ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2567 การถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ หมิ่นประมาทร้ายแรงต่อผู้มีพระคุณ

1. โลโก้สำนักงานพีสิริ ทนายความ พร้อมข้อมูลติดต่อ ที่อยู่และเบอร์โทร 085-960-4258 ให้บริการปรึกษากฎหมายและคดีความ 2.  ภาพหัวบทความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2567 การถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ หมิ่นประมาทร้ายแรงต่อผู้มีพระคุณ 3. บทนำคดีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2567 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับการถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2)

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการถอนคืนการให้ที่ดินจากบุตรบุญธรรม เนื่องจากจำเลยประพฤติเนรคุณโดยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงและลักทรัพย์ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์ตั้งแต่ก่อนและหลังการรับเป็นบุตรบุญธรรม เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาสุจริต แต่แฝงเล่ห์เพทุบายเพื่อเอาทรัพย์สินไปโดยทุจริต จึงให้สิทธิแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) ในการเรียกคืนทรัพย์สินที่ให้ไปโดยเสน่หา


สรุปข้อเท็จจริงของคดี

•โจทก์เป็นหญิงชรา ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง และมีน้องสาวป่วยติดเตียง

•จำเลยและครอบครัวภริยาเข้ามาดูแลจนเกิดความสนิทสนม ก่อนที่โจทก์จะรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม

•โจทก์ทำพินัยกรรมและโอนที่ดิน 3 แปลงให้จำเลย รวมทั้งมอบเงินสดจำนวนมาก

•ต่อมาโจทก์พบว่ามีการถอนเงินจากบัญชีรวมกว่า 4.7 ล้านบาท และคงเหลือเพียง 68.03 บาท จำเลยถูกดำเนินคดีลักทรัพย์และใช้บัตรเอทีเอ็มถอนเงิน

•โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำรุนแรง เช่น “ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม…หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม” และถูกไล่ออกจากบ้าน

•จำเลยปฏิเสธ แต่ศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอย่างร้ายแรง


คำวินิจฉัยของศาล

•ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย คือ โจทก์สามารถถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณจากการหมิ่นประมาทร้ายแรงได้หรือไม่

•ศาลเห็นว่าถ้อยคำของจำเลยเป็นการดูหมิ่น ลบหลู่ และอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

•การลักทรัพย์และใช้บัตรเอทีเอ็มถอนเงินของโจทก์ แสดงให้เห็นเจตนาทุจริต

•จึงเข้าเงื่อนไขตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ที่ให้ผู้ให้มีสิทธิเพิกถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณ

•พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยโอนที่ดินคืนแก่โจทก์


การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

1.มาตรา 531 (2) ป.พ.พ. กำหนดให้ผู้ให้มีสิทธิเพิกถอนการให้หากผู้รับประพฤติเนรคุณร้ายแรงต่อผู้ให้

2.การหมิ่นประมาทร้ายแรง ที่มีลักษณะเป็นการกล่าวหาด้วยถ้อยคำทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและความนับถือ ถือเป็นพฤติการณ์เนรคุณ

3.พฤติการณ์ประกอบ เช่น การลักทรัพย์และถอนเงินจากบัญชีธนาคารของผู้ให้ เป็นหลักฐานสนับสนุนความไม่สุจริต

4.หลักการตีความ ศาลพิจารณาโดยรวมของพฤติการณ์ ไม่จำกัดเฉพาะคำพูด แต่รวมถึงการกระทำที่สะท้อนเจตนาที่ไม่กตัญญู

5.คดีนี้เป็นแนวทางสำคัญในการตีความว่าการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงรวมกับพฤติการณ์ทุจริตอื่น สามารถเป็นเหตุถอนคืนการให้ได้


ข้อคิดทางกฎหมาย

•การรับเป็นบุตรบุญธรรมมีผลผูกพันทั้งด้านสิทธิและหน้าที่ ผู้รับต้องเคารพและตอบแทนบุญคุณผู้ให้

•การหมิ่นประมาทหรือกระทำทุจริตต่อผู้มีพระคุณ อาจเข้าข่ายเป็นเหตุให้เพิกถอนการให้ได้

•ผู้ให้ควรพิจารณาเจตนาและความประพฤติของผู้รับก่อนโอนทรัพย์สินเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมาย


IRAC Analysis

Issue (ประเด็น)

โจทก์มีสิทธิตามกฎหมายในการเพิกถอนการให้ที่ดินแก่บุตรบุญธรรม เพราะเหตุประพฤติเนรคุณจากการหมิ่นประมาทร้ายแรงหรือไม่

