

ถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ, คดีฟ้องขอคืนการให้ทรัพย์สินจากบุตรบุญธรรม, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ, คดีฟ้องขอคืนการให้ทรัพย์สินจากบุตรบุญธรรม, *ศาลชี้จำเลยประพฤติเนรคุณ ด้วยการลักทรัพย์และด่าทอโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ที่ดินตามกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 531(2)* ในคดีนี้มีปัญหาว่าจำเลยกระทำการประพฤติเนรคุณจนโจทก์สามารถเรียกถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทได้หรือไม่ โจทก์นำสืบว่า หลังจากจดทะเบียนให้ที่ดินแก่จำเลย จำเลยละเลยการดูแลโจทก์ เช่น ให้โจทก์นอนใต้บันได ขังในบ้าน ไม่ให้ญาติมาเยี่ยม หลอกยืมเงินและลักเงินจากบัญชีธนาคารจนเหลือเพียง 68.03 บาท นอกจากนี้ เมื่อโจทก์ทวงถามค่ารักษาพยาบาล จำเลยใช้ถ้อยคำด่าทออย่างร้ายแรงและไล่โจทก์ออกจากบ้าน ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าได้ดูแลโจทก์เป็นอย่างดี ทั้งจ้างคนดูแล ให้เงินใช้ และไม่เคยไล่หรือด่าทอโจทก์ตามที่กล่าวหา อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์แล้วพบว่า จำเลยลักเงินโจทก์ไปถึง 560,504 บาท โดยใช้บัตร ATM และยังด่าทอโจทก์ด้วยถ้อยคำที่แสดงความไม่เคารพนับถือ อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จากพฤติการณ์ดังกล่าว ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแฝงเล่ห์เพทุบายเพื่อหลอกล่อทรัพย์สินของโจทก์ จนโจทก์แทบไม่มีทรัพย์สินเหลือ การกระทำของจำเลยถือเป็นการประพฤติเนรคุณ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น สรุป การด่าทอและการหลอกลวงเอาทรัพย์สินของผู้ให้โดยทุจริต ถือเป็นการประพฤติเนรคุณอย่างร้ายแรง ผู้ให้มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2567 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านและด่าทอโจทก์ว่า “ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่รักลูก เงินแค่นี้ก็ทวง จะไปตายที่ไหนก็ไป หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม” อันเป็นถ้อยคำที่ไร้ความเคารพนับถือ เป็นการลบหลู่เหยียดหยาม อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) แม้โจทก์มีโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวที่เบิกความว่า จำเลยด่าทอโจทก์และไล่โจทก์ออกจากบ้าน ไม่มีพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความสนับสนุนก็ตาม ซึ่งจำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้ด่าทอโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างและไม่ได้ไล่โจทก์ออกจากบ้าน ทำให้ต้องวินิจฉัยว่าคำเบิกความฝ่ายใดจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์เริ่มแรก ก่อนที่จำเลยจะเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์ โจทก์เบิกความว่าก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์และ พ. เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ม. เป็นเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ มี ส. และ ท. พ่อตาแม่ยายของจำเลยมาเฝ้าดูแล และพาไปโรงพยาบาล จนเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกันจนกระทั่งโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ทำให้เห็นว่าจำเลยและครอบครัวทางภริยาพยายามเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลโจทก์และ พ. น้องสาวโจทก์เป็นพิเศษ ทั้งที่ไม่ได้เป็นเครือญาติกัน จึงเป็นเรื่องผิดวิสัยที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาดูแลเอาใจใส่พาโจทก์และ พ. ไปโรงพยาบาล ให้ที่พักอาศัยพาไปทำบุญและท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ แต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า ทั้งโจทก์และ พ. น้องสาวโจทก์ต่างเป็นหญิงชรา โจทก์มีโรคประจำตัวหลายโรคทั้งเบาหวาน และความดัน ส่วน พ. ป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นผู้ป่วยติดเตียงต้องการผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อโจทก์และ พ. มีทรัพย์สินและเงินฝากในบัญชีธนาคารมูลค่าไม่ใช่น้อยจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในการกระทำของจำเลยและครอบครัวว่ากระทำด้วยความสุจริตหรือไม่ ซึ่งต่อมาโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม และทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและเงินสดให้แก่จำเลย แต่โจทก์ก็ยังเป็นห่วงจำเลยว่าเครือญาติของโจทก์จะมีเรื่องทรัพย์สินพิพาทกับจำเลย จึงจดทะเบียนยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้แก่จำเลย แสดงว่าโจทก์ย่อมรักไว้ใจและผูกพันจำเลยเสมือนบุตรและหวังฝากผีฝากไข้ไว้กับจำเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 โจทก์ได้รับเงินประกันชีวิต 4,770,000 บาท และนำไปฝากไว้ที่ธนาคาร ก. ปรากฏว่าในวันเดียวกันมีการถอนเงินออกไป 2,700,000 บาท และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 มีการถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวอีก 2,010,000 บาท โจทก์เบิกความว่าไม่ได้เป็นผู้เบิกถอน ซึ่งจำเลยนำสืบรับว่า เงินที่ถอน 2,700,000 บาท โจทก์ยกให้จำเลยนำไปชำระหนี้ส่วนตัวของจำเลยและภริยา ส่วนเงินที่ถอน 2,010,000 บาท โจทก์ให้นำไปใช้ในครอบครัวและดูแลความเป็นอยู่ของโจทก์ แม้ให้การไม่สอดคล้องกัน แต่ก็ทำให้เห็นว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการที่ดูแลโจทก์เพียงไม่กี่เดือน นับแต่ที่โจทก์รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและจำเลยพาโจทก์มาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน หลังจากที่โจทก์ย้ายออกมาจากบ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ตรวจสอบบัญชีเงินฝากจึงทราบว่าเหลือยอดเงินฝากเพียง 68.03 บาท โจทก์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ และพนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคามยื่นฟ้องจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ และความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยมีพฤติการณ์ที่ลักเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ไปโดยใช้บัตรกดเงินสด (บัตรเอทีเอ็ม) รวม 37 ครั้ง และลักเงินสด รวมยอดเงินที่จำเลยลักไปในคดีดังกล่าว 560,504 บาท ในระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2561 ช่วงที่โจทก์พักอาศัยอยู่กับจำเลย ทำให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาสุจริตที่รับเลี้ยงดูแลโจทก์ดังที่จำเลยนำสืบ แต่การกระทำของจำเลยแฝงไว้ด้วยเล่ห์เพทุบายในการหลอกล่อเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยทุจริต จนเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์เหลือเพียง 68.03 บาท และโจทก์ยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้เป็นของจำเลยแล้วจนโจทก์แทบไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยด่าทอโจทก์ด้วยถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวอ้างจริง และไล่โจทก์ออกจากบ้าน เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำที่จำเลยด่าทอโจทก์ที่ว่า “ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่รักลูก เงินแค่นี้ก็ทวง จะไปตายที่ไหนก็ไป หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม” กับการที่โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมโจทก์ก็เปรียบเสมือนเป็นมารดาของจำเลยคนหนึ่ง จำเลยย่อมต้องให้ความเคารพและยกย่องเชิดชูโจทก์ คำว่า “ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม” เป็นการกล่าวหาโจทก์ว่า ไม่รู้จักชอบชั่วดี ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลย ทำให้ถูกคนอื่นเกลียดชัง เสียชื่อเสียง ส่วนคำว่า “หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม” แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีความละอายแก่ใจที่มาอาศัยอยู่กับจำเลยและครอบครัว อันเป็นถ้อยคำที่ไร้ความเคารพนับถือ เป็นการลบหลู่เหยียดหยาม อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) *** โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ถอนคืนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 91569 39430 และ 24033 คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์ดำเนินการโดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะค่าขึ้นศาลกึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ถอนคืนการให้ โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 91569 39430 และ 24033 คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวม 20,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่โจทก์ได้รับยกเว้นทั้งสองศาลต่อศาลในนามโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมา 29,933 บาท แก่โจทก์ จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า วันที่ 23 พฤษภาคม 2560 โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม และต่อมาได้ย้ายไปอยู่กับจำเลยที่บ้านของนายสมบูรณ์และนางทองปักษ์ ซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายของจำเลย วันที่ 22 กรกฎาคม 2560 โจทก์ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินมีทั้งที่ดินและเงินฝากในบัญชีธนาคารให้แก่จำเลย ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2560 โจทก์จดทะบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 91569 39430 และ 24033 แก่จำเลยโดยเสน่หา โจทก์พักอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 โจทก์ย้ายกลับไปอยู่บ้านโจทก์ และเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 โจทก์จดทะเบียนเลิกรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาของจำเลยว่า โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ได้หรือไม่ ข้อนี้ได้ความจากโจทก์นำสืบว่า หลังจากโจทก์จดทะเบียนให้ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงแก่จำเลยโดยเสน่หาแล้ว จำเลยไม่เลี้ยงดูโจทก์เหมือนเช่นก่อน จำเลยให้โจทก์นอนและรับประทานอาหารใต้บันไดบ้านคนเดียว ขังโจทก์ไว้ในบ้านและไม่ให้ญาติมาเยี่ยมโจทก์ จำเลยหลอกยืมเงินแล้วไม่คืนให้และลักเอาเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์เหลือเงินในบัญชีเพียง 68.03 บาท โจทก์แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ โจทก์สิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อเดือนมกราคม 2563 โจทก์ทวงเงินและขอเงินจากจำเลยเป็นค่ารักษาพยาบาลกับค่าอาหารเพื่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล จำเลยด่าว่าโจทก์ ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่รักลูก เงินแค่นี้ก็ทวง จะไปตายที่ไหนก็ไป หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม และไล่โจทก์ออกจากบ้าน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 โจทก์จึงออกจากบ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยกลับไปอยู่บ้านโจทก์ ส่วนจำเลยนำสืบว่า โจทก์และนางพุธ น้องสาวของโจทก์มาอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย จำเลยและครอบครัวดูแลโจทก์และนางพุธเป็นอย่างดี เมื่อโจทก์และนางพุธป่วย จำเลยและครอบครัวก็ไปดูแลที่โรงพยาบาล ทั้งจ้างนางสาวรัตนวลี มาดูแล ต่อมาเมื่อนางพุธถึงแก่ความตาย โจทก์ก็ยังขออยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย จำเลยและครอบครัวดูแลโจทก์เป็นอย่างดี พาโจทก์ไปเที่ยวและทำบุญหลายจังหวัด จำเลยให้เงินโจทก์เป็นประจำทุกสัปดาห์ เมื่อเดือนมกราคม 2563 จำเลยได้งานรับราชการที่จังหวัดขอนแก่น โจทก์ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 จำเลยไปกรุงเทพมหานคร โจทก์บอกว่าจะไปหาหมอและจะไปบ้านญาติ แม่ยายของจำเลยให้นางรัตนวลีไปส่ง หลังจากนั้นโจทก์ไม่กลับมาที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยอีกเลย เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 จำเลยไปที่บ้านโจทก์ โจทก์บอกว่าที่มาอยู่ที่บ้านโจทก์เพราะญาติจะไม่คืนเงินกู้หากโจทก์ยังอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย จำเลยไปหาโจทก์อีก แต่นางบุญศรีกีดกันไม่ยอมให้จำเลยพบโจทก์ จำเลยดูแลโจทก์เป็นอย่างดี และไม่เคยด่าว่าโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และไม่เคยไล่ออกจากบ้าน