การที่ผู้เยาว์ได้รับความยินยอมจากบิดา หรือมารดาเพียงคนเดียวให้ตนทำการหมั้นได้นี้เป็นทำนองเดียวกับการที่ผู้เยาว์มาร้องขอต่อศาลเพื่ออนุญาตให้ตนทำการสมรสเพราะไม่มีบิดามารดาให้ความยินยอมตาม มาตรา 1456 สำหรับกรณีที่บิดามารดา แยกกันอยู่ไม่ว่าจะตกลงแยกกันอยู่ระหว่างกันเอง หรือศาลมีคำสั่งอนุญาตให้แยกกันอยู่เป็นการชั่วคราวก็ตาม เนื่องจากบิดาและมารดายังมิได้หย่าขาดจากกัน บิดา และมารดายังเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์อยู่ ฉะนั้น หากผู้เยาว์จะทำการหมั้นก็จะต้องได้รับความยินยอจากบิดาและมารดาทั้งสองคน จะได้รับความยินยอมแต่เฉพาะบิดา หรือมารดาที่ตนอยู่ด้วยเพียงคนเดียวไม่ได้ (3) ผู้รับบุตรบุญธรรม ในการ๊ที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม เพราะบิดา มารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองผู้เยาว์ไปตั้งแต่ที่ได้มีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1598/28 ฉกะนั้น เมื่อบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์จะทำการหมั้นจึงต้องได้รับความยินยอมของผู้รับบุตรบุญธรรมแต่เพียงผู้เดียว สำหรับกรณีที่บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสกัน บุตรถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาแต่เพียงผู้เดียว บุตรผู้เยาว์หากจะทำการหมั้นจึงต้องได้รับความยินยอมแต่เฉพาะจากมารดาเพียงคนเดียวเท่านั้น การหมั้นที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมของบิดา มารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองดังกล่าวเป็นโมฆียะ ซึ่งหมายความว่าผู้เยาว์มีสิทธิที่จะบอกล้างการหมั้นนั้นได้ตาม มาตรา 175 (1) แม้ในระหว่างเป็นผู้เยาว์ก็บอกล้างได้ ถ้าได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อบอกล้างแล้วก็ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่แรกเริ่ม ผู้เยาว์อาจให้สัตยาบันในสัญญาหมั้นนั้นได้ เมื่อตนได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ตาม มาตรา 177 สำหรับบิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือ ผู้ปกครอง ก็อาจจะให้สัตยาบันสัญญาหมั้นที่เป็นโมฆียะซึ่งทำให้การหมั้นนั้นสมบูรณ์มาแต่แรกเริ่มได้ตาม มาตรา 177 แต่ก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขในเรื่องการให้ความยินยอม กล่าวคือ ถ้ากรณีที่จะต้องได้รับความยินยอมจากบิดา มารดาทั้งสองคนนั้น การให้สัตยาบันก็ต้องให้ทั้งสองคนเป็นต้น แต่สำหรับเรื่องบอกล้างสัญญาหมั้นที่เป็นโมฆียะนั้นเป็นไปตาม มาตรา 175 (1) คือบิดา มารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองคนใดคนหนึ่งมีสิทธิบอกล้างการหมั้นที่เป็นโมฆียะนี้ได้โดยลำพัง เงื่อนไขเกี่ยวกับการหมั้น เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง
ข้อสังเกต ในวันหมั้นและแต่งงานตามประเพณีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีการจัดงานเลี้ยงแขกจำนวนมากโดยไม่ปรากฏว่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเตรียมการเพื่อจดทะเบียนสมรสไว้เลย แสดงว่าต่างฝ่ายต่างมุ่งหมายในการให้สินสอดทองหมั้นและการจัดการงานแต่งงานก็เพื่อให้ได้อยู่กินมากกว่าการไปจดทะเบียนสมรสกัน ทั้งสองฝ่ายจึงไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรส โจทก์จึงไม่อาจอ้างการไม่ได้จดทะเบียนสมรสเป็นเหตุว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่อาจเรียกสินสอดทองหมั้นคืนจากจำเลยทั้งสามได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2540 โจทก์ตกลงแต่งานกับจำเลยที่3โดยวิธีผูกข้อมือแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่3มิได้มีเจตนาจะทำการสมรสโดยจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1457ดังนั้นทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ใช่ของหมั้นเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสามเพื่อเป็นหลักฐานการหมั้นและประกันว่าจะสมรสกับจำเลยที่3และไม่ใช่สินสอดเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ให้แก่จำเลยที่1และที่2บิดามารดาของจำเลยที่3เพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่3ยอมสมรสตามมาตรา1437โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน การที่จำเลยที่3ไม่ยอมให้โจทก์ร่วมหลับนอนนั้นเป็นสิทธิของจำเลยที่3เพราะการสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่3จะทำได้ต่อเมื่อจำเลยที่3ยินยอมเป็นสามีภริยากับโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1457การที่จำเลยที่3ไม่ยินยอมหลับนอนกับโจทก์ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาหมั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนหรือค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1439และมาตรา1440 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2538 โจทก์แต่งงานโดยวิธีผูกข้อมือกับจำเลยที่ 3 มีจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นบิดามารดาจำเลยที่ 3 ยินยอม โจทก์เสียเงินสินสอด 20,000 บาททองหมั้นหนัก 2 บาท ราคา 10,000 บาท โจทก์และจำเลยที่ 3ได้รับทรัพย์รับไหว้จากญาติเป็นเงิน 7,739 บาท เป็นส่วนของโจทก์2,369.50 บาท โจทก์เสียค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสเป็นเงิน 6,600 บาท ครั้นโจทก์ไปบ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1และที่ 2 ขัดขวางไม่ยอมให้ขึ้นบ้านเพื่อหลับนอนฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 3 ทั้งจำเลยที่ 3 ก็ไม่ยอมเช่นกัน การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์รับความอับอายขอคิดค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นเงิน 20,000 บาท จำเลยทั้งสามต้องคืนสินสอดทองหมั้นและทรัพย์รับไหว้ส่วนของโจทก์กับชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสเป็นเงิน 6,600 บาทโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามคืนเงินสินสอด 20,000 บาท ทองหมั้นหนัก 2 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 10,000 บาท ทรัพย์รับไหว้ 2,369.50 บาท กับชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรส 6,600 บาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียง 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 58,696.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำละเมิดโจทก์รวมทั้งไม่ถือว่ามีการผิดสัญญาหมั้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามให้ยกฟ้อง โจทก์ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับคำขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินค่าผูกข้อมือจำนวน 2,369.50บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ไว้พิจารณาต่อไป และมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินสินสอด ทองหมั้น และค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามขอให้ศาลฎีกาสั่งรับฟ้องของโจทก์ทั้งหมด ปรากฏว่า โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2538 โจทก์ได้แต่งงานโดยวิธีผูกข้อมือกับจำเลยที่ 3 โดยเสียสินสอดไป 20,000 บาท ทองหมั้นหนัก 2 บาท คิดเป็นเงิน 20,000 บาทจำเลยที่ 1 และที่ 2 กีดกันไม่ให้โจทก์หลับนอนกับจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 ก็ไม่ยอมหลับนอนกับโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหาย ค่าสินสอดและทองหมั้นให้โจทก์ เห็นว่า โจทก์ตกลงแต่งงานกับจำเลยที่ 3 โดยวิธีผูกข้อมือแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 3 มิได้มีเจตนาจะทำการสมรสโดยจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457ฉะนั้น ทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสามจึงไม่ใช่ของหมั้นเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสามเพื่อเป็นหลักฐานการหมั้นและประกันว่าจะสมรสกับจำเลยที่ 3 และไม่ใช่สินสอดเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 บิดามารดาของจำเลยที่ 3 เพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่ 3 ยอมสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน ส่วนการที่จำเลยที่ 3 ไม่ยอมให้โจทก์ร่วมหลับนอนนั้นเป็นสิทธิของจำเลยที่ 3 เพราะการสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 3จะทำได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 3 ยินยอมเป็นสามีภริยากับโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 การที่จำเลยที่ 3ไม่ยินยอมหลับนอนกับโจทก์ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ หรือผิดสัญญาหมั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนหรือค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439และมาตรา 1440 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1117/2535 ชายและหญิงเพียงแต่ประกอบพิธีแต่งงานเพื่ออยู่กินกันตามประเพณีโดย ไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย เงินที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ฝ่ายหญิงจึงไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมายแม้จะมีการหมั้นกันตามประเพณีและมอบทรัพย์สินให้แก่กันในขณะหญิงอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ก็ตาม ฝ่ายชายก็ไม่มีสิทธิเรียกคืน โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบิดาโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นบิดามารดาจำเลยที่ 3 โจทก์ที่ 1 ได้สู่ขอและหมั้นจำเลยที่ 3 ให้โจทก์ที่ 2 ด้วยเงินสด 4,000 บาท ต่อมาในวันทำพิธีสมรสโจทก์ทั้งสองได้มอบเงินค่าสินสอดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อีก11,000 บาท และต้องเสียค่าอาหารและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำพิธีสมรสเป็นเงิน 10,150 บาท แต่เมื่อทำพิธีสมรสแล้วจำเลยที่ 3ไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสและไม่ยอมอยู่กินเป็นสามีภริยากับโจทก์ที่ 2 ขณะหมั้นจำเลยที่ 3 อายุไม่ครบ 17 ปี การหมั้นจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสามต้องคืนเงินของหมั้นและสินสอดกับชดใช้ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสามไม่คืนและไม่ชดใช้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 25,150 บาทกับดอกเบี้ย 396 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 25,150 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้แต่เรียกสินสอดจากโจทก์อย่างเดียวเป็นเงิน 15,000 บาท หลังทำพิธีสมรสโจทก์ที่ 2 อยู่กินกับจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 เดือนเศษ แล้วออกจากบ้านจำเลยไปเอง โจทก์ที่ 2 ไม่เคยเรียกร้องให้มีการจดทะเบียนสมรสจำเลยที่ 3 ยังพร้อมที่จะจดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ที่ 2 จำเลยทั้งสามไม่ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน15,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามไม่ต้องคืนเงินของหมั้นและเงินสินสอดแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ได้หมั้นกันเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2529 และแต่งงานกันเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2530 โดย โจทก์ที่ 2 มอบเงินจำนวน 4,000 บาทให้จำเลยที่ 3 เป็นของหมั้น และโจทก์ที่ 1 มอบเงินจำนวน 11,000 บาทให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสินสอด ขณะหมั้นจำเลยที่ 3 อายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ หลังแต่งงานและอยู่กินด้วยกันนานประมาณ1 เดือน โจทก์ที่ 2 ได้หนีออกจากบ้านจำเลยทั้งสามไป แต่ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิจารณาข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์เลยว่า ทั้งก่อนและในวันแต่งงานฝ่ายโจทก์ได้เคยพูดกับทางฝ่ายจำเลยถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสให้เป็นกิจจะลักษณะ ตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกันประมาณ 1 เดือน โจทก์ที่ 2 ก็ไม่เคยขอให้จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนสมรส กลับได้ความจากโจทก์ที่ 2 เองว่า โจทก์ที่ 2 ไม่เคยมีความคิดที่จะจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 3 มาก่อนโจทก์ที่ 2 ไปขอให้จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนสมรสตามคำแนะนำของทนายความ นอกจากนั้นโจทก์ที่ 2 ยังเบิกความว่า แม้จำเลยที่ 3อายุไม่ครบ 17 ปี โจทก์ที่ 2 ก็จะแต่งงานด้วย ซึ่งแสดงว่าโจทก์ที่ 2 มุ่งประสงค์จะแต่งงานอยู่กินกับจำเลยที่ 3 ตามประเพณีเป็นสำคัญ หาได้นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสไม่ เมื่อโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เพียงแต่ประกอบพิธีแต่งงานเพื่ออยู่กินกันตามประเพณี ไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย เงินทั้งหลายที่ฝ่ายโจทก์มอบให้แก่ฝ่ายจำเลยจึงไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย แม้จะมีการหมั้นกันตามประเพณีและมอบทรัพย์สินให้แก่กันในขณะจำเลยที่ 3 อายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ โจทก์ก็หามีสิทธิเรียกคืนไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาชอบแล้ว" พิพากษายืน ข้อสังเกต |