
| คดีซื้อขายรถไม่โอนกรรมสิทธิ์ ไม่เป็นฉ้อโกง (ฎีกา 1028/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาความผิดฐานฉ้อโกงจากการซื้อขายรถยนต์ผ่อนชำระ โดยผู้ซื้อชำระเกือบครบจำนวน แต่ผู้ขายไม่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญา ศาลวินิจฉัยว่าการไม่ทำตามสัญญาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการผิดสัญญา ไม่ใช่ความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 สรุปข้อเท็จจริงของคดี โจทก์ตกลงซื้อรถกระบะจากจำเลย โดย • ชำระเงินมัดจำ • รับรถไปครอบครอง • ชำระค่างวดรวม 30 งวด • โจทก์จ่ายครบ 29 งวด และทวงให้โอนกรรมสิทธิ์รถ จำเลยนัดหมายแต่ไม่มาตามสัญญา โจทก์จึงฟ้องฐานฉ้อโกงอ้างว่า จำเลยไม่มีใบคู่มือทะเบียนรถตั้งแต่ต้นและมีเจตนาหลอกลวง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้คือ ความแตกต่างระหว่าง “ผิดสัญญาแพ่ง” กับ “ความผิดอาญาฐานฉ้อโกง” โดยศาลใช้หลักกฎหมายจาก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เป็นแกนวินิจฉัย มาตรา 341 เป็นหัวใจ เพราะศาลต้องพิจารณาว่า จำเลยมี “เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก” หรือไม่ ถ้าไม่มี → เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่อาญา ✅ มาตรากฎหมายที่ใช้เป็นแกนในคดีนี้ 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 (องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ต้องมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก) 2. อ้างอิงรองเพื่อยกขึ้นวินิจฉัย • ป.วิ.อาญา มาตรา 195 วรรคสอง • ป.วิ.อาญา มาตรา 225 • พ.ร.บ.ศาลแขวงฯ มาตรา 4 (อำนาจศาลหยิบยกประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเอง) ✅ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ (แก่นคดี) 1) เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก (Initial fraudulent intent) ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยตั้งใจหลอกลวงตั้งแต่เริ่มสัญญา → ถ้าเพียงทำผิดสัญญาภายหลัง ไม่ใช่ฉ้อโกง 2) แสดงข้อความอันเป็นเท็จ / ปกปิดความจริง คำโกหกหรือปกปิดข้อเท็จจริงต้องเกิดขึ้น ก่อน รับเงิน → โจทก์ไม่ชี้ชัดว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือรถตั้งแต่ต้น 3) ผิดสัญญาทางแพ่ง vs ความผิดฉ้อโกง ศาลย้ำหลักสำคัญ: ปัญหาโอนรถไม่ได้ = ข้อพิพาทสัญญา (แพ่ง) ไม่ใช่ฉ้อโกงอาญาโดยอัตโนมัติ 4) ภาระการพิสูจน์อยู่ที่โจทก์ ต้องบรรยายข้อเท็จจริงเชิงบวกให้เห็นเจตนาทุจริต ไม่ใช่อาศัยข้อสันนิษฐานเพียงเพราะไม่ปฏิบัติตามสัญญา 5) ศาลมีอำนาจยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยเอง เพราะเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยในกฎหมายอาญา (ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 195 วรรคสอง) 🎯 ใจความสรุปแบบสั้นที่สุด การไม่โอนรถตามสัญญาภายหลัง ไม่พอพิสูจน์เจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก ขาดองค์ประกอบความผิดฉ้อโกง → เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่อาญา คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า 1. ความผิดฐานฉ้อโกงต้องพิสูจน์ได้ว่า o ผู้กระทำมี เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก o มีการแสดงข้อความเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง o มีผลให้ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ 2. ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า o จำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถตั้งแต่ต้น o จำเลยมีเจตนาหลอกลวงก่อนสัญญา 3. การผิดนัดไม่โอนรถภายหลัง ไม่อาจสรุปเป็นฉ้อโกงได้โดยอัตโนมัติ o เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลย ประเด็นกฎหมายสำคัญ 1) ความผิดฐานฉ้อโกงต้องมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก อ้างอิง: ป.