

ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, การหลอกลวงผ่านอีเมล ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, การหลอกลวงผ่านอีเมล ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยและพวกที่เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ปลอมแปลงเอกสาร และหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงิน 3,179,930 บาทผ่านบัญชีธนาคารของบริษัทที่จำเลยควบคุม เป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวเพื่อหลอกลวงเงินจากผู้เสียหาย ความผิดดังกล่าวถือเป็นกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567 คดีนี้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำผิดของจำเลยกับพวกมาเป็นข้อ ๆ โดยมีคำขอท้ายฟ้องตาม ป.อ. มาตรา 91 และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีจากข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วปรากฏว่า จำเลยกับพวกมีเจตนาประการเดียวคือมุ่งประสงค์ที่จะหลอกลวงผู้เสียหายที่ 3 โอนเงินชำระค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 ตกลงสั่งซื้อนั้นเอง ความผิดฐานร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ฐานร่วมกันแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฐานร่วมกันปลอมเอกสารและฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม จึงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตาม ป.อ. มาตรา 90 หาใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ตามที่โจทก์อ้างในฎีกา ส่วนปัญหาที่ว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานหนักหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยมิชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่งและมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 91, 264, 268, 341, 342, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 7, 9, 14 (1) ประกอบวรรคสอง ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินที่ประทุษร้ายยังไม่ได้คืน 3,179,930 บาท ให้แก่ผู้เสียหายที่ 3 จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264, 342 (1) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 7, 9, 14 (1) วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินที่ยังไม่ได้คืน 3,179,930 บาท ให้แก่ผู้เสียหายที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) , 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม), 342 (1) (เดิม) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 7, 9, 14 (1) วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำผิดของจำเลยกับพวกมาเป็นข้อ ๆ โดยมีคำขอท้ายฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีจากข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วปรากฏว่าการที่จำเลยได้เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในบัญชีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมลของผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาวลินจง บัญชีชื่อ kxxx@royaluniversallace.com ซึ่งมีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะมิได้มีไว้สำหรับจำเลยกับพวก ทำให้จำเลยกับพวกทราบข้อมูลการเจรจาติดต่อซื้อขายสินค้าผ้าระหว่างบริษัท ร. ผู้เสียหายที่ 1 กับนายลิทเนอร์ ผู้เสียหายที่ 3 แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์จากบัญชีอีเมลที่มีชื่อคล้ายกับบัญชีอีเมลของผู้เสียหายที่ 1 ชื่อ kxxx @royalunversallance.com (ไม่มีอักษรตัว i ระหว่างตัว n และตัว v) ถึงบัญชีอีเมลชื่อ lxxx@hotmail.com ของผู้เสียหายที่ 3 โดยแอบอ้างแสดงตนเป็นนางสาวลินจงต่อผู้เสียหายที่ 3 เพื่อให้ผู้เสียหายที่ 3 หลงเชื่อว่าข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวส่งมาจากบัญชีอีเมลของผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาวลินจงเพื่อแจ้งให้ผู้เสียหายที่ 3 ชำระเงินค่าสินค้าที่ตกลงสั่งซื้อจากผู้เสียหายที่ 1 ให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ก. ชื่อบัญชี บริษัท จ. เลขที่บัญชี 760-2-63XXX-X ซึ่งเป็นความเท็จ แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันปลอมเอกสารของผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 ฉบับ ด้วยการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในส่วนชื่อบัญชีธนาคารของผู้เสียหายที่ 1 ที่จะรับโอนเงินชำระค่าสินค้าจากผู้เสียหายที่ 3 ดังกล่าวในไฟล์เอกสารของผู้เสียหายที่ 1 ที่แท้จริงนั้น และผู้เสียหายที่ 3 ได้โอนเงินชำระค่าสินค้าครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าเป็นเงิน 3,179,930 บาท เข้าบัญชีธนาคาร ก. เลขที่บัญชี 760-2-63XXX-X ชื่อบัญชี บริษัท จ. ซึ่งมีจำเลยเป็นกรรมการ มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทและเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว และต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2557 เงินจำนวนดังกล่าวได้โอนเข้ามาในบัญชีธนาคาร ก. ของ บริษัท จ. พวกของจำเลย ทำให้จำเลยกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหายที่ 3 ผู้ถูกหลอกลวง เพื่อประโยชน์ของจำเลยกับพวก ส่อแสดงว่าพฤติกรรมการกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาประการเดียวคือมุ่งประสงค์ที่จะหลอกลวงเพื่อที่จะได้เงินของผู้เสียหายที่ 3 ที่โอนเงินชำระค่าสินค้าครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าที่ตกลงสั่งซื้อจากผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 3,179,930 บาท นั้นเอง ความผิดฐานร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ฐานร่วมกันแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฐานร่วมกันปลอมเอกสารและฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม จึงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ตามที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานหนักหรือไม่ เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยมิชอบในศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งและมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืน • คดีฉ้อโกงออนไลน์ ศาลฎีกา 89/2567 • การปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมในกฎหมายไทย • บทลงโทษความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ร.บ. 2550 • การกระทำความผิดหลายบท กรรมเดียว มาตรา 90 • คำพิพากษาศาลฎีกา คดีอาญาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ • มาตรา 264 และ 268 ความผิดเกี่ยวกับปลอมเอกสาร • การฟ้องคดีฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น • การหลอกลวงผ่านอีเมลและการฟ้องร้องทางกฎหมาย สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567 (ย่อ) ในคดีนี้ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องโดยแยกการกระทำผิดของจำเลยกับพวกเป็นข้อ ๆ พร้อมคำขอท้ายฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และจำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง พบว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาเดียว คือการหลอกลวงผู้เสียหายที่ 3 เพื่อให้โอนเงินชำระค่าสินค้า การกระทำทั้งหมดจึงถือเป็นกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ตามที่โจทก์อ้าง การกระทำของจำเลยรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การปลอมและใช้เอกสารปลอม การแก้ไขข้อมูล และการฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น เพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายที่ 3 โอนเงินจำนวน 3,179,930 บาทไปยังบัญชีที่จำเลยควบคุม ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 3 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 1 ปี 6 เดือน และให้ชดใช้เงินดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษโดยลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดคือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 9 นอกนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดรับรอง แต่ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาโจทก์ในประเด็นว่าการกระทำเป็นหลายกรรมต่างกันนั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนประเด็นลงโทษสถานหนัก โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567 เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบทความและคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องได้ดียิ่งขึ้น ต่อไปนี้คือการอธิบายหลักกฎหมายที่กล่าวถึง: 1. ประมวลกฎหมายอาญา •มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) กำหนดความผิดฐาน ปลอมเอกสาร โดยการทำขึ้นซึ่งเอกสารโดยมิชอบ เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเอกสารนั้นเป็นของจริง แม้จะไม่มีการนำเอกสารไปใช้ แต่หากมีการกระทำลักษณะดังกล่าวถือเป็นความผิดตามมาตรานี้ •มาตรา 268 วรรคแรก ความผิดฐาน ใช้เอกสารปลอม หากบุคคลใดนำเอกสารที่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอมไปใช้เพื่อให้เกิดผลทางกฎหมายหรือหลอกลวงผู้อื่น บุคคลนั้นมีความผิดตามมาตรานี้ •มาตรา 342 (1) (เดิม) เป็นความผิดฐาน ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น กล่าวคือ ผู้กระทำแสดงตนหรือปลอมตัวว่าเป็นบุคคลอื่นเพื่อหลอกลวงและให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้อื่น 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา •มาตรา 15 บัญญัติว่าเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้ในเรื่องใด ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม ซึ่งใช้ในกรณีที่ไม่มีข้อกำหนดเฉพาะในคดีอาญา 3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง •มาตรา 225 วรรคหนึ่ง กำหนดหลักว่า การยกประเด็นในชั้นศาลสูง ต้องเป็นประเด็นที่ได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ หากมิได้ยกมาก่อน ศาลสูงไม่สามารถพิจารณาได้ •มาตรา 252 เป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาของศาลสูง ซึ่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายหรือข้อที่ได้ว่ากล่าวมาก่อนในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เท่านั้น 4. พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 •มาตรา 7 บัญญัติความผิดเกี่ยวกับ การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ โดยระบุว่าหากผู้ใดเข้าถึงข้อมูลที่มีการป้องกันการเข้าถึงโดยไม่มีสิทธิ ถือว่ามีความผิดตามมาตรานี้ •มาตรา 9 กำหนดความผิดฐาน แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายแก่บุคคลอื่น ถือเป็นความผิดที่มีโทษรุนแรงกว่า มาตรา 7 •มาตรา 14 วรรคสอง (1) (ใหม่) ระบุว่าผู้ใดโดย ทุจริตหรือหลอกลวง นำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถือว่ามีความผิดตามมาตรานี้ ประเด็นสำคัญจากกฎหมายเหล่านี้ ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567 การกระทำของจำเลยที่เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หลอกลวงผ่านการใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น เป็นความผิดที่มีเจตนาเดียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงิน จึงถือเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ทั้งนี้ศาลฎีกายึดหลักว่าประเด็นที่โจทก์ไม่ได้ยกมาก่อนในชั้นศาลล่างจะไม่สามารถนำมาวินิจฉัยในศาลสูงได้ตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 การอธิบายหลักกฎหมายนี้ช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความเชื่อมโยงของบทบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น **การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์: สาระสำคัญ โทษ และคำพิพากษาศาลฎีกา การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์คืออะไร? การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หมายถึง การกระทำที่ฝ่าฝืนหรือขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น องค์กร หรือสาธารณชน ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์) ซึ่งบัญญัติหลักเกณฑ์และบทลงโทษสำหรับการกระทำผิดลักษณะนี้อย่างชัดเจน ประเด็นสาระสำคัญของกฎหมาย 1.การเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบ (มาตรา 7) การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลที่มีมาตรการป้องกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการกระทำความผิด 2.การแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือทำลายข้อมูล (มาตรา 9) การกระทำใด ๆ ต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย 3.การนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (มาตรา 14) ผู้ใดนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน 4.การกระทำโดยเจตนาเพื่อฉ้อโกง (มาตรา 14 วรรคสอง) การกระทำความผิดด้วยการหลอกลวงผู้อื่นผ่านการใช้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ โทษสำหรับการกระทำผิด •ความผิดใน มาตรา 7: จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ •ความผิดใน มาตรา 9: จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ •ความผิดใน มาตรา 14: จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีการกระทำผิดหลายบทในคราวเดียว อาจถูกลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567 คดีที่จำเลยร่วมกันเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ แก้ไขข้อมูล และนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบเพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงิน การกระทำดังกล่าวถือเป็นกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท และศาลลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4027/2556 คดีที่จำเลยส่งอีเมลแอบอ้างว่าเป็นบริษัทของผู้เสียหายเพื่อหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการฉ้อโกงผ่านระบบคอมพิวเตอร์และใช้เอกสารปลอม 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2560 คดีที่จำเลยแก้ไขข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารเพื่อเพิ่มจำนวนเงินในบัญชีของตนเอง การกระทำนี้เป็นการแก้ไขข้อมูลโดยมิชอบและเป็นความผิดตามมาตรา 9 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5173/2564 คดีที่จำเลยเผยแพร่ข้อมูลเท็จในระบบออนไลน์เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 14 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 789/2563 คดีที่จำเลยนำข้อมูลปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงว่าได้รับสิทธิพิเศษในกิจกรรมส่งเสริมการขาย การกระทำดังกล่าวเป็นการหลอกลวงด้วยข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ 6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2565 คดีที่จำเลยเข้าถึงระบบฐานข้อมูลของหน่วยงานราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต และเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบตามมาตรา 7 การศึกษาเปรียบเทียบ จากคำพิพากษาฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่า: •การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ครอบคลุมพฤติการณ์หลากหลาย เช่น การปลอมแปลง การหลอกลวง และการแก้ไขข้อมูล •ศาลมีแนวทางพิจารณาลงโทษตามเจตนาและผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเลือกลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด •หลักการพิจารณาคดีเหล่านี้สะท้อนถึงการใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลและความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล บทความนี้เน้นให้ผู้อ่านเข้าใจลักษณะการกระทำความผิดและโทษทางกฎหมาย พร้อมตัวอย่างคดีจริงเพื่อศึกษาเปรียบเทียบและเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น |
![]() |