ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, การหลอกลวงผ่านอีเมล

ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, การหลอกลวงผ่านอีเมล

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยและพวกที่เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ปลอมแปลงเอกสาร และหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงิน 3,179,930 บาทผ่านบัญชีธนาคารของบริษัทที่จำเลยควบคุม เป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวเพื่อหลอกลวงเงินจากผู้เสียหาย ความผิดดังกล่าวถือเป็นกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567

คดีนี้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำผิดของจำเลยกับพวกมาเป็นข้อ ๆ โดยมีคำขอท้ายฟ้องตาม ป.อ. มาตรา 91 และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีจากข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วปรากฏว่า จำเลยกับพวกมีเจตนาประการเดียวคือมุ่งประสงค์ที่จะหลอกลวงผู้เสียหายที่ 3 โอนเงินชำระค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 ตกลงสั่งซื้อนั้นเอง ความผิดฐานร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ฐานร่วมกันแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฐานร่วมกันปลอมเอกสารและฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม จึงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตาม ป.อ. มาตรา 90 หาใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ตามที่โจทก์อ้างในฎีกา

ส่วนปัญหาที่ว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานหนักหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยมิชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่งและมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 91, 264, 268, 341, 342, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 7, 9, 14 (1) ประกอบวรรคสอง ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินที่ประทุษร้ายยังไม่ได้คืน 3,179,930 บาท ให้แก่ผู้เสียหายที่ 3

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264, 342 (1) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 7, 9, 14 (1) วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินที่ยังไม่ได้คืน 3,179,930 บาท ให้แก่ผู้เสียหายที่ 3

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) , 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม), 342 (1) (เดิม) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 7, 9, 14 (1) วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำผิดของจำเลยกับพวกมาเป็นข้อ ๆ โดยมีคำขอท้ายฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีจากข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วปรากฏว่าการที่จำเลยได้เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในบัญชีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมลของผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาวลินจง บัญชีชื่อ kxxx@royaluniversallace.com ซึ่งมีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะมิได้มีไว้สำหรับจำเลยกับพวก ทำให้จำเลยกับพวกทราบข้อมูลการเจรจาติดต่อซื้อขายสินค้าผ้าระหว่างบริษัท ร. ผู้เสียหายที่ 1 กับนายลิทเนอร์ ผู้เสียหายที่ 3 แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์จากบัญชีอีเมลที่มีชื่อคล้ายกับบัญชีอีเมลของผู้เสียหายที่ 1 ชื่อ kxxx @royalunversallance.com (ไม่มีอักษรตัว i ระหว่างตัว n และตัว v) ถึงบัญชีอีเมลชื่อ lxxx@hotmail.com ของผู้เสียหายที่ 3 โดยแอบอ้างแสดงตนเป็นนางสาวลินจงต่อผู้เสียหายที่ 3 เพื่อให้ผู้เสียหายที่ 3 หลงเชื่อว่าข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวส่งมาจากบัญชีอีเมลของผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาวลินจงเพื่อแจ้งให้ผู้เสียหายที่ 3 ชำระเงินค่าสินค้าที่ตกลงสั่งซื้อจากผู้เสียหายที่ 1 ให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ก. ชื่อบัญชี บริษัท จ. เลขที่บัญชี 760-2-63XXX-X ซึ่งเป็นความเท็จ แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันปลอมเอกสารของผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 ฉบับ ด้วยการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในส่วนชื่อบัญชีธนาคารของผู้เสียหายที่ 1 ที่จะรับโอนเงินชำระค่าสินค้าจากผู้เสียหายที่ 3 ดังกล่าวในไฟล์เอกสารของผู้เสียหายที่ 1 ที่แท้จริงนั้น และผู้เสียหายที่ 3 ได้โอนเงินชำระค่าสินค้าครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าเป็นเงิน 3,179,930 บาท เข้าบัญชีธนาคาร ก. เลขที่บัญชี 760-2-63XXX-X ชื่อบัญชี บริษัท จ. ซึ่งมีจำเลยเป็นกรรมการ มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทและเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว และต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2557 เงินจำนวนดังกล่าวได้โอนเข้ามาในบัญชีธนาคาร ก. ของ บริษัท จ. พวกของจำเลย ทำให้จำเลยกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหายที่ 3 ผู้ถูกหลอกลวง เพื่อประโยชน์ของจำเลยกับพวก ส่อแสดงว่าพฤติกรรมการกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาประการเดียวคือมุ่งประสงค์ที่จะหลอกลวงเพื่อที่จะได้เงินของผู้เสียหายที่ 3 ที่โอนเงินชำระค่าสินค้าครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าที่ตกลงสั่งซื้อจากผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 3,179,930 บาท นั้นเอง ความผิดฐานร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ฐานร่วมกันแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฐานร่วมกันปลอมเอกสารและฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม จึงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ตามที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานหนักหรือไม่ เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยมิชอบในศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งและมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน

•  คดีฉ้อโกงออนไลน์ ศาลฎีกา 89/2567

•  การปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมในกฎหมายไทย

•  บทลงโทษความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ร.บ. 2550

•  การกระทำความผิดหลายบท กรรมเดียว มาตรา 90

•  คำพิพากษาศาลฎีกา คดีอาญาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

•  มาตรา 264 และ 268 ความผิดเกี่ยวกับปลอมเอกสาร

•  การฟ้องคดีฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น

•  การหลอกลวงผ่านอีเมลและการฟ้องร้องทางกฎหมาย

สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567 (ย่อ)

ในคดีนี้ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องโดยแยกการกระทำผิดของจำเลยกับพวกเป็นข้อ ๆ พร้อมคำขอท้ายฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และจำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง พบว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาเดียว คือการหลอกลวงผู้เสียหายที่ 3 เพื่อให้โอนเงินชำระค่าสินค้า การกระทำทั้งหมดจึงถือเป็นกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ตามที่โจทก์อ้าง

การกระทำของจำเลยรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การปลอมและใช้เอกสารปลอม การแก้ไขข้อมูล และการฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น เพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายที่ 3 โอนเงินจำนวน 3,179,930 บาทไปยังบัญชีที่จำเลยควบคุม ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 3 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 1 ปี 6 เดือน และให้ชดใช้เงินดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษโดยลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดคือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 9 นอกนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดรับรอง แต่ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาโจทก์ในประเด็นว่าการกระทำเป็นหลายกรรมต่างกันนั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนประเด็นลงโทษสถานหนัก โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในศาลอุทธรณ์  ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567

เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบทความและคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องได้ดียิ่งขึ้น ต่อไปนี้คือการอธิบายหลักกฎหมายที่กล่าวถึง:

1. ประมวลกฎหมายอาญา

•มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)

กำหนดความผิดฐาน ปลอมเอกสาร โดยการทำขึ้นซึ่งเอกสารโดยมิชอบ เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเอกสารนั้นเป็นของจริง แม้จะไม่มีการนำเอกสารไปใช้ แต่หากมีการกระทำลักษณะดังกล่าวถือเป็นความผิดตามมาตรานี้

•มาตรา 268 วรรคแรก

ความผิดฐาน ใช้เอกสารปลอม หากบุคคลใดนำเอกสารที่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอมไปใช้เพื่อให้เกิดผลทางกฎหมายหรือหลอกลวงผู้อื่น บุคคลนั้นมีความผิดตามมาตรานี้

•มาตรา 342 (1) (เดิม)

เป็นความผิดฐาน ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น กล่าวคือ ผู้กระทำแสดงตนหรือปลอมตัวว่าเป็นบุคคลอื่นเพื่อหลอกลวงและให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้อื่น

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

•มาตรา 15

บัญญัติว่าเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้ในเรื่องใด ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม ซึ่งใช้ในกรณีที่ไม่มีข้อกำหนดเฉพาะในคดีอาญา

3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

•มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

กำหนดหลักว่า การยกประเด็นในชั้นศาลสูง ต้องเป็นประเด็นที่ได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ หากมิได้ยกมาก่อน ศาลสูงไม่สามารถพิจารณาได้

•มาตรา 252

เป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาของศาลสูง ซึ่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายหรือข้อที่ได้ว่ากล่าวมาก่อนในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เท่านั้น

4. พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

•มาตรา 7

บัญญัติความผิดเกี่ยวกับ การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ โดยระบุว่าหากผู้ใดเข้าถึงข้อมูลที่มีการป้องกันการเข้าถึงโดยไม่มีสิทธิ ถือว่ามีความผิดตามมาตรานี้