แม้โจทก์มีโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวที่เบิกความว่า จำเลยด่าทอโจทก์และไล่โจทก์ออกจากบ้าน ไม่มีพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความสนับสนุนก็ตาม ซึ่งจำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้ด่าทอโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างและไม่ได้ไล่โจทก์ออกจากบ้าน ทำให้ต้องวินิจฉัยว่าคำเบิกความฝ่ายใดจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์เริ่มแรกก่อนที่จำเลยจะเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์ โจทก์เบิกความว่า ก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์และนางพุธเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ม. เป็นเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ มีนายสมบูรณ์และนางทองปักษ์ พ่อตาแม่ยายของจำเลยมาเฝ้าดูแล และพาไปโรงพยาบาล จนเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกันจนกระทั่งโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ทำให้เห็นว่าจำเลยและครอบครัวทางภริยาพยายามเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลโจทก์และนางพุธน้องสาวโจทก์เป็นพิเศษ ทั้งที่ไม่ได้เป็นเครือญาติกัน จึงเป็นเรื่องผิดวิสัยที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาดูแลเอาใจใส่พาโจทก์และนางพุธไปโรงพยาบาล ให้ที่พักอาศัยพาไปทำบุญและท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ แต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า ทั้งโจทก์และนางพุธน้องสาวโจทก์ต่างเป็นหญิงชรา โจทก์มีโรคประจำตัวหลายโรคทั้งเบาหวาน และความดัน ส่วนนางพุธป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นผู้ป่วยติดเตียงต้องการผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อโจทก์และนางพุธมีทรัพย์สินและเงินฝากในบัญชีธนาคารมูลค่าไม่ใช่น้อย จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในการกระทำของจำเลยและครอบครัวว่ากระทำด้วยความสุจริตหรือไม่ ซึ่งต่อมาโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม และทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและเงินสดให้แก่จำเลย แต่โจทก์ก็ยังเป็นห่วงจำเลยว่าเครือญาติของโจทก์จะมีเรื่องทรัพย์สินพิพาทกับจำเลย จึงจดทะเบียนยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้แก่จำเลย แสดงว่าโจทก์ย่อมรักไว้ใจและผูกพันจำเลยเสมือนบุตรและหวังฝากผีฝากไข้ไว้กับจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 โจทก์ได้รับเงินประกันชีวิต 4,770,000 บาท และนำไปฝากไว้ที่ธนาคาร ก. ปรากฏว่าในวันเดียวกันมีการถอนเงินออกไป 2,700,000 บาท และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 มีการถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวอีก 2,010,000 บาท โจทก์เบิกความว่าไม่ได้เป็นผู้เบิกถอน ซึ่งจำเลยนำสืบรับว่า เงินที่ถอน 2,700,000 บาท โจทก์ยกให้จำเลยนำไปชำระหนี้ส่วนตัวของจำเลยและภริยา ส่วนเงินที่ถอน 2,010,000 บาท โจทก์ให้นำไปใช้ในครอบครัวและดูแลความเป็นอยู่ของโจทก์ แม้ให้การไม่สอดคล้องกัน แต่ก็ทำให้เห็นว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการที่ดูแลโจทก์เพียงไม่กี่ดือน นับแต่ที่โจทก์รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและจำเลยพาโจทก์มาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน หลังจากที่โจทก์ย้ายออกมาจากบ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ตรวจสอบบัญชีเงินฝาก จึงทราบว่าเหลือยอดเงินฝากเพียง 68.03 บาท โจทก์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ และพนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคามยื่นฟ้องจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ และความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ตามสำเนาคำพิพากษาศาลจังหวัดมหาสารคาม ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2565 แนบท้ายคำแก้ฎีกาของโจทก์ แสดงว่าจำเลยมีพฤติการณ์ที่ลักเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ไป โดยใช้บัตรกดเงินสด (บัตรเอทีเอ็ม) รวม 37 ครั้ง และลักเงินสด รวมยอดเงินที่จำเลยลักไปในคดีดังกล่าว 560,504 บาท ในระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2561 ช่วงที่โจทก์พักอาศัยอยู่กับจำเลย ทำให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาสุจริตที่รับเลี้ยงดูแลโจทก์ดังที่จำเลยนำสืบ แต่การกระทำของจำเลยแฝงไว้ด้วยเล่ห์เพทุบายในการหลอกล่อเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยทุจริต จนเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์เหลือเพียง 68.03 บาท และโจทก์ยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้เป็นของจำเลยแล้วจนโจทก์แทบไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยด่าทอโจทก์ด้วยถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวอ้างจริง และไล่โจทก์ออกจากบ้าน เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำที่จำเลยด่าทอโจทก์ที่ว่า “ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่รักลูก เงินแค่นี้ก็ทวง จะไปตายที่ไหนก็ไป หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม” กับการที่โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์ก็เปรียบเสมือนเป็นมารดาของจำเลยคนหนึ่ง จำเลยย่อมต้องให้ความเคารพและยกย่องเชิดชูโจทก์ คำว่า “ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม” เป็นการกล่าวหาโจทก์ว่า ไม่รู้จักชอบชั่วดี ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลย ทำให้ถูกคนอื่นเกลียดชัง เสียชื่อเสียง ส่วนคำว่า “หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม” แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีความละอายแก่ใจที่มาอาศัยอยู่กับจำเลยและครอบครัว อันเป็นถ้อยคำที่ไร้ความเคารพนับถือ เป็นการลบหลู่เหยียดหยาม อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ • ถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ • คดีฟ้องขอคืนการให้ทรัพย์สินจากบุตรบุญธรรม • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 • หมิ่นประมาทและประพฤติเนรคุณ ถอนคืนการให้ • สิทธิการเพิกถอนการให้ทรัพย์สินในกรณีประพฤติเนรคุณ • คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการประพฤติเนรคุณ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2567 นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคดีที่โจทก์เรียกถอนคืนทรัพย์สินที่มอบให้จำเลย หลังจากพบว่าจำเลยกระทำการทุจริตและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์อ้างว่าจำเลยด่าว่าโจทก์และไล่โจทก์ออกจากบ้าน โดยโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวสนับสนุน ส่วนจำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหา โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและยกทรัพย์สินหลายรายการให้ รวมถึงที่ดินและเงินสด อย่างไรก็ตาม ต่อมาโจทก์ตรวจสอบพบเงินในบัญชีเหลือเพียง 68.03 บาท ทั้งยังพบว่าจำเลยใช้บัตรเอทีเอ็มโจทก์ถอนเงินไปถึง 37 ครั้ง รวม 560,504 บาท โดยศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำทุจริตลักทรัพย์สินของโจทก์ไป เมื่อโจทก์เรียกร้องขอคืนการให้ทรัพย์สิน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่าคำกล่าวหาและพฤติกรรมของจำเลยที่กล่าวหาโจทก์ว่า "ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม" เป็นการหมิ่นประมาทร้ายแรง แสดงถึงความเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้พิพากยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้จำเลยคืนทรัพย์สินของโจทก์และออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) กล่าวถึงสิทธิของผู้ให้ในการเรียกคืนทรัพย์สินหรือถอนคืนการให้ที่ได้ให้แก่ผู้อื่น เมื่อผู้นั้นประพฤติเนรคุณ โดยการกระทำของผู้รับที่ถือเป็นการประพฤติเนรคุณ อาจมีลักษณะการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อผู้ให้ เช่น การหมิ่นประมาท ทำร้ายร่างกาย หรือการละเมิดสิทธิอื่น ๆ ของผู้ให้ กรณีนี้ มาตรา 531 (2) กำหนดว่า หากผู้รับทรัพย์สินที่ได้รับการให้แสดงพฤติกรรมที่ทำให้ผู้ให้ได้รับความเสียหายร้ายแรง ผู้ให้มีสิทธิเพิกถอนการให้และเรียกทรัพย์สินคืนได้ การใช้สิทธินี้มุ่งเน้นที่การคุ้มครองผู้ให้จากพฤติกรรมที่เป็นการไม่ตอบแทนบุญคุณของผู้รับที่กระทำต่อผู้ให้ โจทก์ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาไม่เกิน 7 วัน มีพ่อตาแม่ยายของจำเลยมาเฝ้าดูแล จนเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกัน ต่อมาโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม และต่อมาได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและเงินสดให้แก่จำเลย แต่ต่อมาโจทก์เปลี่ยนใจเป็นจดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลย ต่อมาโจทก์ได้รับเงินประกันชีวิต 4,770,000 บาท โดยนำไปฝากไว้ที่ธนาคาร ทราบในภายหลังว่ามีการถอนเงินออกไป 2,700,000 บาทในวันเดียวกัน และต่อมามีการถอนเงินออกจากบัญชีอีก 2,010,000 บาท โดยโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เบิกถอน โจทก์ตรวจสอบบัญชีเงินฝากจึงทราบว่าเหลือยอดเงินฝากเพียง 68.03 บาท โจทก์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ และความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำเลยให้การรับสารภาพ พฤติการณ์ทำให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาสุจริตที่รับเลี้ยงดูแลโจทก์ แต่การกระทำของจำเลยแฝงไว้ด้วยเล่ห์เพทุบายในการหลอกล่อเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยทุจริต จนเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์เหลือเพียง 68.03 บาท และโจทก์ยกที่ดินให้จำเลยจนโจทก์แทบไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ ***การถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ การให้และการถอนคืนการให้ในกฎหมายไทย การให้ (Donation) เป็นสัญญาที่บุคคลหนึ่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้อื่นโดยไม่ต้องได้รับสิ่งตอบแทน โดยมีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับการให้ตามมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การให้มีลักษณะเป็นสัญญาเสร็จเด็ดขาด (Executed Contract) ซึ่งตามปกติเมื่อการให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ผู้ให้ไม่สามารถเรียกทรัพย์สินคืนได้ ยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ผู้ให้สามารถถอนคืนการให้ได้ หนึ่งในกรณีที่สามารถถอนคืนการให้ได้คือ การประพฤติเนรคุณ ตามมาตรา 531 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยระบุว่า "ผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้ได้เพราะเหตุผู้รับการให้ได้ประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้เป็นอันมาก แต่ต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาที่ผู้ให้รู้ถึงเหตุที่จะให้ถอนคืน" องค์ประกอบของการถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ 1.มีการประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้ การประพฤติเนรคุณต้องเป็นการกระทำที่แสดงถึงความไม่กตัญญูหรือการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ให้ เช่น การทำร้ายร่างกายผู้ให้ การหมิ่นประมาทผู้ให้ หรือการไม่แสดงความกตัญญูในทางอื่น 2.การกระทำต้องเป็น "อย่างร้ายแรง" คำว่า "เป็นอันมาก" ในมาตรา 531 หมายถึงการกระทำที่มีความร้ายแรงหรือมีผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายของผู้ให้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การข่มขู่หรือทำให้ผู้ให้เสียหายทั้งร่างกาย ทรัพย์สิน และเกียรติยศ 3.