Rule (บทบัญญัติ)

ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ผู้ให้มีสิทธิเพิกถอนการให้ได้ หากผู้รับประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้โดยร้ายแรง เช่น การหมิ่นประมาท ทำร้าย หรือกระทำทุจริต

Application (การปรับใช้)

•จำเลยด่าทอโจทก์ด้วยถ้อยคำรุนแรง ทำให้เสียเกียรติและชื่อเสียง

•จำเลยลักทรัพย์และถอนเงินจากบัญชีของโจทก์จนเกือบหมดสิ้น

•พฤติการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงการไม่กตัญญูและไม่สุจริต

•ศาลพิจารณาว่าการกระทำเหล่านี้รวมกันถือเป็น “เนรคุณร้ายแรง” ตามมาตรา 531 (2)

Conclusion (ข้อสรุป)

ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการให้ และให้จำเลยโอนที่ดินทั้งสามแปลงคืนแก่โจทก์ พร้อมออกค่าใช้จ่ายในการโอน


English Summary 

The Supreme Court Decision No. 1665/2567 addresses the revocation of a land gift from an adopted child due to gross ingratitude. The defendant verbally insulted and severely defamed the plaintiff, who was their adoptive parent, and unlawfully withdrew large sums from the plaintiff’s bank account. The Court held that such conduct constituted serious ingratitude under Section 531(2) of the Civil and Commercial Code, granting the plaintiff the right to revoke the gift.


สรุปย่อฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและยกที่ดิน 3 แปลงพร้อมทรัพย์สินให้ ต่อมาจำเลยไม่ได้เลี้ยงดูดังเดิม กลับหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำรุนแรง ไล่ออกจากบ้าน และมีพฤติการณ์ถอนเงินจากบัญชีโจทก์รวมหลายล้านบาทจนเหลือเพียง 68.03 บาท อีกทั้งถูกดำเนินคดีลักทรัพย์และใช้บัตรเอทีเอ็ม ศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติเนรคุณร้ายแรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) จึงให้เพิกถอนการให้และโอนที่ดินคืนแก่โจทก์ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2567

