
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793/2567: คดีฉ้อโกงและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กับประเด็นอำนาจศาลแขวง
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงและความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยมีประเด็นสำคัญในการวินิจฉัยว่า คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวงหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาจากคำฟ้องและข้อเท็จจริง เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามบทหนักที่เกินอำนาจศาลแขวง แต่ฟ้องเฉพาะข้อหาที่มีโทษตามบทเบา จึงอยู่ในอำนาจศาลแขวง และให้ส่งสำนวนกลับไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 วรรคสอง ต่อไป
ภาพรวมของคดี คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหาฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และฉบับแก้ไข พ.ศ. 2560 โดยอ้างว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงนำข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชันไลน์สาธารณะ ส่งผลให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน 705,200 บาท
ประเด็นข้อพิพาท ประเด็นหลักที่ต้องวินิจฉัย คือ คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวงหรือไม่ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาที่อาจเข้าข่ายบทหนักตามมาตรา 14 (1) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี) ซึ่งเกินอำนาจศาลแขวง หรือบทเบาตามมาตรา 14 วรรคสอง (โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี) ที่อยู่ในอำนาจศาลแขวง
ข้อเท็จจริงในคำฟ้อง •การกระทำเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 มีนาคม 2564 ถึง 23 พฤษภาคม 2564 •จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกง และโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ •คำฟ้องระบุโทษตามมาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทเบา และไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ที่เป็นบทหนัก
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า แม้คำฟ้องจะมีการบรรยายข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 14 (1) เดิมที่เป็นบทหนัก แต่เมื่อบทบัญญัตินี้ถูกยกเลิก และโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามบทหนักที่แก้ไขใหม่ จึงถือว่าโจทก์ประสงค์ฟ้องเพียงข้อหาที่มีโทษเบา ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลแขวง ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ และไม่เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่วินิจฉัยว่าคดีนี้เกินอำนาจศาลแขวง
คำสั่งของศาลฎีกา พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และให้ส่งสำนวนกลับไปเพื่อพิจารณาวินิจฉัยข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 วรรคสอง ต่อไป
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1.การตีความคำฟ้องและบทกฎหมายที่ใช้บังคับ oการกำหนดโทษต้องพิจารณาจากคำขอท้ายฟ้อง หากไม่มีการขอให้ลงโทษตามบทหนัก ศาลไม่อาจพิพากษาเกินคำขอได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ 2.อำนาจศาลแขวง oคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี อยู่ในอำนาจศาลแขวง ตามหลักเกณฑ์การแบ่งอำนาจศาล oหากฟ้องมีบทหนักเกินอำนาจ แม้จะมีบทเบาอยู่ด้วย ก็ต้องส่งให้ศาลจังหวัดพิจารณา แต่ในคดีนี้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามบทหนัก 3.หลักห้ามลงโทษเกินคำขอ oเป็นหลักสำคัญเพื่อคุ้มครองสิทธิของจำเลย และสร้างความชัดเจนในการต่อสู้คดี
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย •คำฟ้องต้องระบุชัดเจนถึงบทกฎหมายและโทษที่ต้องการให้ศาลลงโทษ •ศาลไม่สามารถพิพากษาลงโทษเกินคำขอหรือบทกฎหมายที่มิได้ระบุในฟ้อง •การกำหนดบทเบาหรือบทหนักมีผลโดยตรงต่ออำนาจพิจารณาของศาล
IRAC Issue (ประเด็นปัญหา) คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวงหรือไม่ เมื่อคำฟ้องมีการกล่าวถึงการกระทำที่เข้าข่ายบทหนัก แต่โจทก์ระบุขอให้ลงโทษเฉพาะบทเบา Rule (ข้อกฎหมายที่ใช้บังคับ) •ป.อ. มาตรา 341 (ฉ้อโกง) โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ •พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง (แก้ไข พ.ศ. 2560 มาตรา 8) โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ •ป.วิ.อาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ห้ามพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอในฟ้อง Application (การประยุกต์ใช้กฎหมาย) โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ซึ่งเป็นบทหนัก แต่ขอให้ลงโทษตามมาตรา 14 วรรคสองที่เป็นบทเบา จึงอยู่ในอำนาจศาลแขวง และศาลไม่อาจขยายโทษไปยังบทหนักได้ Conclusion (ข้อสรุป) คดีนี้อยู่ในอำนาจศาลแขวง ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อหาตามมาตรา 14 วรรคสองต่อไป
บทสรุปภาษาอังกฤษ This Supreme Court Decision No. 5793/2567 concerns a fraud case combined with offenses under the Computer Crime Act. The key legal issue was whether the case fell under the jurisdiction of the Municipal Court. The Supreme Court ruled that since the plaintiff only requested punishment under the lesser provision (Section 14 paragraph 2) and not the heavier provision, the case was within the Municipal Court’s jurisdiction. The case was remanded to the Court of Appeal to consider the remaining issues.
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ฟ้องจะมีข้อเท็จจริงเข้าข่ายบทหนักตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) เดิม แต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษตามบทดังกล่าว และขอเพียงโทษตามมาตรา 14 วรรคสอง (แก้ไข 2560) ซึ่งเป็นบทเบา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี จึงอยู่ในอำนาจศาลแขวง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่าคดีเกินอำนาจศาลแขวงและไม่รับฟ้องส่วนแพ่งนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้อง ให้ส่งสำนวนกลับให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยประเด็นความผิดตามมาตรา 14 วรรคสองต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793/2567 แม้ฟ้องโจทก์บรรยายครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว อันเป็นบทหนักที่บัญญัติให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษสูงขึ้น และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 ที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ยังคงบัญญัติว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอยู่ โดยมาตรา 14 (1) และมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อันเกินอำนาจศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ก็ตาม แต่การที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว และระบุขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 และมาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทเบามีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยมิได้มีคำขอให้ลงโทษตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นบทหนัก ย่อมแสดงให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 เท่านั้น ไม่อาจถือว่าโจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษบทหนักตามบทบัญญัติดังกล่าวด้วย เมื่อความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เป็นศาลแขวง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8, 14 วรรคสอง และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงินให้แก่โจทก์ 705,200 บาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีโจทก์มีมูลเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 ตามฟ้องโจทก์เท่านั้น จึงให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาดังกล่าว ไว้พิจารณา ส่วนข้อหาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 และมาตรา 12 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 14 วรรคสอง) ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง คืนค่าขึ้นศาลชั้นต้นทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นทั้งสองศาลให้เป็นพับ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะดำเนินคดีในศาลที่มีอำนาจ โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ข้อ 2 มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งสี่ได้กระทำผิดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) เพียงแต่บรรยายว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้อง ข้อ 1.1 ถึง 1.4 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินเพียงใดเท่านั้น เมื่อฟ้องโจทก์ข้อ 2 ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะแสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันโดยทุจริต หรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 ฟ้องโจทก์ข้อ 2 จึงเป็นการบรรยายถึงค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.4 อันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.4 เท่านั้น และไม่อาจแบ่งแยกข้อหาดังกล่าวออกมาได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวง โดยบรรยายข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาที่เกิดเหตุตามฟ้อง ข้อ 1.1 ถึง 1.4 ว่า เหตุเกิดเมื่อระหว่างวันที่ 16 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 และบรรยายฟ้องการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดในทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแอปพลิเคชันไลน์สาธารณะซึ่งประชาชนทั่วไป และโจทก์สามารถเข้าถึงได้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้อื่น และประชาชน กับมีคำขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8, 14 วรรคสอง ดังนี้ แม้ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว อันเป็นบทหนักที่บัญญัติให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษสูงขึ้น และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 ที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ยังคงบัญญัติว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอยู่ โดยบทบัญญัติตามมาตรา 14 (1) และมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อันเกินอำนาจศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ก็ตาม แต่การที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว และระบุขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 และมาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทเบา มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งยังเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ในขณะกระทำความผิดด้วย และฟ้องโจทก์ก็ระบุข้อหาหรือฐานความผิดว่า ร่วมกันฉ้อโกงและโดยทุจริตหรือหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น โดยมิได้มีคำขอให้ลงโทษตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นบทหนักที่บัญญัติให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษสูงขึ้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 8 เท่านั้น ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่บัญญัติห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงบางข้อดั่งที่กล่าวในฟ้อง และตามที่ปรากฏในทางพิจารณา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น ๆ เช่นนี้ หากทางพิจารณาจะได้ความตามฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 และต้องถือว่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว และมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 8 ดังนั้น จึงไม่อาจถือว่าโจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษบทหนักตามบทบัญญัติดังกล่าวด้วย เมื่อความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และความผิดฐานโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือผู้อื่น อันมิใช่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 8 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงอยู่ในอำนาจที่ศาลชั้นต้นที่เป็นศาลแขวงจะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ความผิดตามบทกฎหมายที่เบากว่าจะอยู่ในอำนาจศาลแขวง แต่เมื่อความผิดตามบทหนักเกินอำนาจศาลแขวงแล้ว ต้องถือว่าคดีนี้เป็นคดีเกินอำนาจศาลแขวง ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ และพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่งมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัยคดีโจทก์มีมูลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 หรือไม่ เพื่อให้คดีมีการตรวจสอบดุลพินิจเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวเสียก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของโจทก์ใหม่ตามรูปคดี |