ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีซื้อขายรถไม่โอนกรรมสิทธิ์ ไม่เป็นฉ้อโกง (ฎีกา 1028/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1028/2567, ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานฉ้อโกงกับผิดสัญญา, ฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, สัญญาซื้อขายรถยนต์และการโอนกรรมสิทธิ์, ความรับผิดจากการไม่โอนรถตามสัญญา, ข้อพิสูจน์เจตนาทุจริตในการฉ้อโกง, การแยกเขตคดีอาญาและคดีแพ่งในข้อพิพาทเรื่องซื้อขาย, หลักกฎหมายว่าด้วยเจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงและผิดสัญญา, บทวิเคราะห์กฎหมายเกี่ยวกับการผ่อนรถและการโอนกรรมสิทธิ์, ภาระพิสูจน์เจตนาทุจริตของโจทก์, กรณีศึกษาไม่โอนใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์, แนวคำวินิจฉัยศาลฎีกาเกี่ยวกับความผิดฐานฉ้อโกง, บทความกฎหมายการโอนทะเบียนรถ, คำอธิบายความแตกต่างคดีแพ่งและอาญาในสัญญา

 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาความผิดฐานฉ้อโกงจากการซื้อขายรถยนต์ผ่อนชำระ โดยผู้ซื้อชำระเกือบครบจำนวน แต่ผู้ขายไม่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญา ศาลวินิจฉัยว่าการไม่ทำตามสัญญาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการผิดสัญญา ไม่ใช่ความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

สรุปข้อเท็จจริงของคดี

โจทก์ตกลงซื้อรถกระบะจากจำเลย โดย

ชำระเงินมัดจำ

รับรถไปครอบครอง

ชำระค่างวดรวม 30 งวด

โจทก์จ่ายครบ 29 งวด และทวงให้โอนกรรมสิทธิ์รถ

จำเลยนัดหมายแต่ไม่มาตามสัญญา โจทก์จึงฟ้องฐานฉ้อโกงอ้างว่า จำเลยไม่มีใบคู่มือทะเบียนรถตั้งแต่ต้นและมีเจตนาหลอกลวง

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้คือ ความแตกต่างระหว่าง “ผิดสัญญาแพ่ง” กับ “ความผิดอาญาฐานฉ้อโกง” โดยศาลใช้หลักกฎหมายจาก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เป็นแกนวินิจฉัย

มาตรา 341 เป็นหัวใจ เพราะศาลต้องพิจารณาว่า

จำเลยมี “เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก” หรือไม่

ถ้าไม่มี → เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่อาญา

✅ มาตรากฎหมายที่ใช้เป็นแกนในคดีนี้

1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

(องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ต้องมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก)

2. อ้างอิงรองเพื่อยกขึ้นวินิจฉัย

ป.วิ.อาญา มาตรา 195 วรรคสอง

ป.วิ.อาญา มาตรา 225

พ.ร.บ.ศาลแขวงฯ มาตรา 4

(อำนาจศาลหยิบยกประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเอง)

✅ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ (แก่นคดี) 

1) เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก (Initial fraudulent intent)

ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยตั้งใจหลอกลวงตั้งแต่เริ่มสัญญา

→ ถ้าเพียงทำผิดสัญญาภายหลัง ไม่ใช่ฉ้อโกง

2) แสดงข้อความอันเป็นเท็จ / ปกปิดความจริง

คำโกหกหรือปกปิดข้อเท็จจริงต้องเกิดขึ้น ก่อน รับเงิน

→ โจทก์ไม่ชี้ชัดว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือรถตั้งแต่ต้น

3) ผิดสัญญาทางแพ่ง vs ความผิดฉ้อโกง

ศาลย้ำหลักสำคัญ:

ปัญหาโอนรถไม่ได้ = ข้อพิพาทสัญญา (แพ่ง)

ไม่ใช่ฉ้อโกงอาญาโดยอัตโนมัติ

4) ภาระการพิสูจน์อยู่ที่โจทก์

ต้องบรรยายข้อเท็จจริงเชิงบวกให้เห็นเจตนาทุจริต

ไม่ใช่อาศัยข้อสันนิษฐานเพียงเพราะไม่ปฏิบัติตามสัญญา

5) ศาลมีอำนาจยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยเอง

เพราะเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยในกฎหมายอาญา

(ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 195 วรรคสอง)

🎯 ใจความสรุปแบบสั้นที่สุด

การไม่โอนรถตามสัญญาภายหลัง ไม่พอพิสูจน์เจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก

ขาดองค์ประกอบความผิดฉ้อโกง → เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่อาญา

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

1. ความผิดฐานฉ้อโกงต้องพิสูจน์ได้ว่า

o ผู้กระทำมี เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก

o มีการแสดงข้อความเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง

o มีผลให้ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ

2. ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า

o จำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถตั้งแต่ต้น

o จำเลยมีเจตนาหลอกลวงก่อนสัญญา

3. การผิดนัดไม่โอนรถภายหลัง ไม่อาจสรุปเป็นฉ้อโกงได้โดยอัตโนมัติ

o เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง

ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลย

ประเด็นกฎหมายสำคัญ

1) ความผิดฐานฉ้อโกงต้องมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก

อ้างอิง: ป.อ. มาตรา 341

การไม่ทำตามสัญญาภายหลังไม่พอ ต้องพิสูจน์ว่า ตั้งใจโกงขณะสัญญาเกิดขึ้น

2) ภาระการพิสูจน์อยู่ที่โจทก์

ต้องแสดงข้อเท็จจริงเชิงบวก ไม่ใช่เพียงข้อสันนิษฐาน

3) แยกแยะคดีอาญา vs คดีแพ่ง

อาญา = ต้องมีเจตนาทุจริต

แพ่ง = ไม่ปฏิบัติตามสัญญา

การนำคดีแพ่งไปฟ้องเป็นอาญา ไม่สามารถทำได้หากไม่พิสูจน์เจตนาทุจริต

วิเคราะห์ฎีกา

คำพิพากษานี้สะท้อนหลักสำคัญของกฎหมายอาญาว่าต้องตีความเคร่งครัด โดยเฉพาะองค์ประกอบ “เจตนาทุจริต” ซึ่งเป็นหัวใจของความผิดฐานฉ้อโกง ศาลยืนยันว่าการไม่ทำตามสัญญาไม่ใช่ข้อพิสูจน์เจตนาในตัวเอง มิฉะนั้นจะทำให้คดีแพ่งถูกนำเข้ากระบวนการอาญาโดยไม่จำเป็น

นี่เป็นแนวทางคงเส้นคงวาของศาลฎีกาเพื่อป้องกันการใช้กระบวนการอาญาเป็นเครื่องต่อรองในข้อพิพาทสัญญา

IRAC Analysis

Issue (ประเด็นปัญหา)

ผู้ขายรถที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์หลังผู้ซื้อนำส่งเงินผ่อนเกือบครบ ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 หรือเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง

Rule (หลักกฎหมาย)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

ความผิดฐานฉ้อโกงต้องมี

การหลอกลวงโดยข้อความเท็จหรือปกปิดความจริง

เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก

ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ

Application (การประยุกต์ใช้กฎหมาย)

โจทก์ไม่พิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลย

ไม่มีเอกสารโอนตั้งแต่ต้น

ตั้งใจโกงตั้งแต่ก่อนทำสัญญา

การผิดสัญญาภายหลังไม่ถือเป็นพฤติการณ์ยืนยันเจตนาทุจริต

Conclusion (ข้อสรุป)

ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง เป็นเพียงข้อพิพาทแพ่ง ศาลยกฟ้อง

ข้อคิดทางกฎหมาย

การผิดสัญญา ≠ ฉ้อโกงเสมอไป

ต้องพิสูจน์ เจตนาทุจริต ณ เวลาทำสัญญา

คดีแพ่งไม่อาจนำไปกดดันในคดีอาญาได้โดยไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจน

ผู้ซื้อควรตรวจสอบเอกสารรถก่อนทำสัญญา เช่น ใบคู่มือจดทะเบียน

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

✅ คำถาม 

ข้อ 1

คำถาม 

โจทก์ทำสัญญาซื้อรถยนต์จากจำเลย โดยตกลงว่าจำเลยจะส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครองในวันทำสัญญาและนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาโอนกรรมสิทธิ์ให้เมื่อโจทก์ผ่อนชำระครบ 30 งวด ต่อมาโจทก์ผ่อนชำระครบ 29 งวดแล้วทวงถามจำเลยเพื่อให้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ แต่จำเลยผิดนัดไม่มาตามสัญญา โจทก์เชื่อว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถตั้งแต่แรก และมีเจตนาหลอกลวงจึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

ให้วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง และการพิจารณาวัตถุประสงค์เจตนาทุจริตของจำเลยต้องดูในช่วงเวลาใด

ธงคำตอบ 

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์และส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครองจริง โจทก์ชำระเงินงวดมาโดยตลอดจนเหลืองวดสุดท้าย การที่จำเลยภายหลังบิดพลิ้วไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้ตามสัญญา แม้จะเป็นการผิดสัญญา แต่ ไม่อาจสรุปได้เองว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 กำหนดว่า ต้องมี

1. การแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง

2. เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อและยอมมอบทรัพย์

3. โดยต้องพิสูจน์ได้ถึง เจตนาทุจริตตั้งแต่ขณะทำนิติสัมพันธ์

ในคดีนี้ โจทก์มิได้บรรยายหรือพิสูจน์ว่า ณ เวลาทำสัญญาจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถและไม่สามารถโอนให้ได้จริง หากแต่เพียงอ้างว่าภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จึงเป็นเพียงข้อพิพาททางแพ่งเรื่องการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่การฉ้อโกงอาญา

ข้อ 2

คำถาม 

ในกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงอ้างว่าจำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์รถให้ตามสัญญา ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่โจทก์ฎีกายืนยันว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก ศาลฎีกาจะสามารถยกประเด็นข้อกฎหมายเรื่อง “การไม่เข้าองค์ประกอบความผิดอาญา” ขึ้นวินิจฉัยเองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหลักเกณฑ์ใดใช้บังคับ

ธงคำตอบ 

แม้โจทก์ฎีกาโต้แย้งประเด็นข้อเท็จจริงโดยยืนยันว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องแล้วไม่ปรากฏข้อเท็จจริงยืนยันชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงในขณะทำสัญญา หากแต่เพียงผิดสัญญาในภายหลัง ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกประเด็นข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยเองได้ เนื่องจากเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยและองค์ประกอบความผิดทางอาญา

อาศัยอำนาจตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง

ประกอบ มาตรา 225

และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 4

ศาลฎีกาจึงตรวจสอบเองว่า คำฟ้องไม่มีข้อความแสดงเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นหัวใจของความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 เมื่อฟ้องไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทางอาญา ศาลฎีกาจึงมีอำนาจและมีหน้าที่ต้องวินิจฉัยยกฟ้องแม้คู่ความไม่ยกขึ้นอ้าง

หลักนี้สะท้อนว่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่อาจลงโทษบุคคลได้โดยปราศจากฐานความผิดที่ครบถ้วนตามกฎหมายอาญาอย่างเคร่งครัด

✅ สรุป

การไม่ปฏิบัติตามสัญญาภายหลัง ไม่ใช่พยานบ่งชี้เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก

ฟ้องอาญาต้องระบุและพิสูจน์เจตนาทุจริตตอนเริ่มนิติสัมพันธ์

ศาลฎีกามีอำนาจหยิบประเด็นกฎหมายเรื่ององค์ประกอบความผิดขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพื่อความเป็นธรรมแก่จำเลย

1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 (ความผิดฐานฉ้อโกง) “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”  2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195  “ข้อกฎหมายทั้งปวงอันคู่ความอุทธรณ์ร้องอ้างอิง ให้แสดงไว้โดยชัดแจ้งในฟ้องอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นก็อุทธรณ์ได้ ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยเองซึ่งข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้มิได้ยกขึ้นร้องก็ได้”  3) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 “ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์ มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง”  4) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 “ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้บังคับ ให้คงใช้กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งบังคับ”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2567

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ต้องประกอบด้วยผู้หลอกลวงมีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และผลของการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้หลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงว่าจะขายรถกระบะให้แก่โจทก์ โดยจำเลยให้โจทก์ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญาพร้อมกับส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครอง ราคารถส่วนที่เหลือให้โจทก์ผ่อนชำระ 30 งวด เมื่อผ่อนถึงงวดที่ 30 จำเลยจะมารับเงินค่ารถเองพร้อมนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาทำการโอนเป็นชื่อโจทก์ โจทก์ผ่อนชำระ 29 งวด แล้วทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์ จำเลยนัดหมายจะมาดำเนินการให้แต่ผิดนัดไม่มาตามสัญญา แสดงว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่จะส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์มาแต่แรก มีเจตนาที่จะหลอกลวงโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินไปจากโจทก์ โดยตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ขณะทำสัญญาขายรถนั้น จำเลยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อของโจทก์มาตั้งแต่แรก อันเนื่องจากตนเองไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และไม่สามารถที่จะทำการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ได้ แต่หลอกลวงว่ามีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หรือปกปิดข้อความจริงดังกล่าวไว้ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา มิใช่ข้อที่จะยืนยันว่าจำเลยหลอกลวงโดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาคงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการหลอกลวงอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นมีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงหรือไม่ เห็นว่า องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ต้องประกอบด้วยผู้หลอกลวงมีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และผลของการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้หลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องได้ความว่า จำเลยหลอกลวงว่าจะขายรถกระบะให้แก่โจทก์ โดยจำเลยให้โจทก์ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญาพร้อมกับส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครอง ราคารถส่วนที่เหลือให้โจทก์ผ่อนชำระ 30 งวด เมื่อผ่อนถึงงวดที่ 30 จำเลยจะมารับเงินค่ารถเองพร้อมนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาทำการโอนเป็นชื่อโจทก์ โจทก์ผ่อนชำระ 29 งวด แล้วทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์ จำเลยนัดหมายจะมาดำเนินการให้แต่ผิดนัดไม่มาตามสัญญา แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่จะส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์มาแต่แรก ถือว่ามีเจตนาที่จะหลอกลวงโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินไปจากโจทก์ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประกอบคำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้ว องค์ประกอบแรกจำเลยผู้หลอกลวงต้องมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรก หลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าขณะทำสัญญาขายรถนั้น จำเลยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อของโจทก์มาตั้งแต่แรก อันเนื่องจากตนเองไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และไม่สามารถที่จะทำการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ได้ แต่หลอกลวงว่ามีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หรือปกปิดข้อความจริงดังกล่าวไว้ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา มิใช่ข้อที่จะยืนยันว่าจำเลยหลอกลวงโดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาคงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการหลอกลวงอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ดังนั้น การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล เมื่อฟังได้ดังนี้แล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของโจทก์ต่อไปอีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป

พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

✅ Quick Summary – ฎีกา 2062/2558

คดีนี้ยืนยันหลักสำคัญของความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ว่า ไม่จำเป็นที่ผู้ถูกหลอกจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ หากผู้ถูกหลอกถูกทำให้ส่งมอบทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองให้แก่ผู้หลอกลวงแล้ว ถือว่าเข้าข่าย “ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน” และเป็นความผิดฐานฉ้อโกงได้ ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิด และเมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยานต่อ แต่ศาลอุทธรณ์กลับยกฟ้องเพราะเห็นว่าโฉนดเป็นของจำเลยเอง ศาลฎีกาพลิกคำพิพากษา ยืนยันว่า การหลอกให้ส่งมอบเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดิน เพื่อไปโอนให้บุคคลอื่นเป็นความผิดฉ้อโกง แม้ทรัพย์เดิมจะเป็นของจำเลย ศาลยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคืนสำนวนให้พิจารณาประเด็นอื่นต่อ

Key point: หลอกเอาเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แม้ทรัพย์เป็นของจำเลยเอง แต่ให้ผู้อื่นส่งมอบโดยหลงเชื่อ = ฉ้อโกง

✅ Quick Summary – ฎีกา 238/2568

คดีนี้เน้นประเด็นปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการยื่นฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นฎีกาโดย คัดลอกคำอุทธรณ์มาเฉย ๆ โดยไม่ระบุเหตุและข้อกฎหมายให้เห็นชัดว่าเหตุใดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193, 216, 218 และ 225 ศาลไม่รับวินิจฉัยทั้งในส่วนข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพราะไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลล่างอนุญาตตามขั้นตอน จึงให้ยืนโทษตามศาลอุทธรณ์

Key point: ยื่นฎีกาแบบไม่แสดงเหตุผลทางข้อกฎหมาย — ถือว่าไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

