

เจ้าหนี้ยึดสินสมรสได้ทั้งหมดยกคำร้องขอกันส่วน สามีรู้เห็นการที่ภริยายืมเงินเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสได้ทั้งหมด เจ้าหนี้ยึดสินสมรสทั้งหมด สามียื่นคำร้องขอกันส่วนอ้างว่าหนี้เงินกู้ยืมของภริยาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว สามีไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย ภริยาไม่ได้นำเงินกู้ยืมมาใช้จ่ายในครอบครัวจึงไม่ใช่หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา ขอให้ศาลมีคำสั่งกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้สามีกึ่งหนึ่ง เจ้าหนี้ยื่นคำคัดค้านว่า ภริยาผู้ตายนำเงินที่กู้ยืมไปใช้จ่ายในครอบครัวและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวตามสมควรแก่อัตภาพ สามีรู้เห็นยินยอมให้ผู้ตายนำโฉนดที่ดินให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ ศาลฎีกาเชื่อว่าสามีรู้เห็นยินยอมให้ภริยากู้ยืมเงินจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีกับภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6686/2552 ผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. การที่ ส. กู้ยืมเงินโจทก์เป็นจำนวนมาก น่าเชื่อว่านำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวและให้การศึกษาบุตร ทั้งยังต้องใช้เงินรักษาตัวเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง ส. นำโฉนดที่ดินไปวางเป็นประกันเงินกู้ให้แก่โจทก์ ผู้ร้องน่าจะทราบดีเพราะผู้ร้องยืนยันว่า ส. ไม่เคยหยิบโฉนดที่ดินโดยไม่บอกกล่าวผู้ร้องก่อน ทั้งผู้ร้องยังเบิกความยอมรับว่า ภายหลังได้รับหนังสือทวงถามหนี้ ผู้ร้องเคยไปพบโจทก์รวม 2 ครั้ง คดีรับฟังได้ว่า ผู้ร้องรู้เห็นในการที่ ส. กู้ยืมเงินจากโจทก์หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับ ส. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) ผู้ร้องจะต้องร่วมรับผิดกับ ส. ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสได้ทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กับส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายนี้ ผู้ร้องอุทธรณ์ ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องมีสิทธิขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินตามคำร้องหรือไม่ ผู้ร้องเบิกความอ้างว่า การที่นางสุภาพรกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้ง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย และนางสุภาพรมิได้นำเงินที่กู้ยืมมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวแต่อย่างใด ทั้งผู้ร้องไม่มีปัญหาด้านการเงิน กับผู้ร้องมีนางสาวปรารถนา จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของผู้ร้องกับนางสุภาพเป็นพยานเบิกความว่า พยานไม่ทราบว่านางสุภาพรกู้ยืมเงินใครไว้บ้าง ทั้งผู้ร้องก็ไม่ทราบเรื่องการกู้ยืมเงินรายนี้ อีกทั้งผู้ร้องไม่มีความเดือดร้อนด้านการเงิน ส่วนฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์และนางฉวีวรรณ ซึ่งเป็นน้องโจทก์เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า นางฉวีวรรณรับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา แห่งเดียวกันกับนางสุภาพร และนางฉวีวรรณเป็นผู้แนะนำให้นางสุภาพรรู้จักกับโจทก์ ต่อมานางสุภาพรได้ขอกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งอ้างว่า เพื่อนำไปใช้จ่ายในครอบครัวและเลี้ยงดูบุตร เห็นว่า ผู้ร้องออกจากบริษัทออเนอร์ไลน์ จำกัด ตั้งแต่นางสุภาพรถึงแก่ความตายในปี 2540 ซึ่งก่อนหน้านั้นนางสุภาพรป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายและนางสุภาพรไม่เคยหยิบโฉนดที่ดินโดยไม่บอกกล่าวผู้ร้องก่อน ภายหลังผู้ร้องได้รับหนังสือทวงถามหนี้ ผู้ร้องได้ไปพบโจทก์รวม 2 ครั้งเพื่อสอบถามรายละเอียดขอดูหลักฐานอันเจือสมกับพยานบุคคลของโจทก์ข้างต้น ข้อนำสืบของผู้ร้องที่อ้างว่าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินรายนี้จึงเลื่อนลอยไม่สมเหตุผลเพราะระหว่างกู้ยืมเงินผู้ร้องทำงานมีเงินเดือน เดือนละประมาณ 10,000 บาท เท่านั้น และยังต้องใช้จ่ายในครอบครัวและให้การศึกษากับนายอรรถพล จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตร ประกอบกับนางสุภาพรก็ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย การที่นางสุภาพกู้ยืมเงินโจทก์เป็นจำนวนมาก น่าเชื่อว่านำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวและให้การศึกษาแก่บุตร ทั้งยังต้องใช้เงินรักษาตัวเป็นจำนวนมาก อีกทั้งนางสุภาพรนำโฉนดที่ดินไปวางเป็นประกันเงินกู้ให้แก่โจทก์ ผู้ร้องน่าจะทราบดี เพราะผู้ร้องยืนยันว่า นางสุภาพรไม่เคยหยิบโฉนดที่ดินโดยไม่บอกกล่าวผู้ร้องก่อน ใช่แต่เท่านั้น ผู้ร้องยังเบิกความยอมรับว่า ภายหลังได้รับหนังสือทวงถามหนี้ผู้ร้องเคยไปพบโจทก์รวม 2 ครั้ง ซึ่งตรงกับคำเบิกความของโจทก์และนางฉวีวรรณ ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานผู้ร้อง คดีรับฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นในการที่นางสุภาพรกู้ยืมเงินจากโจทก์ หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับนางสุภาพรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) ผู้ร้องจะต้องร่วมรับผิดกับนางสุภาพรชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสได้ทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ |