

ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี สัญญาซื้อขายระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ซื้อทรัพย์ว่า ผู้ซื้อจะนำเงินที่ค้างชำระมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 15 วันถ้าผู้ซื้อทรัพย์ไม่สามารถชำระเงินได้ภายในกำหนดเวลาสามารถยื่นขอขยายระยะเวลาวางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้โดยระบุเหตุผลและความจำเป็น เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขยายให้อีกตามที่เห็นสมควรทั้งนี้ไม่เกิน 3 เดือน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10399/2555 ตามสัญญาซื้อขายระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ร้อง ข้อ 2.3 กำหนดว่า ผู้ร้องจะนำเงินค่าซื้อทรัพย์ที่ค้างชำระมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้เสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันซื้อเป็นต้นไป ในกรณีที่ผู้ร้องไม่สามารถชำระเงินส่วนที่ค้างชำระได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว สามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยระบุเหตุผลและความจำเป็น เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขยายให้อีกตามที่เห็นสมควรทั้งนี้ไม่เกิน 3 เดือน และไม่ว่ากรณีใดๆ จะไม่มีการขยายระยะเวลาวางเงินให้อีก แสดงว่าหากผู้ร้องไม่สามารถชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ที่เหลือภายในกำหนด 15 วัน ผู้ร้องสามารถขอขยายระยะเวลาวางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขยายให้ได้ไม่เกิน 3 เดือน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือและเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินไป 3 เดือน แล้วตามสัญญา เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมไม่มีอำนาจจะขยายระยะเวลาวางเงินออกไปได้อีก จึงเป็นคำสั่งที่เป็นไปตามสัญญาซื้อขายและไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์โดยยื่นคำร้องเมื่อเลยกำหนดเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ ผู้ร้องจะยื่นคำร้องได้ต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัย ที่ผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์มีราคาสูง ผู้ร้องอยู่ระหว่างขอสินเชื่อธนาคาร จึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันเป็นเหตุให้ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6260/2558 โจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตตามคำสั่งศาลเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิม โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 ย่อมมีอำนาจดำเนินการใดๆ ในชั้นบังคับคดี รวมทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองใหม่ได้ คดีนี้โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดระหว่างที่ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ การที่ผู้ซื้อทรัพย์วางเงินค่าซื้อทรัพย์เพิ่มอีกร้อยละ 5.5 และยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลืออีกครั้งระหว่างการไต่สวนคำร้องขอของโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินไปจนกว่าคดีที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจะถึงที่สุด อันเป็นไปตามคำสั่งกรมบังคับคดีที่ 333/2551 เรื่อง การปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจำหน่ายทรัพย์สิน ข้อ 14 ที่ระบุว่า ในกรณีที่มีการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สิน หากผู้ซื้อทรัพย์ประสงค์จะได้รับเงินคืนและผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดหรือสาขา แล้วแต่กรณี มีคำสั่งให้คืนเงินให้ผู้ซื้อ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินให้แก่ผู้ซื้อโดยเหลือไว้ร้อยละ 5.5 ของราคาที่ซื้อขาย หากศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ซื้อชำระราคาส่วนที่เหลือภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง โดยคำสั่งนี้สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ.2522 ข้อ 85 ที่ให้อำนาจอธิบดีกรมบังคับคดีขยายกำหนดเวลาชำระเงินได้ตามที่เห็นสมควร หากทรัพย์ที่ขายมีราคาสูงมากหรือมีเหตุผลพิเศษประการอื่น คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบด้วยกฎหมายแล้ว คดีสืบเนื่องจากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ 8900 ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ออกขายทอดตลาด วันที่ 8 ธันวาคม 2553 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองให้ผู้ซื้อทรัพย์ไปในราคา 1,720,000 บาท ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินไปอีก 3 เดือน นับแต่วันครบกำหนดเวลาวางเงิน 15 วัน ระหว่างนั้นคือ วันที่ 21 ธันวาคม 2553 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและระหว่างการไต่สวนคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของโจทก์คือ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2554 ผู้ซื้อทรัพย์วางเงินค่าซื้อทรัพย์เพิ่มอีกร้อยละ 5.5 และยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลืออีก เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินไปจนกว่าคดีที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจะถึงที่สุด วันที่ 23 พฤษภาคม 2554 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง วันที่ 12 มิถุนายน 2555 โจทก์ยื่นคำร้องใหม่ว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือแก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปจนกว่าคดีที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจะถึงที่สุดนั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 308 เพราะฝ่าฝืนต่อคำสั่งกรมบังคับคดีที่ให้ขยายระยะเวลาได้ 3 เดือน นับแต่วันครบกำหนดเวลาวางเงิน 15 วัน เท่านั้น ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองใหม่ ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีชอบด้วยระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ.2522 และคำสั่งกรมบังคับคดีแล้ว ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 ให้ยกคำร้อง กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ซื้อทรัพย์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น รวม 3 ครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ 27 เมษายน 2556 ในระหว่างที่โจทก์ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 ต่อมาวันที่ 26 เมษายน 2556 ซึ่งอยู่ในระหว่างเวลาที่โจทก์ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาต ผู้เข้าสวมสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์ในฐานะผู้สวมสิทธิมีอำนาจดำเนินการใด ๆ ในชั้นบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า บุคคลที่มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาจะต้องเป็นคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 หรือเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับโอนสิทธิและหน้าที่ในหนี้ตามคำพิพากษาจากคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี ตามบทบัญญัติของกฎหมายให้เข้าสวมสิทธิแทนได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิม โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 ซึ่งวางหลักเกณฑ์ว่า ในกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว ก็ให้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นเช่นนี้แล้ว โจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตตามคำสั่งศาลให้สวมสิทธิจึงมีอำนาจดำเนินการใด ๆ ในชั้นบังคับคดี รวมทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองใหม่ได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปจนกว่าคดีที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจะถึงที่สุดนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งกรมบังคับคดีที่ 333/2551 เรื่อง การปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจำหน่ายทรัพย์สิน ข้อ 10 ระบุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขยายระยะเวลาในการชำระราคาทรัพย์ส่วนที่ค้างชำระแก่ผู้ซื้อทรัพย์ได้ไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันครบกำหนดชำระราคา 15 วัน และไม่ว่ากรณีใด ๆ ไม่ให้มีการขยายระยะเวลาอีกและคำสั่งข้อ 14 ระบุไว้ด้วยว่า ในกรณีที่มีการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สิน หากผู้ซื้อประสงค์ที่จะได้รับเงินคืนและผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดหรือสาขา แล้วแต่กรณี มีคำสั่งให้คืนเงินให้ผู้ซื้อ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินให้แก่ผู้ซื้อโดยเหลือไว้ร้อยละ 5.5 ของราคาที่ซื้อขาย หากศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ซื้อชำระราคาส่วนที่เหลือภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งและการขอขยายระยะเวลาดังกล่าวให้ปฏิบัติตามข้อ 10 ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์ย่อมมีสิทธิขอวางเงินค่าซื้อทรัพย์แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีไว้ร้อยละ 5.5 ของราคาที่ซื้อขายแล้วขอขยายระยะเวลาวางเงินส่วนที่เหลือออกไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดได้และเจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจพิจารณาอนุญาตได้ตามคำสั่งของกรมบังคับคดี ทั้งคำสั่งกรมบังคับคดีก็สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ.2522 ข้อ 85 ที่ให้อำนาจอธิบดีกรมบังคับคดีขยายกำหนดเวลาชำระเงินได้ตามที่เห็นสมควร หากทรัพย์ที่ขายมีราคาสูงมากหรือมีเหตุผลพิเศษประการอื่น คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|