ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สิทธิของเจ้าหนี้ & การขัดกันของคำพิพากษา, บังคับคดี, ทรัพยสิทธิ, (ฎีกา 674/2566)

คำพิพากษาศาลฎีกา 674/2566, การบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาท, สิทธิของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300, การตีความ ป.วิ.พ. มาตรา 145 และ 146, คำพิพากษาขัดกันของศาลต่างชั้น, คดีเกี่ยวกับการคืนเงินมัดจำและค่าเสียหาย, การใช้สิทธิของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการบังคับคดี, การตีความทรัพยสิทธิยันบุคคลทั่วไป, วิเคราะห์ฎีกาด้านบังคับคดีและสิทธิของเจ้าหนี้, แนวทางปฏิบัติด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, คำพิพากษาศาลฎีกาสำคัญด้านสิทธิของเจ้าหนี้ 

    ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และการตีความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และ 146 เกี่ยวกับการบังคับคดีในคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1083 โดยมีประเด็นสำคัญคือ การขัดกันของคำพิพากษาศาลต่างชั้น และการวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ที่ได้รับการคุ้มครองก่อนบุคคลอื่นหรือไม่ ศาลฎีกาจึงตัดสินกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และกำหนดแนวทางการใช้สิทธิของเจ้าหนี้ในการบังคับคดี

ข้อเท็จจริงของคดี

คดีเกี่ยวพันกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 ซึ่งกำหนดให้จำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1083 ให้ผู้ร้อง หากไม่สามารถโอนได้ ต้องคืนเงินมัดจำ 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหาย

ต่อมาในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 4617–4618/2560 ศาลมีคำสั่งว่าการโอนกรรมสิทธิ์ตกเป็นพ้นวิสัย และให้ผู้ร้องเรียกคืนเงินมัดจำและค่าเสียหายแทน

ภายหลัง มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2562 ระบุให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกชำระหนี้แก่บริษัทโจทก์ในอีกคดีหนึ่งที่เกี่ยวกับที่ดินเดียวกัน แต่การบังคับชำระหนี้ดังกล่าวยังแยกออกจากสิทธิของผู้ร้องได้

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ อ้างสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โจทก์ฎีกา

ประเด็นข้อกฎหมาย

1. ผู้ร้องมีสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ที่จะขอปล่อยที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 หรือไม่

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2562 ขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 4617–4618/2560 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146 หรือไม่

3. การบังคับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตกเป็นพ้นวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 แล้วหรือไม่

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

สิทธิของผู้ร้อง: ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 และอยู่ในฐานะมีสิทธิยื่นขอจดทะเบียนสิทธิของตนก่อนบุคคลอื่นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300

การขัดกันของคำพิพากษา: แม้คดีทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินเดียวกัน แต่ลักษณะการบังคับหนี้สามารถแยกออกจากกันได้ จึงไม่ถือว่าคำพิพากษาศาลต่างชั้นขัดกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146

พ้นวิสัยการโอน: เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการโอนกรรมสิทธิ์ตกเป็นพ้นวิสัย และคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องต้องยอมรับผลดังกล่าว ไม่อาจขอให้โอนที่ดินอีกได้ ต้องจำกัดสิทธิให้เพียงการรับคืนมัดจำและค่าเสียหาย

พิพากษา: ศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยึดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

วิเคราะห์และขยายความ

1. ทรัพยสิทธิยันบุคคลทั่วไป (ป.พ.พ. ม.1300): การที่ศาลรับรองสิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ ทำให้เห็นแนวทางว่าคำพิพากษาที่กำหนดให้โอนกรรมสิทธิ์หากไม่สำเร็จต้องคืนมัดจำ ถือเป็นสิทธิที่สามารถยกขึ้นยันบุคคลทั่วไปได้

2. การขัดกันของคำพิพากษา (ป.วิ.พ. ม.146): ศาลฎีกาเน้นว่าบทบัญญัตินี้ใช้เฉพาะกรณีที่คำพิพากษาของศาลต่างชั้น “เกี่ยวกับการปฏิบัติชำระหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้” ซึ่งกรณีนี้แยกได้ จึงไม่เข้าเงื่อนไข

3. พ้นวิสัยการบังคับคดี (ป.วิ.พ. ม.145): หากศาลชี้ขาดแล้วว่าพ้นวิสัย คู่ความต้องผูกพัน ไม่อาจฟ้องซ้ำหรือเรียกสิทธิเดิมอีก

IRAC Analysis

Issue:

ผู้ร้องมีสิทธิขอปล่อยที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าหนี้ก่อนบุคคลอื่น และคำพิพากษาศาลต่างชั้นถือว่าขัดกันหรือไม่

Rule:

ป.พ.พ. มาตรา 1300: ทรัพยสิทธิสามารถยกยันบุคคลทั่วไปได้

ป.วิ.พ. มาตรา 145: เมื่อการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย ต้องดำเนินการตามลำดับถัดไป

ป.วิ.พ. มาตรา 146: หากมีคำพิพากษาสุดท้ายของศาลต่างชั้นที่ขัดกัน และหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลสูงกว่า

Application:

ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิยื่นคำร้องได้ตามมาตรา 1300

คดีนี้แม้เกี่ยวกับที่ดินเดียวกัน แต่การบังคับหนี้แยกได้ จึงไม่เป็นคำพิพากษาขัดกันตามมาตรา 146

เมื่อศาลชี้ว่าการโอนกรรมสิทธิ์พ้นวิสัยแล้ว ผู้ร้องมีสิทธิได้เพียงคืนมัดจำและค่าเสียหายตามมาตรา 145

Conclusion:

ศาลฎีกาวินิจฉัยกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยึดตามศาลชั้นต้น ผู้ร้องไม่อาจเรียกการโอนกรรมสิทธิ์อีกต่อไป

ข้อคิดทางกฎหมาย

สิทธิของเจ้าหนี้ที่ได้รับการรับรองในคำพิพากษามีสถานะเป็น “ทรัพยสิทธิ” ที่ยกขึ้นยันบุคคลอื่นได้

คำพิพากษาขัดกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146 ต้องเป็นกรณีหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้เท่านั้น

หากศาลมีคำสั่งว่าการบังคับคดีตกเป็นพ้นวิสัยแล้ว คู่ความต้องผูกพัน ไม่สามารถใช้สิทธิซ้ำในลำดับเดิม


คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และการตีความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และ 146 เกี่ยวกับการบังคับคดีในคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1083 โดยมีประเด็นสำคัญคือ การขัดกันของคำพิพากษาศาลต่างชั้น และการวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ที่ได้รับการคุ้มครองก่อนบุคคลอื่นหรือไม่ ศาลฎีกาจึงตัดสินกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และกำหนดแนวทางการใช้สิทธิของเจ้าหนี้ในการบังคับคดี

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2566

เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 4617 - 4618/2560 ซึ่งเป็นคดีสาขาในชั้นบังคับคดีของคดีตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 ได้พิพากษายืนตามคําพิพากษาศาลชั้นต้นที่ระบุว่า หากผู้ร้องประสงค์จะบังคับคดีต่อไป ต้องเรียกให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำกับเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2562 ซึ่งมีบริษัท ต. เป็นโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ชําระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แม้ทั้งสองเรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1083 แต่การปฏิบัติการชําระหนี้สามารถแบ่งแยกจากกันได้อย่างชัดเจน กรณีไม่เป็นคําพิพากษาของสองศาลซึ่งต่างชั้นกันนั้นขัดกันอันจะตกอยู่ในบังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146 วรรคหนึ่ง

เมื่อ จ. และ ส. จำเลยทั้งสองตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. ยื่นคําร้องขอให้งดการโอนที่ดินพิพาทตามคําขอของผู้ร้องที่ยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบึงกุ่ม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการบังคับคดีในลำดับแรกโดยการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตกเป็นพ้นวิสัย ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าวและได้แต่รับมัดจำ รวมทั้งค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองเท่านั้น จะมาเรียกให้บังคับคดีในลำดับแรกอีกไม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,205,421.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1083 อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์โดยอ้างว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 ระหว่างผู้ร้อง ซึ่งเป็นโจทก์ กับนางจรินทิพย์ จำเลยที่ 1 และนางสาวสมทรง จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบำรุง โดยศาลฎีกาพิพากษาให้นางจรินทิพย์และนางสาวสมทรงร่วมกันดำเนินการยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์นำยึดไว้ แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง หากการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตกเป็นพ้นวิสัย ให้นางจรินทิพย์และนางสาวสมทรงร่วมกันคืนมัดจำและชำระค่าเสียหายแก่ผู้ร้องเป็นเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 อันเป็นทรัพยสิทธิใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ รวมถึงโจทก์และจำเลยด้วย ทำให้โจทก์ไม่อาจบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ ที่ดินพิพาทมีราคาสูงกว่าหนี้ที่จำเลยต้องชำระต่อโจทก์เป็นจำนวนมาก โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องมีพฤติการณ์พิเศษในการยื่นคำร้องเกิน 60 วัน นับแต่วันที่มีการยึดที่ดินพิพาท ขอให้มีคำสั่งปล่อยที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1083 คืนแก่ผู้ร้องเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป

โจทก์ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกคำร้อง

จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นงดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1083 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 ซึ่งพิพากษาให้มีการยื่นขอรังวัดที่ดินพิพาทแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้อง หากการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตกเป็นพ้นวิสัยให้ผู้ร้องรับเงินมัดจำคืนกับค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวในลำดับแรกตกเป็นพ้นวิสัย หากผู้ร้องประสงค์จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปต้องเรียกให้นางจรินทิพย์และนางสาวสมทรง จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวปฏิบัติการชำระหนี้ในลำดับถัดไปคือ การเรียกให้คืนเงินมัดจำและชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และคดีถึงที่สุดเพราะศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้อง ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 4617 - 4618/2560 หลังจากนั้นได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2562 ระหว่าง บริษัท ต. โจทก์ นายวิศิษฎ์ (ผู้ร้อง) ผู้ร้องสอด นางจรินทิพย์ จำเลยที่ 1 และนางสาวศมภัสหรือสมทรง จำเลยที่ 2 ซึ่งพิพากษาให้นางจรินทิพย์และนางสาวสมทรง จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบำรุง ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่บริษัท ต. โจทก์ในคดีดังกล่าว แต่วินิจฉัยด้วยว่า การชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องสอดในคดีดังกล่าวไม่ตกเป็นพ้นวิสัยเสียทั้งหมด เมื่อที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือ 32 ไร่เศษ ยังเป็นประโยชน์ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีในส่วนที่เหลือด้วยการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนางจรินทิพย์และนางสาวสมทรงในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบำรุง ในคดีอื่นเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ถือว่าผู้ร้องเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนในทรัพย์สินนั้นได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อที่สองว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2562 ขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 4617 - 4618/2560 และต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคหนึ่ง มีสาระสำคัญคือเป็นกรณีที่มีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดของสองศาลต่างชั้นกัน และกล่าวถึงการปฏิบัติชำระหนี้ที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้เท่านั้น เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 4617 - 4618/2560 ซึ่งเป็นคดีสาขาในชั้นบังคับคดีของคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ระบุว่า หากผู้ร้องประสงค์จะบังคับคดีต่อไป ต้องเรียกให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำกับเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ในขณะที่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2562 ซึ่งมีบริษัท ต. เป็นโจทก์ และศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนั้น แม้ทั้งสองเรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท แต่การปฏิบัติชำระหนี้สามารถแบ่งแยกจากกันได้อย่างชัดเจน กรณีไม่เป็นคำพิพากษาของสองศาลซึ่งต่างชั้นกันนั้นขัดกันอันจะตกอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายว่า การบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 ในลำดับแรกโดยการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้แก่ผู้ร้องตกเป็นพ้นวิสัยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อนางสาวจรินทิพย์และนางสาวสมทรง จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบำรุง ยื่นคำร้องขอให้งดการโอนที่ดินพิพาทตามคำขอของผู้ร้องที่ยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบึงกุ่ม ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการบังคับคดีในลำดับแรกตกเป็นพ้นวิสัย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อได้ความว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าวและได้แต่รับมัดจำรวมทั้งค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองเท่านั้น จะมาเรียกให้บังคับคดีในลำดับแรกอีกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน เมื่อคดีรับฟังเป็นเช่นนี้แล้วย่อมไม่ต้องพิจารณาฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

 




การบังคับคดีตามคำพิพากษา

ความรับผิดละเมิด เจ้าหนี้ละเลยไม่แจ้งงดการบังคับคดีตามข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้(ฎีกา 742/2567)
คดีซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 และการบังคับคดี (ฎีกา 1279/2568)
เพิกถอนขายทอดตลาด & ไม่รับฎีกา, วางเงินประกัน, (ฎีกา ครพ.1072/2567)
สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิไม่อยู่ในบังคับคดี ม.301(5) ป.วิ.พ. (ฎีกา 900/2568)
คดีเพิกถอนการขายทอดตลาด & สิทธิครอบครอง, สิทธิในที่ดินพิพาท (ฎีกา 2564/2567)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5357/2567: การตีความสถานะ “บริวารของจำเลย” และอำนาจพิเศษในการครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5437/2567: สิทธิหักส่วนได้ใช้แทนของเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง และการเพิกถอนการขายทอด
บทบาทและอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี และกระบวนการบังคับคดีตามกฎหมายไทย
คำพิพากษาศาลฎีกา 367/2568: บ้านบนที่ดินรกร้าง ยึดขายชำระหนี้ได้หรือไม่?
สินส่วนตัว vs สินสมรส & บังคับคดี, ยึดทรัพย์, การปล่อยทรัพย์, (ฎีกา 372/2567)
จดทะเบียนหย่าหลีกเลี่ยงบังคับคดี โมฆะกรรมเจ้าหนี้ไม่อาจฟ้อง (ฎีกา 1241/2567)
จำเลยมีสิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, โจทก์มีสิทธิยึดชำระหนี้ได้แม้ยังเป็นชื่อผู้จัดการมรดก, การยึดทรัพย์มรดก, การบังคับคดี
การขายทอดตลาดที่ดิน, การประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด, ความไม่สุจริตในการประมูลซื้อที่ดิน, การขับไล่ผู้คัดค้านออกจากที่ดิน,
เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดิน, อำนาจฟ้อง, การฟ้องร้องละเมิดเจ้าพนักงานบังคับคดี, คดีการขายทอดตลาดในราคาต่ำกว่าปกติ
ลำดับการนับโทษคดีอาญา, การนับโทษจำคุกต่อเนื่อง, การแก้ไขหมายจำคุก,
คำร้องงดการบังคับคดี, การเพิกถอนการบังคับคดี, การขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ทรัพย์สินของแผ่นดิน, เงินอุดหนุนจากรัฐและการยกเว้นการอายัด, หน่วยงานของรัฐกับการบังคับคดี
ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองแม้หนี้ประธานขาดอายุความแล้วแต่ต้องบังคับคดีภายในสิบปี
ยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย, ค่าธรรมเนียมการยึดหรือการบังคับคดี, อำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้รื้อถอนอาคาร
คำขอไต่สวนทรัพย์สินของลูกหนี้, บังคับคดีลูกหนี้ตามคำพิพากษา, การยึดทรัพย์สินลูกหนี้
ขอให้เพิกถอนการบังคับคดี, ชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว
โจทก์ขอบังคับคดีค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในจำนวนที่มากกว่าเงินเหลือจากหักค่าใช้จ่าย
ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ออกหมายบังคับคดีได้
ขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนอง
สิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่โจทก์นำยึด(ร้องขัดทรัพย์)
ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี
ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด | ฟ้องขับไล่
เขตอำนาจศาลเรื่องคำร้องขัดทรัพย์
สิทธิขอกันส่วนที่ดินก่อนขายทอดตลาด เจ้าของรวม ขอให้ปล่อยทรัพย์
หากผู้กู้นำทรัพย์สินมาตีใช้หนี้แก่ผู้ให้กู้ในราคาท้องตลาดหนี้ระงับ
ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ระงับการมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามี
การบังคับคดีอายัดเงินค่าหุ้นของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ
เงินเดือนข้าราชการไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีหรืออายัดไม่ได้จริงหรือไม่?
ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล ขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์
อายัดเงินที่บุคคลภายนอกจะต้องชำระให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้มีอำนาจขอให้บังคับคดีคือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
อายัดเงินฝากในบัญชีของจำเลย
บังคับจำนองเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่มีคำพิพากษา