ผู้ให้ต้องฟ้องภายในกำหนดเวลา ผู้ให้มีสิทธิฟ้องเรียกถอนคืนการให้ภายใน 1 ปี นับแต่ทราบถึงเหตุเนรคุณ หากเลยกำหนดระยะเวลาแล้ว ผู้ให้จะไม่สามารถฟ้องร้องได้ การถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ เป็นกรณีที่ผู้ให้สามารถเรียกทรัพย์สินที่ให้ไปกลับคืนได้ หากผู้รับกระทำการที่แสดงถึงความเนรคุณ มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ดังนี้: 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1975/2562: กรณีผู้ให้ฟ้องขอถอนคืนการให้ที่ดินจากผู้รับ โดยอ้างว่าผู้รับประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ศาลพิจารณาว่าคำฟ้องของผู้ให้ไม่ระบุรายละเอียดของการหมิ่นประมาทอย่างชัดเจน เช่น ถ้อยคำที่ใช้ เวลา และสถานที่เกิดเหตุ ทำให้คำฟ้องเคลือบคลุม และไม่สามารถนำสืบเพิ่มเติมในรายละเอียดที่ไม่ได้ระบุในคำฟ้องได้ ดังนั้น ศาลจึงยกฟ้อง ฎีกาย่อ: กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) เป็นการเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงนั้น มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องระบุมาในคำฟ้องให้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ผู้รับกล่าวถ้อยคำอย่างไร เมื่อใด ต่อใคร เพื่อเป็นข้อที่จะให้ศาลพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้หรือไม่ ลำพังแต่การบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายอีกหลายครั้ง โดยไม่มีรายละเอียดว่า ด่าว่าอย่างไร เหตุเกิดเมื่อใด ซึ่งจำเลยทั้งสามก็ให้การต่อสู้ว่า ฟ้องในส่วนนี้เคลือบคลุม แม้โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาว่า จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ว่า "อีเหี้ย" และกล่าวว่า "มึงเอาน้ำกูไปใช้กี่ครั้งแล้ว" แต่ตามคำเบิกความของโจทก์ก็ปรากฏว่า โจทก์จำวันเวลาเกิดเหตุไม่ได้ ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัด และไม่ใช่เรื่องที่โจทก์จะไปนำสืบในรายละเอียดได้ ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม และเมื่อฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 ด่าว่าโจทก์ว่า "อีเหี้ย" คำนี้จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทที่โจทก์จะนำสืบได้ จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามมิให้รับฟัง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (1) 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2536: ผู้ให้ฟ้องขอถอนคืนการให้ที่ดินจากผู้รับ โดยอ้างว่าผู้รับปฏิเสธไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้ ศาลพิจารณาว่าผู้ให้มีอายุ 84 ปี และยากไร้ ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้รับ แต่ผู้รับปฏิเสธ ทั้งที่อยู่ในฐานะที่จะให้ได้ การกระทำของผู้รับถือเป็นการประพฤติเนรคุณ ผู้ให้จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ได้ ฎีกาย่อ: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 บัญญัติว่า อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้...(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้ และมาตรา 533 บัญญัติว่า...หรือเมื่อเวลาได้ล่วงไปแล้วหกเดือนนับแต่เหตุ-เช่นนั้นได้ทราบถึงบุคคลผู้ชอบที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้นั้นก็ดี ท่านว่าหาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่ บทบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดว่าในชั่วชีวิตของโจทก์จะขอสิ่งจำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีวิตของโจทก์จากจำเลยได้เพียงครั้งเดียว การขาดแคลนสิ่งจำเป็นเพื่อเลี้ยงชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และยากไร้โจทก์ย่อมขอสิ่งเหล่านั้นจากจำเลยได้เสมอตามความจำเป็นและจำเลยยังสามารถให้ได้ การที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมให้เงินแก่โจทก์นำไปรักษาตัวเนื่องจากเจ็บป่วยก่อนโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ประมาณ 1 เดือน ในขณะที่โจทก์ยากไร้และชราภาพโดยมีอายุถึง 84 ปี และจำเลยอยู่ในฐานะจะให้เงินแก่โจทก์ได้ จึงเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ที่ดินจากจำเลยได้โดยคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6962/2550: ผู้ให้ฟ้องขอถอนคืนการให้จากผู้รับ โดยอ้างว่าผู้รับประพฤติเนรคุณ ศาลพิจารณาว่าการฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ ต้องดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หากเกินระยะเวลานั้น ผู้ให้จะไม่สามารถเรียกถอนคืนการให้ได้ ฎีกาย่อ: โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกที่ดินเฉพาะส่วนทั้งห้าแปลงให้จำเลยโดยเสน่หา ต่อมาประมาณปลายปี 2538 ถึงต้นปี 2539 จำเลยประพฤติเนรคุณด้วยการด่าว่าและหมิ่นประมาทโจทก์ในฐานะบุพการีอย่างร้ายแรง ขอเรียกถอนคืนการให้ที่ดินทั้งห้าแปลงจากจำเลย จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กระทำการดังกล่าว มูลเหตุของการฟ้องคดีนี้ หากเหตุการณ์ดังกล่าวตามฟ้องของโจทก์เกิดขึ้นจริง ฟ้องของโจทก์ก็ขาดอายุความแล้ว แม้คำให้การของจำเลยจะไม่ระบุระยะเวลาที่เป็นอายุความตามข้อต่อสู้ไว้ แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณเพียงเรื่องเดียว ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติเรื่องอายุความการถอนคืนการให้ไว้ในลักษณะให้ มาตรา 533 เพียงมาตราเดียวดังนี้ นอกจากจำเลยได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างในคำฟ้องโจทก์แล้ว จำเลยยังได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธและการขาดอายุความให้ปรากฏว่าเหตุใดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความคำให้การของจำเลยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงมีประเด็นเรื่องอายุความ จำเลยประพฤติเนรคุณด่าและหมิ่นประมาทโจทก์เมื่อประมาณปลายปี 2538 ถึงต้นปี 2539 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 เกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ได้ทราบถึงเหตุเหล่านั้น ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 533 วรรคหนึ่ง 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2528: ผู้ให้ฟ้องขอถอนคืนการให้จากผู้รับ โดยอ้างว่าผู้รับทำร้ายร่างกายผู้ให้ ศาลพิจารณาว่าการที่ผู้รับทำร้ายร่างกายผู้ให้จนได้รับอันตรายแก่กาย แม้จะไม่สาหัส แต่ถือเป็นการประพฤติเนรคุณ ผู้ให้จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ได้ ฎีกาย่อ: การที่จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ผู้เป็นมารดาจนได้รับอันตรายแก่กาย ย่อมเป็นการแสดงว่าจำเลยขาดความกตัญญู แม้โจทก์จะได้รับบาดเจ็บไม่ถึงสาหัสก็ถือได้ว่าจำเลยได้ประพฤติเนรคุณโดยประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(1) แล้ว โจทก์จึงเรียกถอนคืนการให้ได้ 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8752/2558: กรณีผู้ให้ฟ้องขอถอนคืนการให้จากผู้รับ โดยอ้างว่าผู้รับประพฤติเนรคุณ ศาลพิจารณาว่าการกระทำของผู้รับเข้าข่ายการประพฤติเนรคุณตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ให้จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ได้ ฎีกาย่อ: การที่จำเลยใช้คำ "อีเฒ่าหัวหงอก" และ "มึง" เป็นสรรพนามในการเรียกโจทก์ผู้เป็นมารดา ซึ่งไม่ปรากฏว่าโดยปกติบุคคลทั่วไปรวมถึงจำเลยใช้สรรพนามดังกล่าวแทนมารดา คำดังกล่าวไม่ได้มีความหมายว่ามารดา แต่มีความหมายเปรียบเปรยไปในทางไม่ให้ความเคารพและทำให้โจทก์ได้รับความอับอายอันเป็นการแสดงออกถึงการดูถูกเหยียดหยามโจทก์ สำหรับเนื้อหาแม้จะถือว่าเป็นการกระทบกระเทียบ แต่ก็ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายเป็นไปในทางดูถูกเหยียดหยามโจทก์เช่นกัน การที่จำเลยด่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์ถอนคืนการให้ได้ คำพิพากษาเหล่านี้แสดงถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ ซึ่งต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของแต่ละกรณี •การถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณเป็นข้อยกเว้นจากหลักทั่วไป จึงต้องตีความตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด •ศาลต้องพิจารณาถึงเจตนาและสภาพข้อเท็จจริงเป็นสำคัญว่าการกระทำของผู้รับการให้นั้นเข้าข่ายการประพฤติเนรคุณหรือไม่ •คดีเกี่ยวกับการถอนคืนการให้มักต้องใช้พยานหลักฐานอย่างละเอียด เพื่อพิสูจน์ถึงความร้ายแรงของการกระทำ บทความนี้ช่วยอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจสิทธิและเงื่อนไขการถอนคืนการให้ในกรณีประพฤติเนรคุณ
|