อ. มาตรา 341 การไม่ทำตามสัญญาภายหลังไม่พอ ต้องพิสูจน์ว่า ตั้งใจโกงขณะสัญญาเกิดขึ้น 2) ภาระการพิสูจน์อยู่ที่โจทก์ ต้องแสดงข้อเท็จจริงเชิงบวก ไม่ใช่เพียงข้อสันนิษฐาน 3) แยกแยะคดีอาญา vs คดีแพ่ง • อาญา = ต้องมีเจตนาทุจริต • แพ่ง = ไม่ปฏิบัติตามสัญญา การนำคดีแพ่งไปฟ้องเป็นอาญา ไม่สามารถทำได้หากไม่พิสูจน์เจตนาทุจริต วิเคราะห์ฎีกา คำพิพากษานี้สะท้อนหลักสำคัญของกฎหมายอาญาว่าต้องตีความเคร่งครัด โดยเฉพาะองค์ประกอบ “เจตนาทุจริต” ซึ่งเป็นหัวใจของความผิดฐานฉ้อโกง ศาลยืนยันว่าการไม่ทำตามสัญญาไม่ใช่ข้อพิสูจน์เจตนาในตัวเอง มิฉะนั้นจะทำให้คดีแพ่งถูกนำเข้ากระบวนการอาญาโดยไม่จำเป็น นี่เป็นแนวทางคงเส้นคงวาของศาลฎีกาเพื่อป้องกันการใช้กระบวนการอาญาเป็นเครื่องต่อรองในข้อพิพาทสัญญา IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) ผู้ขายรถที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์หลังผู้ซื้อนำส่งเงินผ่อนเกือบครบ ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 หรือเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง Rule (หลักกฎหมาย) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ความผิดฐานฉ้อโกงต้องมี • การหลอกลวงโดยข้อความเท็จหรือปกปิดความจริง • เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก • ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ Application (การประยุกต์ใช้กฎหมาย) โจทก์ไม่พิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลย • ไม่มีเอกสารโอนตั้งแต่ต้น • ตั้งใจโกงตั้งแต่ก่อนทำสัญญา การผิดสัญญาภายหลังไม่ถือเป็นพฤติการณ์ยืนยันเจตนาทุจริต Conclusion (ข้อสรุป) ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง เป็นเพียงข้อพิพาทแพ่ง ศาลยกฟ้อง ข้อคิดทางกฎหมาย • การผิดสัญญา ≠ ฉ้อโกงเสมอไป • ต้องพิสูจน์ เจตนาทุจริต ณ เวลาทำสัญญา • คดีแพ่งไม่อาจนำไปกดดันในคดีอาญาได้โดยไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจน • ผู้ซื้อควรตรวจสอบเอกสารรถก่อนทำสัญญา เช่น ใบคู่มือจดทะเบียน แนวคำถาม - ธงคำตอบ ✅ คำถาม ข้อ 1 คำถาม โจทก์ทำสัญญาซื้อรถยนต์จากจำเลย โดยตกลงว่าจำเลยจะส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครองในวันทำสัญญาและนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาโอนกรรมสิทธิ์ให้เมื่อโจทก์ผ่อนชำระครบ 30 งวด ต่อมาโจทก์ผ่อนชำระครบ 29 งวดแล้วทวงถามจำเลยเพื่อให้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ แต่จำเลยผิดนัดไม่มาตามสัญญา โจทก์เชื่อว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถตั้งแต่แรก และมีเจตนาหลอกลวงจึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง และการพิจารณาวัตถุประสงค์เจตนาทุจริตของจำเลยต้องดูในช่วงเวลาใด ธงคำตอบ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์และส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครองจริง โจทก์ชำระเงินงวดมาโดยตลอดจนเหลืองวดสุดท้าย การที่จำเลยภายหลังบิดพลิ้วไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้ตามสัญญา แม้จะเป็นการผิดสัญญา แต่ ไม่อาจสรุปได้เองว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 กำหนดว่า ต้องมี 1. การแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง 2. เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อและยอมมอบทรัพย์ 3. โดยต้องพิสูจน์ได้ถึง เจตนาทุจริตตั้งแต่ขณะทำนิติสัมพันธ์ ในคดีนี้ โจทก์มิได้บรรยายหรือพิสูจน์ว่า ณ เวลาทำสัญญาจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถและไม่สามารถโอนให้ได้จริง หากแต่เพียงอ้างว่าภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จึงเป็นเพียงข้อพิพาททางแพ่งเรื่องการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่การฉ้อโกงอาญา ข้อ 2 คำถาม ในกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงอ้างว่าจำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์รถให้ตามสัญญา ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่โจทก์ฎีกายืนยันว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก ศาลฎีกาจะสามารถยกประเด็นข้อกฎหมายเรื่อง “การไม่เข้าองค์ประกอบความผิดอาญา” ขึ้นวินิจฉัยเองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหลักเกณฑ์ใดใช้บังคับ ธงคำตอบ แม้โจทก์ฎีกาโต้แย้งประเด็นข้อเท็จจริงโดยยืนยันว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องแล้วไม่ปรากฏข้อเท็จจริงยืนยันชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงในขณะทำสัญญา หากแต่เพียงผิดสัญญาในภายหลัง ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกประเด็นข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยเองได้ เนื่องจากเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยและองค์ประกอบความผิดทางอาญา อาศัยอำนาจตาม • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง • ประกอบ มาตรา 225 • และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาจึงตรวจสอบเองว่า คำฟ้องไม่มีข้อความแสดงเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นหัวใจของความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 