แม้โจทก์มีโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวที่เบิกความว่า จำเลยด่าทอโจทก์และไล่โจทก์ออกจากบ้าน ไม่มีพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความสนับสนุนก็ตาม ซึ่งจำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้ด่าทอโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างและไม่ได้ไล่โจทก์ออกจากบ้าน ทำให้ต้องวินิจฉัยว่าคำเบิกความฝ่ายใดจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์เริ่มแรก ก่อนที่จำเลยจะเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์ โจทก์เบิกความว่าก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์และ พ. เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ม. เป็นเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ มี ส. และ ท. พ่อตาแม่ยายของจำเลยมาเฝ้าดูแล และพาไปโรงพยาบาล จนเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกันจนกระทั่งโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ทำให้เห็นว่าจำเลยและครอบครัวทางภริยาพยายามเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลโจทก์และ พ. น้องสาวโจทก์เป็นพิเศษ ทั้งที่ไม่ได้เป็นเครือญาติกัน จึงเป็นเรื่องผิดวิสัยที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาดูแลเอาใจใส่พาโจทก์และ พ. ไปโรงพยาบาล ให้ที่พักอาศัยพาไปทำบุญและท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ แต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า ทั้งโจทก์และ พ. น้องสาวโจทก์ต่างเป็นหญิงชรา โจทก์มีโรคประจำตัวหลายโรคทั้งเบาหวาน และความดัน ส่วน พ. ป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นผู้ป่วยติดเตียงต้องการผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อโจทก์และ พ. มีทรัพย์สินและเงินฝากในบัญชีธนาคารมูลค่าไม่ใช่น้อยจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในการกระทำของจำเลยและครอบครัวว่ากระทำด้วยความสุจริตหรือไม่ ซึ่งต่อมาโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม และทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและเงินสดให้แก่จำเลย แต่โจทก์ก็ยังเป็นห่วงจำเลยว่าเครือญาติของโจทก์จะมีเรื่องทรัพย์สินพิพาทกับจำเลย จึงจดทะเบียนยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้แก่จำเลย แสดงว่าโจทก์ย่อมรักไว้ใจและผูกพันจำเลยเสมือนบุตรและหวังฝากผีฝากไข้ไว้กับจำเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 โจทก์ได้รับเงินประกันชีวิต 4,770,000 บาท และนำไปฝากไว้ที่ธนาคาร ก. ปรากฏว่าในวันเดียวกันมีการถอนเงินออกไป 2,700,000 บาท และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 มีการถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวอีก 2,010,000 บาท โจทก์เบิกความว่าไม่ได้เป็นผู้เบิกถอน ซึ่งจำเลยนำสืบรับว่า เงินที่ถอน 2,700,000 บาท โจทก์ยกให้จำเลยนำไปชำระหนี้ส่วนตัวของจำเลยและภริยา ส่วนเงินที่ถอน 2,010,000 บาท โจทก์ให้นำไปใช้ในครอบครัวและดูแลความเป็นอยู่ของโจทก์ แม้ให้การไม่สอดคล้องกัน แต่ก็ทำให้เห็นว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการที่ดูแลโจทก์เพียงไม่กี่เดือน นับแต่ที่โจทก์รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและจำเลยพาโจทก์มาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน หลังจากที่โจทก์ย้ายออกมาจากบ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ตรวจสอบบัญชีเงินฝากจึงทราบว่าเหลือยอดเงินฝากเพียง 68.03 บาท โจทก์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ และพนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคามยื่นฟ้องจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ และความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยมีพฤติการณ์ที่ลักเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ไปโดยใช้บัตรกดเงินสด (บัตรเอทีเอ็ม) รวม 37 ครั้ง และลักเงินสด รวมยอดเงินที่จำเลยลักไปในคดีดังกล่าว 560,504 บาท ในระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2561 ช่วงที่โจทก์พักอาศัยอยู่กับจำเลย ทำให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาสุจริตที่รับเลี้ยงดูแลโจทก์ดังที่จำเลยนำสืบ แต่การกระทำของจำเลยแฝงไว้ด้วยเล่ห์เพทุบายในการหลอกล่อเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยทุจริต จนเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์เหลือเพียง 68.03 บาท และโจทก์ยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้เป็นของจำเลยแล้วจนโจทก์แทบไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยด่าทอโจทก์ด้วยถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวอ้างจริง และไล่โจทก์ออกจากบ้าน เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำที่จำเลยด่าทอโจทก์ที่ว่า "ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่รักลูก เงินแค่นี้ก็ทวง จะไปตายที่ไหนก็ไป หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม" กับการที่โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมโจทก์ก็เปรียบเสมือนเป็นมารดาของจำเลยคนหนึ่ง จำเลยย่อมต้องให้ความเคารพและยกย่องเชิดชูโจทก์ คำว่า "ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม" เป็นการกล่าวหาโจทก์ว่า ไม่รู้จักชอบชั่วดี ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลย ทำให้ถูกคนอื่นเกลียดชัง เสียชื่อเสียง ส่วนคำว่า "หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม" แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีความละอายแก่ใจที่มาอาศัยอยู่กับจำเลยและครอบครัว อันเป็นถ้อยคำที่ไร้ความเคารพนับถือ เป็นการลบหลู่เหยียดหยาม อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2)


โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ถอนคืนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 91569 39430 และ 24033 คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์ดำเนินการโดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะค่าขึ้นศาลกึ่งหนึ่ง


ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ถอนคืนการให้ โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 91569 39430 และ 24033 คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวม 20,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่โจทก์ได้รับยกเว้นทั้งสองศาลต่อศาลในนามโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมา 29,933 บาท แก่โจทก์

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า วันที่ 23 พฤษภาคม 2560 โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม และต่อมาได้ย้ายไปอยู่กับจำเลยที่บ้านของนายสมบูรณ์และนางทองปักษ์ ซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายของจำเลย วันที่ 22 กรกฎาคม 2560 โจทก์ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินมีทั้งที่ดินและเงินฝากในบัญชีธนาคารให้แก่จำเลย ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2560 โจทก์จดทะบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 91569 39430 และ 24033 แก่จำเลยโดยเสน่หา โจทก์พักอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 โจทก์ย้ายกลับไปอยู่บ้านโจทก์ และเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 โจทก์จดทะเบียนเลิกรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม


คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาของจำเลยว่า โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ได้หรือไม่ ข้อนี้ได้ความจากโจทก์นำสืบว่า หลังจากโจทก์จดทะเบียนให้ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงแก่จำเลยโดยเสน่หาแล้ว จำเลยไม่เลี้ยงดูโจทก์เหมือนเช่นก่อน จำเลยให้โจทก์นอนและรับประทานอาหารใต้บันไดบ้านคนเดียว ขังโจทก์ไว้ในบ้านและไม่ให้ญาติมาเยี่ยมโจทก์ จำเลยหลอกยืมเงินแล้วไม่คืนให้และลักเอาเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์เหลือเงินในบัญชีเพียง 68.03 บาท โจทก์แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ โจทก์สิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อเดือนมกราคม 2563 โจทก์ทวงเงินและขอเงินจากจำเลยเป็นค่ารักษาพยาบาลกับค่าอาหารเพื่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล จำเลยด่าว่าโจทก์ ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่รักลูก เงินแค่นี้ก็ทวง จะไปตายที่ไหนก็ไป หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม และไล่โจทก์ออกจากบ้าน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 โจทก์จึงออกจากบ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยกลับไปอยู่บ้านโจทก์ ส่วนจำเลยนำสืบว่า โจทก์และนางพุธ น้องสาวของโจทก์มาอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย จำเลยและครอบครัวดูแลโจทก์และนางพุธเป็นอย่างดี เมื่อโจทก์และนางพุธป่วย จำเลยและครอบครัวก็ไปดูแลที่โรงพยาบาล ทั้งจ้างนางสาวรัตนวลี มาดูแล ต่อมาเมื่อนางพุธถึงแก่ความตาย โจทก์ก็ยังขออยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย จำเลยและครอบครัวดูแลโจทก์เป็นอย่างดี พาโจทก์ไปเที่ยวและทำบุญหลายจังหวัด จำเลยให้เงินโจทก์เป็นประจำทุกสัปดาห์ เมื่อเดือนมกราคม 2563 จำเลยได้งานรับราชการที่จังหวัดขอนแก่น โจทก์ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 จำเลยไปกรุงเทพมหานคร โจทก์บอกว่าจะไปหาหมอและจะไปบ้านญาติ แม่ยายของจำเลยให้นางรัตนวลีไปส่ง หลังจากนั้นโจทก์ไม่กลับมาที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยอีกเลย เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 จำเลยไปที่บ้านโจทก์ โจทก์บอกว่าที่มาอยู่ที่บ้านโจทก์เพราะญาติจะไม่คืนเงินกู้หากโจทก์ยังอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลย จำเลยไปหาโจทก์อีก แต่นางบุญศรีกีดกันไม่ยอมให้จำเลยพบโจทก์ จำเลยดูแลโจทก์เป็นอย่างดี และไม่เคยด่าว่าโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และไม่เคยไล่ออกจากบ้าน แม้โจทก์มีโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวที่เบิกความว่า จำเลยด่าทอโจทก์และไล่โจทก์ออกจากบ้าน ไม่มีพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความสนับสนุนก็ตาม ซึ่งจำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้ด่าทอโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างและไม่ได้ไล่โจทก์ออกจากบ้าน ทำให้ต้องวินิจฉัยว่าคำเบิกความฝ่ายใดจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์เริ่มแรกก่อนที่จำเลยจะเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์ โจทก์เบิกความว่า ก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์และนางพุธเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ม. เป็นเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ มีนายสมบูรณ์และนางทองปักษ์ พ่อตาแม่ยายของจำเลยมาเฝ้าดูแล และพาไปโรงพยาบาล จนเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกันจนกระทั่งโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ทำให้เห็นว่าจำเลยและครอบครัวทางภริยาพยายามเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลโจทก์และนางพุธน้องสาวโจทก์เป็นพิเศษ ทั้งที่ไม่ได้เป็นเครือญาติกัน จึงเป็นเรื่องผิดวิสัยที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาดูแลเอาใจใส่พาโจทก์และนางพุธไปโรงพยาบาล ให้ที่พักอาศัยพาไปทำบุญและท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ แต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า ทั้งโจทก์และนางพุธน้องสาวโจทก์ต่างเป็นหญิงชรา โจทก์มีโรคประจำตัวหลายโรคทั้งเบาหวาน และความดัน ส่วนนางพุธป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นผู้ป่วยติดเตียงต้องการผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อโจทก์และนางพุธมีทรัพย์สินและเงินฝากในบัญชีธนาคารมูลค่าไม่ใช่น้อย จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในการกระทำของจำเลยและครอบครัวว่ากระทำด้วยความสุจริตหรือไม่ ซึ่งต่อมาโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม และทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและเงินสดให้แก่จำเลย แต่โจทก์ก็ยังเป็นห่วงจำเลยว่าเครือญาติของโจทก์จะมีเรื่องทรัพย์สินพิพาทกับจำเลย จึงจดทะเบียนยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้แก่จำเลย แสดงว่าโจทก์ย่อมรักไว้ใจและผูกพันจำเลยเสมือนบุตรและหวังฝากผีฝากไข้ไว้กับจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 โจทก์ได้รับเงินประกันชีวิต 4,770,000 บาท และนำไปฝากไว้ที่ธนาคาร ก. ปรากฏว่าในวันเดียวกันมีการถอนเงินออกไป 2,700,000 บาท และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 มีการถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวอีก 2,010,000 บาท โจทก์เบิกความว่าไม่ได้เป็นผู้เบิกถอน ซึ่งจำเลยนำสืบรับว่า เงินที่ถอน 2,700,000 บาท โจทก์ยกให้จำเลยนำไปชำระหนี้ส่วนตัวของจำเลยและภริยา ส่วนเงินที่ถอน 2,010,000 บาท โจทก์ให้นำไปใช้ในครอบครัวและดูแลความเป็นอยู่ของโจทก์ แม้ให้การไม่สอดคล้องกัน แต่ก็ทำให้เห็นว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการที่ดูแลโจทก์เพียงไม่กี่ดือน นับแต่ที่โจทก์รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและจำเลยพาโจทก์มาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน หลังจากที่โจทก์ย้ายออกมาจากบ้านพ่อตาแม่ยายของจำเลยแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ตรวจสอบบัญชีเงินฝาก จึงทราบว่าเหลือยอดเงินฝากเพียง 68.03 บาท โจทก์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ และพนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคามยื่นฟ้องจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ และความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ตามสำเนาคำพิพากษาศาลจังหวัดมหาสารคาม ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2565 แนบท้ายคำแก้ฎีกาของโจทก์ แสดงว่าจำเลยมีพฤติการณ์ที่ลักเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ไป โดยใช้บัตรกดเงินสด (บัตรเอทีเอ็ม) รวม 37 ครั้ง และลักเงินสด รวมยอดเงินที่จำเลยลักไปในคดีดังกล่าว 560,504 บาท ในระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2561 ช่วงที่โจทก์พักอาศัยอยู่กับจำเลย ทำให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาสุจริตที่รับเลี้ยงดูแลโจทก์ดังที่จำเลยนำสืบ แต่การกระทำของจำเลยแฝงไว้ด้วยเล่ห์เพทุบายในการหลอกล่อเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยทุจริต จนเงินฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์เหลือเพียง 68.03 บาท และโจทก์ยกที่ดินทั้งสามแปลงพิพาทให้เป็นของจำเลยแล้วจนโจทก์แทบไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยด่าทอโจทก์ด้วยถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวอ้างจริง และไล่โจทก์ออกจากบ้าน เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำที่จำเลยด่าทอโจทก์ที่ว่า "ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่รักลูก เงินแค่นี้ก็ทวง จะไปตายที่ไหนก็ไป หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม" กับการที่โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์ก็เปรียบเสมือนเป็นมารดาของจำเลยคนหนึ่ง จำเลยย่อมต้องให้ความเคารพและยกย่องเชิดชูโจทก์ คำว่า "ไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม" เป็นการกล่าวหาโจทก์ว่า ไม่รู้จักชอบชั่วดี ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลย ทำให้ถูกคนอื่นเกลียดชัง เสียชื่อเสียง ส่วนคำว่า "หน้าด้านหน้ามึนอยู่ทำไม" แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีความละอายแก่ใจที่มาอาศัยอยู่กับจำเลยและครอบครัว อันเป็นถ้อยคำที่ไร้ความเคารพนับถือ เป็นการลบหลู่เหยียดหยาม อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 



การถอนคืนการให้ประพฤติเนรคุณ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2566 ถอนคืนการให้ – คำพูดระหว่างไกล่เกลี่ยนำมาเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
ถอนคืนการให้-หมิ่นประมาทร้ายแรง
ขาดอายุความถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ
ผู้รับปฏิเสธให้ความช่วยเหลือ,ถอนคืนการให้
ไม่ยอมให้เงินซื้อยารักษาตัวเป็นการบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิต
การให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน, ถอนคืนการให้
หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง
ถอนคืนการให้,ประพฤติเนรคุณ
ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา