.jpg)
ถอนคืนการให้,ประพฤติเนรคุณ
การให้โดยเสน่หา เมื่อได้ให้กันแล้วจะถอนคืนการให้ไม่ได้ หากการให้นั้นสมบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่กฎหมายบัญญัติข้อยกเว้นไว้ให้ถอนคือการให้ได้เฉพาะที่ผู้รับประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้เท่านั้น
อย่างไรถึงจะเรียกว่าประพฤติเนรคุณ
อย่างไรเรียกว่า "ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรง"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2528
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นบุตรโจทก์ โจทก์ยกที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดที่ ๔๘๙๔ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ให้จำเลยโดยเสน่หา ต่อมาโจทก์ไปบ้านจำเลย แล้วเกิดทะเลาะกับจำเลย จำเลยจับผมโจทก์แล้วกระแทกหน้าโจทก์กับพื้นเป็นแผลแตกที่ใต้คางและจำเลยยังบีบคอโจทก์อีกด้วย มีคนเข้าไปห้ามไว้ และมีคนพาโจทก์ไปส่งโรงพยาบาล โจทก์รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ๘ วัน แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ปัญหาต่อไปว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ผู้เป็นมารดา ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยขาดความกตัญญูและประทุษร้ายต่อบุพการีผู้มีพระคุณของตน แม้โจทก์จะได้รับบาดเจ็บไม่ถึงสาหัสก็ดี ก็ถือได้ว่าจำเลยได้ประพฤติเนรคุณโดยประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (1) แล้ว โจทก์จึงเรียกถอนการคืนการให้ได้
อย่างไรเรียกว่า "ผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2550
ผู้ให้โดยเสน่หาเจ็บป่วยไปขอความช่วยเหลือจากผู้รับให้ แต่ผู้รับให้ไม่พอใจพร้อมพูดว่า บักหมามึงแก่แล้ว พูดจากลับไปกลับมาเหมือนเด็กเล่นขายของ มึงไม่มีศีลธรรม มึงไปตายที่ไหนก็ไป ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง จึงมีเหตุผู้รับการให้ประพฤติเนรคุณที่ผู้ให้ถอนคืนการให้ได้ เพราะกฎหมายกำหนดว่าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้าย แรงผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณได้
ถ้อยคำไม่สุภาพไม่เป็นเหตุถอนคืนการให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2550
ถ้อยคำว่า "โจทก์ยกที่ดินให้แล้ว ยังจะเอาคืน เสือกโง่เอง อย่าหวังว่าจะได้สมบัติคืนเลย" ข้อความนี้ นี้ เป็นเพียงการกล่าวถ้อยคำไม่สุภาพไม่ถึงขนาดเป็นการหมิ่นประมาทกรณีจึงไม่เข้าเหตุที่โจทก์มีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1147/2503
จำเลยเป็นบุตรสาวของโจทก์ เวลากลางคืนโจทก์ไปตามเด็กหญิงคนใช้ที่บ้านพักจำเลยโดยหาว่าจำเลยเอาเด็กนั้นมากักขังไว้ โจทก์จะให้เด็กกลับบ้านโจทก์ จำเลยไม่ยอม หาว่าโจทก์ปลุกปล้ำเด็กจะเอาเป็นภรรยา เด็กไม่ยอมจึงวิ่งมาหาจำเลย โจทก์จำเลยเถียงกัน จำเลยด่าโจทก์ว่า "ไอ้แก่กูไม่นับถือมึงอ้ายพ่อฉิบหาย" โจทก์ตบหน้าจำเลย จำเลยถีบเอาโจทก์ล้มลงแล้วต่างปล้ำทำร้ายกัน จนร่างกายฟกช้ำดำเขียวไปทั้งสองฝ่าย โจทก์ด่าจำเลยว่าอีสัตว์อีเหี้ยจำเลยด่าโจทก์ว่า "อ้ายแก่อ้ายเนรคุณกูไม่นับถือมึง" มีคนห้ามจึงเลิกกัน ต่อมาอีก 5 วัน โจทก์และจำเลยมาสถานีตำรวจ เรื่องจำเลยหาว่าโจทก์ลักโฉนด เกิดโต้เถียงกันอีก จำเลยด่าโจทก์ว่า "มึงเนรคุณกู กูไม่นับถือมึง แก่แล้วยังบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก" ทั้งนี้ ต่อหน้าคนหลายคนเช่นนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แล้ว คือจำเลยผู้รับได้ทำให้โจทก์ผู้ให้ เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงเพราะจำเลยได้ว่าโจทก์ข่มขืนเด็ก ซึ่งเป็นความผิดอันจักต้องโทษทางอาญา การกล่าวอ้างทั้งนี้จะถือว่าเป็นเพียงการด่าว่าโต้ตอบกันไปมาระหว่างจำเลยกับโจทก์ไม่ได้ เพราะคำที่กล่าวนั้น มิใช่เพียงคำหยาบที่ไร้ความหมาย หรือที่มิได้ตั้งใจจะให้มีความหมายนอกไปจากเป็นคำหยาบหากแต่เป็นคำกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยยกขึ้นว่าเอากับโจทก์ว่าบ้าตัณหาข่มขืนเด็กกรณีดังนี้ โจทก์ย่อมถอนคืนการให้ได้
อย่างไรเรียกว่า "ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2551
เหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (3) นั้น จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ให้มีความจำเป็นเพราะขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิต แล้วผู้ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้รับและผู้รับอยู่ในฐานะที่จะให้ได้โดยไม่เดือดร้อน แล้วผู้รับปฏิเสธที่จะให้นั้น การที่จำเลยจะขายที่ดินที่โจทก์ยกให้แต่ถูกโจทก์ห้ามปราม จำเลยจึงไปอยู่เสียที่อื่นจนโจทก์ต้องไปอาศัยอยู่กับน้องสาวนั้น จะฟังว่า โจทก์ได้ขอความช่วยเหลือจากจำเลยและจำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือโจทก์ได้โดยไม่เดือดร้อน แล้วจำเลยไม่ช่วยเหลือหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ตามฟ้อง
อายุความการถอนคืนการให้
มาตรา 533 เมื่อผู้ให้ได้ให้อภัยแก่ผู้รับในเหตุประพฤติเนรคุณนั้นแล้วก็ดีหรือเมื่อเวลาได้ล่วงไปแล้วหกเดือนนับแต่เหตุเช่นนั้นได้ทราบถึงบุคคลผู้ชอบที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้นั้นก็ดี ท่านว่าหาอาจจะ ถอนคืนการให้ได้ไม่
อนึ่ง ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาสิบปีภายหลังเหตุการณ์เช่นว่านั้น
การถอนคืนการให้นั้นกฎหมายได้บัญญัติเรื่องอายุความไว้ว่าจะต้องฟ้องคดีถอนคืนการให้ภายในเวลาหกเดือนนับแต่เวลาทราบถึงเหตุถอนคืนการให้แต่ต้องฟ้องภายใน 10 ปีนับแต่เหตุถอนคืนการให้ได้เกิดขึ้น หมายความว่า เหตุอาจจะเกิดขึ้นมานานแล้วล่วงเลยเวลาหกเดือนมาแล้วแต่เพิ่งจะทราบเมื่อ 10 วันที่ผ่านมาก็ถือว่ายังไม่ขาดอายุความหากเหตุนั้นเกิดขึ้นยังไม่เกิน 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6962/2550
จำเลยประพฤติเนรคุณด่าและหมิ่นประมาทโจทก์เมื่อประมาณปลายปี 2538 ถึงต้นปี 2539 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 เกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ได้ทราบถึงเหตุเหล่านั้น ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามป.พ.พ. มาตรา 533 วรรคหนึ่ง
การให้ที่ถอนคืนไม่ได้
มาตรา 535 การให้อันจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าจะถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ คือ
(1) ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้
(2) ให้สิ่งที่มีค่าภารติดพัน
(3) ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา
(4) ให้ในการสมรส
การให้ที่ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ คือการให้ตอบแทนที่ผู้รับได้กระทำ การอย่างหนึ่งอย่างใดให้แก่ผู้ให้ ซึ่งมีลักษณะทีเห็นได้ว่าไม่ใช่ทำให้กันเปล่าๆ แต่ผู้รับได้กระทำให้โดยไม่คิดค่าจ้าง ผู้ให้จึงให้ทรัพย์สินเป็นบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2542
จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์เป็นเงิน 70,000 บาทเศษ ส่วนโจทก์ให้ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างราคา 500,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน เมื่อเปรียบเทียบแล้วราคาที่ดินพิพาทสูงกว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์เมื่อ 3 ถึง 4 ปี ที่แล้วไม่น้อยกว่า 7 เท่า การที่โจทก์ให้ที่ดินพิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้
การให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน ได้แก่การให้ตามมาตรา 528 ซึ่งผู้รับต้องปฏิบัติตามภาระตอบแทนการให้ จึงถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 528 ถ้าทรัพย์สินซึ่งให้นั้นมีค่าภารติดพันและผู้รับละเลยเสียไม่ชำระค่าภารติดพันนั้นไซร้ ท่านว่าโดยเงื่อนไขอันระบุไว้ในกรณี สิทธิเลิกสัญญาต่างตอบแทนกันนั้นผู้ให้จะเรียกให้ส่งทรัพย์สินที่ให้นั้นคืนตามบทบัญญัติว่าด้วยคืนลาภมิควรได้นั้นก็ได้เพียงเท่าที่ควรจะเอาทรัพย์นั้นไปใช้ชำระค่าภารติดพันนั้น
โจทก์กับจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลย เป็นการตอบแทนที่จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทที่โจทก์เป็นหนี้ธนาคารอยู่ อันเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. มาตรา 535 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4475/2551
การให้โดยหน้าที่ธรรมจริยา เป็นการให้ที่ผู้ให้ไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องให้ แต่เป็นการให้ตามหน้าที่ศีลธรรม เช่น ลูกหนี้มีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะใช้หนี้ซึ่งขาดอายุความฟ้องร้องไปแล้ว เพราะลูกหนี้ได้เอาเงินของเจ้าหนี้ไปจริง หรือบิดามารดามีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูอุปการะบุตรซึ่งจัดอยู่ในหน้าที่ตามธรรมจรรยา
การให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2502
มารดายกที่ดินและห้องทั้งหมดให้โจทก์ผู้เป็นบุตรและสั่งให้แบ่งที่ดินและห้องบางส่วนให้จำเลยซึ่งเป็นหลานด้วยโจทก์ก็แบ่งยกให้ตามที่มารดาสั่งดังนี้ถือว่าเป็นการยกให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาโจทก์จะถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้
การให้ในการสมรส เป็นการให้ทรัพย์สินแก่ผู้รับเนื่องในการสมรส เช่น การที่ญาติให้เงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแก่คู่สมรสเพื่อรับไหว้ เป็นการให้ในการสมรส จะถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติหลักเกณฑ์การถอนคืนการให้ไว้ในมาตรา 531 ดังนี้
มาตรา 531 "อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดั่งจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา หรือ
(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้าย แรง หรือ
(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้"