

ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน, คดีทนายความยื่นถอนฟ้อง, การแสดงพยานหลักฐานเท็จ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 725/2567 • ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน • การแสดงพยานหลักฐานเท็จ • มาตรา 180 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา • มาตรา 341 ฉ้อโกง • มาตรา 343 ฉ้อโกงประชาชน • คดีทนายความยื่นถอนฟ้อง สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2567 สรุปได้ว่า: จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความของโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ถือเป็นการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย หากการกระทำนี้ขัดกับความประสงค์ของโจทก์และทำให้เกิดความเสียหาย ต้องว่ากล่าวกันเป็นคดีอื่น ในส่วนของจำเลยที่ 1 คดีไม่มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่ามีการหลอกลวงประชาชนทั่วไป แม้โจทก์จะอุทธรณ์ว่าไม่เห็นด้วยที่ศาลรับฟังพยานหลักฐานว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 รู้จักกันและร่วมลงทุนเป็นการส่วนตัว ศาลเห็นว่าดุลพินิจนี้ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 9 ว่าคดีของโจทก์ทั้งต่อจำเลยที่ 1 และ 2 ไม่มีมูลความผิด ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น *หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มีดังนี้: 1.มาตรา 180 วรรคสอง: บัญญัติเรื่องการกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ กล่าวคือ ผู้ใดนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาเพื่อให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญาหรือหลุดพ้นจากโทษอาญา จะต้องรับผิดชอบตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัตินี้เป็นการป้องกันไม่ให้มีการใช้พยานหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดี 2.มาตรา 341: บัญญัติเรื่องการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง กล่าวคือ ผู้ใดโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งชัด ทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อและยอมให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น ถือว่ากระทำผิดฐานฉ้อโกง โดยลักษณะของการหลอกลวงต้องมีผลให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและมอบทรัพย์สินหรือสิทธิประโยชน์ไป 3.มาตรา 343: กำหนดความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นกรณีที่การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ถูกกระทำในลักษณะที่มีการแสดงข้อความเท็จหรือการปกปิดความจริงต่อประชาชนทั่วไปหรือบุคคลจำนวนมาก โดยมีเจตนาให้ผลของการหลอกลวงกระจายออกไปในวงกว้าง อันเป็นการทำให้ประชาชนหลงเชื่อและได้รับความเสียหาย การอธิบายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความเกี่ยวข้องของกฎหมายกับคดีในบทความที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของการแสดงพยานหลักฐานเท็จและการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2567 การกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาผู้กระทำจะต้องมีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความโจทก์ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 มิใช่การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจที่จำเลยที่ 2 กระทำได้ตามที่โจทก์มอบหมายไว้ในใบแต่งทนายความ หากการกระทำของจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนความประสงค์ของโจทก์ และทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ก็ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีอาญา
****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 341, 343, 180วรรคสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์ *ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง และยกฟ้องคดีส่วนแพ่งโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ แต่ให้รับฟ้องคดีส่วนแพ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 *โจทก์อุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน *โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ เห็นว่า การกระทำอันจะเป็นการฉ้อโกงประชาชน ลักษณะของการหลอกลวงที่แสดงออกด้วยข้อความเท็จ จะต้องมีเจตนากระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนทั่ว ๆ ไปโดยมุ่งหมายให้แพร่หลายทั่วไปในหมู่ประชาชน คดีนี้ได้ความจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า ขณะจำเลยที่ 1 ชักชวนโจทก์ให้ร่วมลงทุนซื้อขายทองคำแท่งจำเลยที่ 1 ยังประกอบกิจการร้านทองตามปกติ ทั้งไม่ปรากฏจากทางไต่สวนว่าจำเลยที่ 1 ชักชวนบุคคลอื่นหรือประกาศให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังถ้อยคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1เป็นเพื่อนกันมาประมาณ 40 ปี และลูกจะเรียนต่างประเทศจึงตกลงร่วมลงทุน 5,000,000 บาท เพื่อได้ผลกำไร แล้วพิจารณาว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นั้น เห็นว่า ถ้อยคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เป็นข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบให้ปรากฏในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 สามารถใช้ดุลพินิจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น *มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหรือไม่ เห็นว่า การกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำจะต้องมีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความของโจทก์ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 มิใช่การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจที่จำเลยที่ 2 กระทำได้ตามที่โจทก์มอบหมายไว้ในใบแต่งทนายความ หากการกระทำของจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนความประสงค์ของโจทก์ และทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ก็ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน *พิพากษายืน
ร่างคำฟ้องคดีอาญา ศาล: ศาลจังหวัด/ศาลอาญาที่มีเขตอำนาจ โจทก์: [ชื่อ-นามสกุลโจทก์] จำเลยที่ 1: [ชื่อ-นามสกุลจำเลยที่ 1] จำเลยที่ 2: [ชื่อ-นามสกุลจำเลยที่ 2] เรื่อง: คดีอาญาข้อหา ฐานฉ้อโกงประชาชน และแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ข้อเท็จจริง 1.จำเลยที่ 1 ได้กระทำการฉ้อโกงโจทก์โดยการหลอกลวงให้ร่วมลงทุนซื้อขายทองคำ โดยแสดงข้อความเท็จว่าตนประกอบกิจการร้านทองตามปกติ และชักชวนให้โจทก์มอบเงินจำนวน 5,000,000 บาท เพื่อผลตอบแทนจากการลงทุน 2.จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความของโจทก์ ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 การกระทำดังกล่าวขัดกับความประสงค์ของโจทก์ ทำให้โจทก์เกิดความเสียหาย ข้อกฎหมาย 1.การกระทำของจำเลยที่ 1 เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ 343 (ฐานฉ้อโกงและฉ้อโกงประชาชน) 2.การกระทำของจำเลยที่ 2 ละเมิดหรือการประพฤติมิชอบที่มีผลเสียหายต่อโจทก์ คำขอท้ายคำฟ้อง 1.ขอศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 341 และ 343 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 2.ขอให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดความเกี่ยวข้องในกรณีของจำเลยที่ 2 หากมีผลกระทบต่อโจทก์และเป็นการฝ่าฝืนความประสงค์ที่ทำให้เกิดความเสียหาย 3.ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์ 4.ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์ คำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องนี้ใช้เป็นแนวทางศึกษาเท่านั้น โดยควรปรับปรุงให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงและบริบทของคดีที่เป็นกรณีจริง |
![]() |