✅ Quick Summary – ฎีกา 2659/2567

จำเลยโพสต์ขายสินค้าผ่านเฟซบุ๊กโดยไม่มีเจตนาขายจริง ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ แต่ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด ฉ้อโกงประชาชน ตาม ม.343 และความผิดคอมพิวเตอร์ ม.14(1) เพราะไม่ได้บรรยายว่าทำให้ประชาชนเสียหายหรือเป็นการเปิดให้เข้าถึงสาธารณะ ศาลจึงยกองค์ประกอบสองข้อหา แต่ยังคงเห็นว่าเป็น ฉ้อโกงตาม ม.341 และความผิดนำเข้าข้อมูลเท็จ ม.14 วรรคสอง และให้ลงโทษแทน พร้อมพิจารณาเหตุบรรเทา เช่น ยอมรับผิด วางเงินคืน และให้โอกาสกลับตัว

Key point: ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ ม.343 (ฉ้อโกงประชาชน) แต่ยังผิด ม.341 และ พ.ร.บ.คอมฯ ม.14 วรรคสอง

✅ Quick Summary – ฎีกา 282/2566

ผู้เสียหายหลงเชื่อการหลอกลวงไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้บุคคลที่สาม แม้ผู้รับโอนไม่ใช่ผู้หลอก แต่ผลของการหลอกลวงทำให้บุคคลที่สามได้ทรัพย์ จึงถือว่าเป็นการ “ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก” ตาม ม.341 และต้องคืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน แนววินิจฉัยสะท้อนหลักว่า การให้โอนเอกสารสิทธิโดยหลงเชื่อ ถือเป็นความเสียหายทางอาญา ไม่ใช่เพียงทางแพ่ง

Key point: หลอกให้โอนที่ดินให้คนอื่น = ความผิดฉ้อโกง ต้องคืนที่ดินหรือใช้ราคาแทน

✅ Quick Summary – ฎีกา 2283/2565

โจทก์ซื้อบ้านในโครงการจัดสรร แต่จำเลยไม่เปิดเผยว่าที่ดินไม่ได้จัดสรรตามกฎหมาย และนำที่สาธารณูปโภคไปก่อสร้างอาคาร ผู้เสียหายฟ้องฉ้อโกง แต่ศาลเห็นว่า เงินซื้อบ้านได้มาจากการซื้อขายจริง และจำเลยโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้แล้ว การปกปิดข้อมูลการจัดสรรที่ดินและการก่อสร้างผิดสัญญาเป็นเพียง ข้อพิพาททางแพ่ง ไม่ใช่ฉ้อโกง เพราะไม่ได้ทำให้จำเลยได้ทรัพย์จากการหลอกลวงในขณะที่ชำระเงิน ศาลฎีกายืนยกฟ้อง

Key point: ข้อพิพาทการจัดสรร–สาธารณูปโภค เป็นละเมิด/ผิดสัญญา ไม่ใช่ฉ้อโกง เพราะทรัพย์ได้มาจากการซื้อขายจริง 




การฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา

ฎีกาที่ไม่แย้งคำพิพากษาอุทธรณ์ & ฉ้อโกงลงทุน (ฎีกา 1154/2567)
สรุปคดีลงทุนบริษัท-แชร์ลูกโซ่ & ผู้เสียหายโดยนิตินัย (ฎีกา 1220/2567)
สรุปคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “อั้งยี่–ซ่องโจร” และฉ้อโกงประชาชน (ฎีกา 2614/2568)
หลากกรรมต่างกัน หลอกลงทุนสลากกินแบ่งรัฐบาล,คดีฉ้อโกง, มาตรา 341,(ฎีกา 3133/2568)
คดีฉ้อโกงประชาชน & พยานหลักฐานเท็จ, ป.อ. มาตรา 341, (ฎีกา 725/2567)
นิติกรรมฉ้อฉลจากการโอนทรัพย์, การโอนทรัพย์หนีหนี้เพิกถอนได้(ฎีกา 1383/2568)
(ฎีกา 238/2568) คดีฉ้อโกง & การห้ามฎีกา,ป.อ. มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกา 2659/2567 – สรุปคดีฉ้อโกงออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก & ข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2567: รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารให้คนร้าย ใช้โอนเงินจากการฉ้อโกงประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793/2567: คดีฉ้อโกงและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กับประเด็นอำนาจศาลแขวง
คำพิพากษาศาลฎีกา 1093/2568 | คดีฉ้อโกงประชาชน ผ่านกลอุบายลงทุน แชร์ออนไลน์
ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, การหลอกลวงผ่านอีเมล