•มาตรา 9

กำหนดความผิดฐาน แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายแก่บุคคลอื่น ถือเป็นความผิดที่มีโทษรุนแรงกว่า มาตรา 7

•มาตรา 14 วรรคสอง (1) (ใหม่)

ระบุว่าผู้ใดโดย ทุจริตหรือหลอกลวง นำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถือว่ามีความผิดตามมาตรานี้

ประเด็นสำคัญจากกฎหมายเหล่านี้

ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567 การกระทำของจำเลยที่เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หลอกลวงผ่านการใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น เป็นความผิดที่มีเจตนาเดียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงิน จึงถือเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ทั้งนี้ศาลฎีกายึดหลักว่าประเด็นที่โจทก์ไม่ได้ยกมาก่อนในชั้นศาลล่างจะไม่สามารถนำมาวินิจฉัยในศาลสูงได้ตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252

การอธิบายหลักกฎหมายนี้ช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความเชื่อมโยงของบทบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

**การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์: สาระสำคัญ โทษ และคำพิพากษาศาลฎีกา

การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์คืออะไร?

การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หมายถึง การกระทำที่ฝ่าฝืนหรือขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น องค์กร หรือสาธารณชน ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์) ซึ่งบัญญัติหลักเกณฑ์และบทลงโทษสำหรับการกระทำผิดลักษณะนี้อย่างชัดเจน

ประเด็นสาระสำคัญของกฎหมาย

1.การเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบ (มาตรา 7)

การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลที่มีมาตรการป้องกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการกระทำความผิด

2.การแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือทำลายข้อมูล (มาตรา 9)

การกระทำใด ๆ ต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย

3.การนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (มาตรา 14)

ผู้ใดนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

4.การกระทำโดยเจตนาเพื่อฉ้อโกง (มาตรา 14 วรรคสอง)

การกระทำความผิดด้วยการหลอกลวงผู้อื่นผ่านการใช้ข้อมูลคอมพิวเตอร์

โทษสำหรับการกระทำผิด

•ความผิดใน มาตรา 7: จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

•ความผิดใน มาตรา 9: จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

•ความผิดใน มาตรา 14: จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หากมีการกระทำผิดหลายบทในคราวเดียว อาจถูกลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567

คดีที่จำเลยร่วมกันเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ แก้ไขข้อมูล และนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบเพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงิน การกระทำดังกล่าวถือเป็นกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท และศาลลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4027/2556

คดีที่จำเลยส่งอีเมลแอบอ้างว่าเป็นบริษัทของผู้เสียหายเพื่อหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการฉ้อโกงผ่านระบบคอมพิวเตอร์และใช้เอกสารปลอม

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2560

คดีที่จำเลยแก้ไขข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารเพื่อเพิ่มจำนวนเงินในบัญชีของตนเอง การกระทำนี้เป็นการแก้ไขข้อมูลโดยมิชอบและเป็นความผิดตามมาตรา 9

4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5173/2564

คดีที่จำเลยเผยแพร่ข้อมูลเท็จในระบบออนไลน์เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 14

5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 789/2563

คดีที่จำเลยนำข้อมูลปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงว่าได้รับสิทธิพิเศษในกิจกรรมส่งเสริมการขาย การกระทำดังกล่าวเป็นการหลอกลวงด้วยข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์

6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2565

คดีที่จำเลยเข้าถึงระบบฐานข้อมูลของหน่วยงานราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต และเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบตามมาตรา 7

การศึกษาเปรียบเทียบ

จากคำพิพากษาฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่า:

•การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ครอบคลุมพฤติการณ์หลากหลาย เช่น การปลอมแปลง การหลอกลวง และการแก้ไขข้อมูล

•ศาลมีแนวทางพิจารณาลงโทษตามเจตนาและผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเลือกลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด

•หลักการพิจารณาคดีเหล่านี้สะท้อนถึงการใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลและความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล

บทความนี้เน้นให้ผู้อ่านเข้าใจลักษณะการกระทำความผิดและโทษทางกฎหมาย พร้อมตัวอย่างคดีจริงเพื่อศึกษาเปรียบเทียบและเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

 



การฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา

ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน, คดีทนายความยื่นถอนฟ้อง, การแสดงพยานหลักฐานเท็จ