เมื่อฟ้องไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทางอาญา ศาลฎีกาจึงมีอำนาจและมีหน้าที่ต้องวินิจฉัยยกฟ้องแม้คู่ความไม่ยกขึ้นอ้าง หลักนี้สะท้อนว่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่อาจลงโทษบุคคลได้โดยปราศจากฐานความผิดที่ครบถ้วนตามกฎหมายอาญาอย่างเคร่งครัด ✅ สรุป การไม่ปฏิบัติตามสัญญาภายหลัง ไม่ใช่พยานบ่งชี้เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก ฟ้องอาญาต้องระบุและพิสูจน์เจตนาทุจริตตอนเริ่มนิติสัมพันธ์ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบประเด็นกฎหมายเรื่ององค์ประกอบความผิดขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพื่อความเป็นธรรมแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2567 องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ต้องประกอบด้วยผู้หลอกลวงมีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และผลของการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้หลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงว่าจะขายรถกระบะให้แก่โจทก์ โดยจำเลยให้โจทก์ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญาพร้อมกับส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครอง ราคารถส่วนที่เหลือให้โจทก์ผ่อนชำระ 30 งวด เมื่อผ่อนถึงงวดที่ 30 จำเลยจะมารับเงินค่ารถเองพร้อมนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาทำการโอนเป็นชื่อโจทก์ โจทก์ผ่อนชำระ 29 งวด แล้วทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์ จำเลยนัดหมายจะมาดำเนินการให้แต่ผิดนัดไม่มาตามสัญญา แสดงว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่จะส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์มาแต่แรก มีเจตนาที่จะหลอกลวงโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินไปจากโจทก์ โดยตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ขณะทำสัญญาขายรถนั้น จำเลยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อของโจทก์มาตั้งแต่แรก อันเนื่องจากตนเองไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และไม่สามารถที่จะทำการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ได้ แต่หลอกลวงว่ามีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หรือปกปิดข้อความจริงดังกล่าวไว้ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา มิใช่ข้อที่จะยืนยันว่าจำเลยหลอกลวงโดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาคงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการหลอกลวงอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นมีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงหรือไม่ เห็นว่า องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ต้องประกอบด้วยผู้หลอกลวงมีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และผลของการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้หลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องได้ความว่า จำเลยหลอกลวงว่าจะขายรถกระบะให้แก่โจทก์ โดยจำเลยให้โจทก์ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญาพร้อมกับส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครอง ราคารถส่วนที่เหลือให้โจทก์ผ่อนชำระ 30 งวด เมื่อผ่อนถึงงวดที่ 30 จำเลยจะมารับเงินค่ารถเองพร้อมนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาทำการโอนเป็นชื่อโจทก์ โจทก์ผ่อนชำระ 29 งวด แล้วทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์ จำเลยนัดหมายจะมาดำเนินการให้แต่ผิดนัดไม่มาตามสัญญา แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่จะส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์มาแต่แรก ถือว่ามีเจตนาที่จะหลอกลวงโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินไปจากโจทก์ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประกอบคำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้ว องค์ประกอบแรกจำเลยผู้หลอกลวงต้องมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรก หลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าขณะทำสัญญาขายรถนั้น จำเลยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อของโจทก์มาตั้งแต่แรก อันเนื่องจากตนเองไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และไม่สามารถที่จะทำการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ได้ แต่หลอกลวงว่ามีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หรือปกปิดข้อความจริงดังกล่าวไว้ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา มิใช่ข้อที่จะยืนยันว่าจำเลยหลอกลวงโดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาคงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการหลอกลวงอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ดังนั้น การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล เมื่อฟังได้ดังนี้แล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของโจทก์ต่อไปอีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษายืน คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ✅ Quick Summary – ฎีกา 2062/2558 คดีนี้ยืนยันหลักสำคัญของความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ว่า ไม่จำเป็นที่ผู้ถูกหลอกจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ หากผู้ถูกหลอกถูกทำให้ส่งมอบทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองให้แก่ผู้หลอกลวงแล้ว ถือว่าเข้าข่าย “ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน” และเป็นความผิดฐานฉ้อโกงได้ ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิด และเมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยานต่อ แต่ศาลอุทธรณ์กลับยกฟ้องเพราะเห็นว่าโฉนดเป็นของจำเลยเอง ศาลฎีกาพลิกคำพิพากษา ยืนยันว่า การหลอกให้ส่งมอบเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดิน เพื่อไปโอนให้บุคคลอื่นเป็นความผิดฉ้อโกง แม้ทรัพย์เดิมจะเป็นของจำเลย ศาลยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคืนสำนวนให้พิจารณาประเด็นอื่นต่อ Key point: หลอกเอาเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แม้ทรัพย์เป็นของจำเลยเอง แต่ให้ผู้อื่นส่งมอบโดยหลงเชื่อ = ฉ้อโกง ✅ Quick Summary – ฎีกา 238/2568 คดีนี้เน้นประเด็นปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการยื่นฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นฎีกาโดย คัดลอกคำอุทธรณ์มาเฉย ๆ โดยไม่ระบุเหตุและข้อกฎหมายให้เห็นชัดว่าเหตุใดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193, 216, 218 และ 225 ศาลไม่รับวินิจฉัยทั้งในส่วนข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพราะไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลล่างอนุญาตตามขั้นตอน จึงให้ยืนโทษตามศาลอุทธรณ์ Key point: ยื่นฎีกาแบบไม่แสดงเหตุผลทางข้อกฎหมาย — ถือว่าไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ✅ Quick Summary – ฎีกา 2659/2567 จำเลยโพสต์ขายสินค้าผ่านเฟซบุ๊กโดยไม่มีเจตนาขายจริง ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ แต่ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด ฉ้อโกงประชาชน ตาม ม.343 และความผิดคอมพิวเตอร์ ม.14(1) เพราะไม่ได้บรรยายว่าทำให้ประชาชนเสียหายหรือเป็นการเปิดให้เข้าถึงสาธารณะ ศาลจึงยกองค์ประกอบสองข้อหา แต่ยังคงเห็นว่าเป็น ฉ้อโกงตาม ม.341 และความผิดนำเข้าข้อมูลเท็จ ม.14 วรรคสอง และให้ลงโทษแทน พร้อมพิจารณาเหตุบรรเทา เช่น ยอมรับผิด วางเงินคืน และให้โอกาสกลับตัว Key point: ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ ม.343 (ฉ้อโกงประชาชน) แต่ยังผิด ม.341 และ พ.ร.บ.คอมฯ ม.14 วรรคสอง ✅ Quick Summary – ฎีกา 282/2566 ผู้เสียหายหลงเชื่อการหลอกลวงไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้บุคคลที่สาม แม้ผู้รับโอนไม่ใช่ผู้หลอก แต่ผลของการหลอกลวงทำให้บุคคลที่สามได้ทรัพย์ จึงถือว่าเป็นการ “ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก” ตาม ม.341 และต้องคืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน แนววินิจฉัยสะท้อนหลักว่า การให้โอนเอกสารสิทธิโดยหลงเชื่อ ถือเป็นความเสียหายทางอาญา ไม่ใช่เพียงทางแพ่ง Key point: หลอกให้โอนที่ดินให้คนอื่น = ความผิดฉ้อโกง ต้องคืนที่ดินหรือใช้ราคาแทน ✅ Quick Summary – ฎีกา 2283/2565 โจทก์ซื้อบ้านในโครงการจัดสรร แต่จำเลยไม่เปิดเผยว่าที่ดินไม่ได้จัดสรรตามกฎหมาย และนำที่สาธารณูปโภคไปก่อสร้างอาคาร ผู้เสียหายฟ้องฉ้อโกง แต่ศาลเห็นว่า เงินซื้อบ้านได้มาจากการซื้อขายจริง และจำเลยโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้แล้ว การปกปิดข้อมูลการจัดสรรที่ดินและการก่อสร้างผิดสัญญาเป็นเพียง ข้อพิพาททางแพ่ง ไม่ใช่ฉ้อโกง เพราะไม่ได้ทำให้จำเลยได้ทรัพย์จากการหลอกลวงในขณะที่ชำระเงิน ศาลฎีกายืนยกฟ้อง Key point: ข้อพิพาทการจัดสรร–สาธารณูปโภค เป็นละเมิด/ผิดสัญญา ไม่ใช่ฉ้อโกง เพราะทรัพย์ได้มาจากการซื้อขายจริง |





