

ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกสินสมรสเกินส่วนของตน ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกสินสมรสเกินส่วนของตน การจดทะเบียนสมรสทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์สินใดที่ได้มาภายหลังการสมรส กฎหมายให้สันนิษฐานว่า เป็นสินสมรส ในกรณีที่สามีภริยาชอบด้วยกฎหมายซื้อที่ดินโดยใส่ชื่อภริยาแต่เพียงผู้เดียว ก็ไม่ทำให้สินสมรสนั้นเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวได้ ในคดีนี้ สามี ภริยา จดทะเบียนสมรสกัน ไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ภริยามีบุตรที่เกิดจากสามีเก่า 2 คน ในระหว่างสมรส สามีภริยาซื้อที่ดิน 1 แปลง ใส่ชื่อภริยาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ก่อนภริยาเสียชีวิตได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บุตรที่เกิดจากสามีเก่าทั้งสองคน สามีมาฟ้องเป็นคดีนี้อ้างว่าเป็นสินสมรส ภริยาไม่มีสิทธินำสินสมรสส่วนของสามีไปทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3720/2548 เมื่อทรัพย์พิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นสินสมรสไม่ใช่ทรัพย์มรดกจึงไม่อยู่ในอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้ มาตรา 1480 การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน มาตรา 1754 ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง (บ้าน 3 หลัง) บนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 613 ตำบลโพนทอง (ตำบลในเมือง) อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางเขียน โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อเดือนเมษายน 2526 ไม่มีบุตรด้วยกัน ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายสุวรรณ โอนขายมาเป็นสิทธิชื่อนางเขียนเมื่อปี 2530 ต่อมามีการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินหลายหลัง และปี 2540 นางเขียนได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสองรวมทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทด้วย จำเลยทั้งสองเป็นบุตรนางเขียนกับสามีคนก่อน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเขียนหรือไม่ โจทก์มีนายสุวรรณเจ้าของที่ดินเดิมมาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่าพยานได้โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และนางเขียนซึ่งเป็นสามีภริยากันเมื่อปี 2530 ตามสารบัญจดทะเบียน เอกสารหมาย จ.3 โดยโจทก์ให้ใส่ชื่อนางเขียนเป็นผู้รับโอน ส่วนจำเลยทั้งสองอ้างตนเองเบิกความว่านางเขียนได้ซื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2524 และปลูกสร้างบ้านบนที่ดินก่อนนางเขียนจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ แต่เพิ่งมาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทางทะเบียนในปี 2530 เห็นว่า โจทก์มีนายสุวรรณเจ้าของที่ดินเดิมเป็นพยานคนกลางมิได้มีผลประโยชน์กับฝ่ายใดมาเบิกความประกอบการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทว่าโอนขายให้แก่โจทก์และนางเขียน เมื่อปี 2530 คำเบิกความของนายสุวรรณมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนจำเลยทั้งสองคงมีแต่คำเบิกความลอยๆ ว่านางเขียนซื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2524 แต่ยังไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่นางเขียนได้เนื่องจากที่ดินติดจำนองอยู่นั้น เห็นว่า หากนางเขียนซื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2524 จริง การที่ที่ดินพิพาทของนายสุวรรณติดจำนองอยู่หาเป็นอุปสรรคในการที่จะโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายกันไม่ เพราะนายสุวรรณย่อมได้เงินจากการขายไปชำระหนี้เพื่อไถ่จำนองได้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้น่าเชื่อว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโจทก์และนางเขียนได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรสที่โจทก์และนางเขียนมีสิทธิในทรัพย์พิพาทนั้นคนละครึ่งหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมด้วย นางเขียนจึงไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์ที่พิพาทเกินกว่าส่วนของตนให้แก่จำเลยทั้งสองได้ ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกหรือไม่ เห็นว่าเมื่อทรัพย์พิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นสินสมรสไม่ใช่ทรัพย์มรดก จึงไม่อยู่ในอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1754 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น” พิพากษายืน |