

ลำดับการนับโทษคดีอาญา, การนับโทษจำคุกต่อเนื่อง, การแก้ไขหมายจำคุก, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ลำดับการนับโทษคดีอาญา, การนับโทษจำคุกต่อเนื่อง, การแก้ไขหมายจำคุก, *ศาลฎีกาพิพากษายืนโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งลำดับการนับโทษ แต่ศาลชั้นต้นยืนยันคำสั่งเดิม ชี้ต้องว่ากล่าวในคดีที่เกี่ยวข้องโดยตรง *คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยจำเลยถูกลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 และ 317 ฐานร่วมกันพรากเด็กและข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี จำคุกตลอดชีวิต คำขออื่นให้ยก ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดวันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 เพื่อขอทราบลำดับการบังคับโทษในคดีต่าง ๆ ซึ่งศาลชั้นต้นตรวจสำนวนและยืนยันให้เริ่มนับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 เป็นคดีแรก และลำดับคดีถัดไปตามคำพิพากษา ต่อมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 จำเลยยื่นคำร้องอีกครั้งโดยโต้แย้งลำดับการนับโทษว่าควรบังคับโทษควบกันในหลายคดี ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้องดังกล่าว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2567 คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 โดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังโดยระบุในหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่า ให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย เป็นการออกหมายจำคุกตามคำพิพากษาโดยชอบแล้ว การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีนี้ ควบหรือซ้อนกับคดีที่ขอให้นับโทษต่อ และขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น เป็นการโต้แย้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษจำคุกต่อดังกล่าวไม่ต้องนับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีนี้ ซึ่งจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ หาใช่มายื่นคำร้องในคดีนี้ไม่ *คดีสืบเนื่องมาจากคดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 317 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง จำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงของจำเลยแล้ว คงให้จำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โดยศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดลงวันที่ 4 กันยายน 2556 ให้จำคุกตลอดชีวิตนับแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 ต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2888/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3013/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4118/2555 ของศาลชั้นต้น จำเลยมีความประสงค์ขอทราบว่า จำเลยถูกบังคับโทษตามคำพิพากษาคดีใดเป็นคดีแรกและคดีใดเป็นคดีถัดไป ทั้งนี้จำเลยต้องโทษจำคุกมาตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 และต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ได้ตรวจสำนวนประกอบคำร้องแล้วคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2550 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ลงวันที่ 4 กันยายน 2556 การนับโทษจำคุกจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2550 เป็นคดีแรก คือ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 แล้วให้นับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 ของศาลชั้นต้นตามลำดับ และศาลชั้นต้นมีหนังสือลงวันที่ 17 สิงหาคม 2565 แจ้งลำดับการบังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำเลยทราบแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อศาลชั้นต้นว่า การนับโทษ (ลำดับการบังคับโทษตามคำพิพากษา) ของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง จะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ควบกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118 /2555 ของศาลชั้นต้น และขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นได้ระบุชัดว่าให้นับโทษต่อในคำพิพากษา (ลำดับการบังคับโทษตามคำพิพากษา) และคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า คดีนี้ (คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ของศาลชั้นต้น) ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิต ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังวันที่ 11 เมษายน 2550 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้จำเลยฟังวันที่ 8 กันยายน 2552 และศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้โจทก์ฟังวันที่ 16 ตุลาคม 2552 ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 และออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยระบุในหมายว่า ให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิตนับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษา ยกฟ้องโจทก์คดีนี้ จำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 ปรากฏตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 13 เดือน 10 วัน คดีถึงที่สุดวันที่ 6 ตุลาคม 2554 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 และ 1729/2553 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2888/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 6 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 และ 767/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 27 ตุลาคม 2554 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3013/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 4 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 861/2550, 1729/2553, 767/2554 และ 2888/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 6 พฤศจิกายน 2554 ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 และ 4118/2555 ของศาลชั้นต้น ปรากฏตามหนังสือศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่แจ้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้จำเลยทราบ และคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 200,000 บาท นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554 และ 2888/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคม 2554 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4118/2555 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 200,000 บาท นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554, 2888/2554, 3013/2554 และ 3264/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคม 2555 สำหรับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 ของศาลชั้นต้น จำเลยพ้นโทษแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ (คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ของศาลชั้นต้น) ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 โดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังโดยระบุในหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่า ให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย เป็นการออกหมายจำคุกตามคำพิพากษาโดยชอบแล้ว การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ควบหรือซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 และขอให้แก้ไขตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น เป็นการโต้แย้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษจำคุกดังกล่าวไม่ต้องนับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีนี้ ซึ่งจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ หาใช่มายื่นคำร้องในคดีนี้ไม่ การที่จำเลยยื่นคำร้องมาในคดีนี้จึงไม่ถูกต้อง ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน • คดีอาญาหมายเลขแดง • การนับโทษจำคุกต่อเนื่อง • การแก้ไขหมายจำคุก • มาตรา 91 ประมวลกฎหมายอาญา • การโต้แย้งคำพิพากษา • โทษจำคุกตลอดชีวิต • การยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาโดยย่อ คดีนี้ ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจาร และร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยนับโทษตามลำดับในคดีอาญาหมายเลขแดงต่าง ๆ ตามที่ศาลชั้นต้นระบุ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลตรวจสอบลำดับการบังคับโทษ จำเลยแย้งว่าการนับโทษไม่ถูกต้องและขอแก้ไขหมายจำคุก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องเนื่องจากไม่พบเหตุเปลี่ยนแปลง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษาว่า การออกหมายจำคุกของศาลชั้นต้นเป็นไปตามคำพิพากษาและกฎหมาย การที่จำเลยยื่นคำร้องในคดีนี้ไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นดังกล่าวควรยื่นในคดีที่เกี่ยวข้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ยกคำร้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน **ความหมายของการนับโทษจำคุกต่อเนื่อง การนับโทษจำคุกต่อเนื่อง (Consecutive Sentences) หมายถึง การที่บุคคลถูกตัดสินให้ต้องรับโทษจำคุกในหลายคดี โดยที่โทษจำคุกในคดีหนึ่งจะต้องรับให้ครบถ้วนก่อน จึงจะเริ่มนับโทษในคดีถัดไป ตามลำดับที่ศาลกำหนด การนับโทษลักษณะนี้ใช้ในกรณีที่จำเลยต้องรับโทษในหลายคดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยแต่ละโทษมีลักษณะเป็นอิสระจากกัน หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดโทษในหลายกระทงความผิด โดยระบุว่า หากผู้กระทำผิดต้องรับโทษในหลายคดี ศาลสามารถสั่งให้รับโทษพร้อมกัน (Concurrent Sentences) หรือรับโทษต่อเนื่องกัน (Consecutive Sentences) ก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลและข้อเท็จจริงในแต่ละคดี ตัวอย่างการนับโทษจำคุกต่อเนื่อง กรณีที่ 1 นาย ก ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีแรก โดยศาลพิพากษาให้จำคุก 5 ปี ต่อมาศาลพิพากษาคดีที่สองให้จำคุกอีก 3 ปี หากศาลกำหนดให้รับโทษต่อเนื่อง นาย ก จะต้องรับโทษจำคุก 5 ปีในคดีแรกให้ครบก่อน แล้วจึงเริ่มรับโทษ 3 ปีในคดีที่สอง รวมเวลาจำคุกทั้งหมด 8 ปี กรณีที่ 2 นาง ข ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 10 ปีในคดีแรก และ 15 ปีในคดีที่สอง โดยศาลสั่งให้รับโทษต่อเนื่อง ในกรณีนี้ นาง ข จะต้องรับโทษรวม 25 ปี หลักเกณฑ์ที่ศาลใช้พิจารณา การกำหนดว่าจะให้รับโทษต่อเนื่องหรือพร้อมกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่: ความร้ายแรงของความผิด หากคดีมีความร้ายแรงสูงหรือกระทบต่อสังคม ศาลอาจพิจารณาให้รับโทษต่อเนื่องเพื่อเพิ่มระดับความรับผิดชอบของจำเลย เจตนาของผู้กระทำความผิด การพิจารณาว่าผู้กระทำความผิดมีเจตนาทำผิดซ้ำซ้อนหรือไม่เป็นอีกปัจจัยที่ศาลใช้ในการตัดสินใจ ประวัติอาชญากรรม หากจำเลยเคยกระทำความผิดในอดีตและยังคงกระทำผิดอีก ศาลอาจใช้การนับโทษต่อเนื่องเพื่อป้องปรามพฤติกรรม ผลกระทบของการนับโทษจำคุกต่อเนื่อง การนับโทษจำคุกต่อเนื่องมีผลโดยตรงต่อระยะเวลาที่จำเลยจะต้องอยู่ในเรือนจำ ซึ่งในบางกรณีอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิในการลดหย่อนโทษ เช่น การลดโทษในวันสำคัญหรือการได้รับการพักโทษ เพราะการลดหย่อนโทษจะพิจารณาจากระยะเวลาของโทษในแต่ละคดีเป็นหลัก การยื่นคำร้องเกี่ยวกับการนับโทษ หากจำเลยเห็นว่าการนับโทษที่ศาลกำหนดไม่ถูกต้อง เช่น คำสั่งนับโทษต่อเนื่องไม่สอดคล้องกับกฎหมาย จำเลยสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม คำร้องดังกล่าวต้องมีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น การยืนยันว่าโทษในบางคดีควรนับรวมกับโทษในคดีอื่นแทน สรุป การนับโทษจำคุกต่อเนื่องเป็นกระบวนการที่ศาลใช้ในการกำหนดลำดับการรับโทษของจำเลยในหลายคดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โทษที่กำหนดมีความเหมาะสมกับความผิดที่เกิดขึ้น การนับโทษลักษณะนี้แสดงถึงความยุติธรรมในระบบกฎหมาย แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มระดับความรับผิดชอบของผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน หากมีข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการนับโทษ ผู้เกี่ยวข้องสามารถยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลพิจารณาได้เช่นกัน **การออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด การออกหมายจำคุก เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการบังคับคดีอาญาเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยต้องรับโทษจำคุก และไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาเพิ่มเติม หรือคดีได้ผ่านพ้นขั้นตอนการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาจนถึงที่สุด โดยการออกหมายจำคุกนี้มีขั้นตอนและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน 1. ความหมายของคำว่า "คดีถึงที่สุด" ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ได้กำหนดว่าคดีถึงที่สุด หมายถึง คดีที่ไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาอีกต่อไป หรือเมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก ทั้งนี้ หากจำเลยยื่นฎีกาไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของการฎีกา คดีนั้นจะถือว่าถึงที่สุดทันที 2. ขั้นตอนการออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดและศาลมีคำสั่งให้จำเลยต้องรับโทษจำคุก เจ้าพนักงานศาลจะดำเนินการออกหมายจำคุก โดยมีขั้นตอนดังนี้: 1.ตรวจสอบคำพิพากษา ศาลจะตรวจสอบว่าคำพิพากษาถึงที่สุดหรือไม่ หากคำพิพากษาถึงที่สุดและมีคำสั่งให้จำเลยต้องรับโทษจำคุก ศาลจะพิจารณาออกหมายจำคุก 2.จัดทำหมายจำคุก หมายจำคุกต้องระบุรายละเอียดสำคัญ เช่น ชื่อจำเลย ความผิดที่ถูกตัดสิน และระยะเวลาของโทษจำคุกที่จำเลยต้องรับ 3.ส่งตัวจำเลยเข้าสู่เรือนจำ เมื่อหมายจำคุกถูกออก เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานอัยการจะเป็นผู้รับหมายไปดำเนินการจับกุมจำเลย (ถ้าจำเลยยังอยู่ภายนอกเรือนจำ) และส่งตัวเข้าสู่เรือนจำเพื่อรับโทษตามคำพิพากษา 3. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การออกหมายจำคุกนั้นต้องดำเนินการตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ดังนี้: •ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 ระบุว่าศาลเป็นผู้มีอำนาจสั่งออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด •พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 กำหนดหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เรือนจำในการรับตัวผู้ต้องขังตามหมายจำคุกและการดำเนินการภายในเรือนจำ •ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ระบุถึงเงื่อนไขการลดโทษหรือรอลงอาญาที่อาจเกี่ยวข้องกับการออกหมายจำคุกในบางกรณี 4. กรณีที่ไม่สามารถออกหมายจำคุกได้ทันที มีบางกรณีที่ศาลไม่สามารถออกหมายจำคุกได้ทันที เช่น: 1.จำเลยหลบหนี หากจำเลยหลบหนีก่อนที่คดีจะถึงที่สุด ศาลจะต้องออกหมายจับก่อน เพื่อให้สามารถนำตัวมาดำเนินการตามคำพิพากษา 2.คดีอยู่ระหว่างรอลงอาญา หากคำพิพากษามีเงื่อนไขให้รอลงอาญา การออกหมายจำคุกจะไม่เกิดขึ้น เว้นแต่จำเลยทำผิดเงื่อนไขของการรอลงอาญา 5. ความสำคัญของการออกหมายจำคุก การออกหมายจำคุกเป็นกระบวนการที่แสดงถึงการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความยุติธรรม การดำเนินการนี้ช่วยให้คำพิพากษาของศาลมีผลในทางปฏิบัติและสร้างความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของประเทศ สรุป การออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ศาลใช้บังคับโทษจำคุกแก่จำเลยตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด โดยต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามหลักความยุติธรรมและก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม |