-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258
-ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th
-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line :
(1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont
-Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE
ได้สิทธิทำประโยชน์ที่ดินก่อนจดทะเบียนสมรส
สามีได้รับสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินสองแปลง ขณะนั้นอยู่กินฉันสามีภรรยายังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ถือได้ว่าสิทธิทำประโยชน์เป็นทรัพย์สินที่สามีภริยาได้มาขณะอยู่กินด้วยกันแล้ว จึงเป็นกรรมสิทธิ์รวมและมีสิทธิในที่ดินคนละครึ่งหนึ่ง แม้มีข้อกำหนดว่าที่ดินได้รับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีภายในห้าปี คดีนี้ฟ้องให้จดทะเบียนใส่ชื่อภริยาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินครึ่งหนึ่งไม่ใช่กรณีเป็นการบังคับให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมจึงไม่ต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9577/2552
ขณะจำเลยได้รับสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง จำเลยอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ โดยยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย แต่สิทธิดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่จำเลยกับโจทก์ได้มาขณะอยู่กินด้วยกันแล้ว จึงเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลย แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยสมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับนิคม เมื่อโจทก์กับจำเลยมีสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทร่วมกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกึ่งหนึ่ง แม้ตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 12 วรรคสอง จะบัญญัติว่าที่ดินในนิคมซึ่งได้รับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีภายในห้าปี ศาลก็พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่งได้มิใช่เป็นการบังคับให้จำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมให้โจทก์แต่อย่างใด กรณีไม่ขัดกับบทบัญญัติดังกล่าว
มาตรา 1356 ถ้าทรัพย์สินเป็นของบุคคลหลายคนรวมกัน ท่านให้ใช้บทบัญญัติในหมวดนี้บังคับ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส
(2) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส
(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส
พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 12
มาตรา 12 ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้น ไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ แล้วแต่กรณี
ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ที่ดินนั้นไม่อยู่ในความ รับผิดแห่งการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากันตั้งแต่ปี 2508 และได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2510 เมื่อประมาณปลายปี 2510นิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูล ได้จัดสรรที่ดินให้แก่โจทก์และจำเลยเป็นที่ดินแปลงที่ 50 ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลอุใดเจริญ อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล รวมเนื้อที่ 18 ไร่เศษ โจทก์และจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินเพื่ออยู่อาศัยป็นบ้านไม้สองชั้น และปลูกยางพารา ในปี 2511 จำเลยประพฤติตนเสเพล ไม่รับผิดชอบปล่อยให้โจทก์ต้องเลี้ยงดูบุตรเพียงลำพัง และนับตั้งแต่ปี 2517 โจทก์กับจำเลยก็ได้เลิกร้างมิได้ยุ่งเกี่ยวกันอีกเลย โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไป โจทก์ได้พยายามหย่าขาดกับจำเลยหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยกลับเพิกเฉย ขอให้พิพากษาให้จำเลยหย่ากับโจทก์ และแบ่งที่ดินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูล มอบให้จำเลยครอบครองทำประโยชน์เพื่อการเลี้ยงชีพ มิได้มอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ทั้งที่ดินดังกล่าวยังมิได้มีการออกโฉนด จึงไม่ใช่สินสมรส โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ให้กึ่งหนึ่งตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งสินสมรสคือโฉนดที่ดินเลขที่ 4208 และเลขที่ 4212 ตำบลอุใดเจริญ อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล พร้อมส่วนควบให้โจทก์ จำเลยฝ่ายละกึ่งหนึ่ง ถ้าการแบ่งเช่นนี้ไม่อาจกระทำได้หรือจะเสียหายมากนักก็ให้ขายโดยการประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลย ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งในโฉนดที่ดินเลขที่ 4208 และเลขที่ 4212 ตำบลอุใดเจริญ อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความต่างมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า ตั้งแต่ปี 2508 โจทก์กับจำเลยมีบุตรด้วยกัน 1 คนแล้ว ครั้นเมื่อวันที่ 20มีนาคม 2510 จำเลยสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูลและได้รับการจัดสรรที่ดินพิพาทจากนิคมดังกล่าวในวันเดียวกัน โดยที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นที่ดินมือเปล่ายังมิได้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์อย่างใด หลังจากนั้นวันที่ 6 กรกฎาคม 2510 โจทก์จำเลยจึงเพิ่งจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาปี 2548 โจทก์มายื่นฟ้องหย่าจำเลยเป็นคดีนี้และขอแบ่งสินสมรสซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาท ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยได้ไปจดทะเบียนหย่ากัน และจำเลยเพิ่งได้รับโฉนดที่ดิน ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นที่ดินปลูกบ้านอาศัยและที่ดินทำสวนยางพารา ตามโฉนดที่ดินดังกล่าวระบุข้อห้ามโอนตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 คือ ห้ามโอนให้แก่ผู้อื่นภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2548 และวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 ตามลำดับ สำหรับบ้านไม้สองชั้นเลขที่ 70/4 และต้นยางพาราในที่ดินโฉนดเลขที่ 4212 ตำบลอุใดเจริญ อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินสมรส
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทสองแปลงในนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้หรือไม่ และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้บังคับคดีโดยให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่งนั้นถูกต้องชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า แม้ขณะจำเลยได้รับสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง จำเลยเพียงแต่อยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์โดยยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย แต่สิทธิดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่จำเลยกับโจทก์ได้มาขณะอยู่กินด้วยกันแล้ว จึงเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลย และข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังได้ว่าจำเลยสมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองเพียงผู้เดียว ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับนิคม เมื่อโจทก์กับจำเลยมีสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทร่วมกันโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกึ่งหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์รวมเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส โจทก์และจำเลยย่อมมีกรรมสิทธิ์คนละกึ่งหนึ่ง เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์ขอให้แบ่งทรัพย์สินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทรัพย์สินตามฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่ เพียงใด ก็ครอบคลุมถึงประเด็นว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ด้วยแล้ว เพราะเป็นผลโดยตรงต่อการวินิจฉัยชี้ขาดตามข้อต่อสู้ของจำเลย ปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และจำเลยหรือไม่ จึงเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มาตรา 12 วรรคสอง บัญญัติว่า ที่ดินในนิคมซึ่งได้รับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีภายในห้าปี ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่ง ซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมีสิทธิกระทำได้ ทั้งมิใช่การบังคับให้จำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมให้โจทก์แต่อย่างใด กรณีจึงไม่ขัดกับบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า จำเลยได้รับสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่จำเลยอยู่กินกับโจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลย และพิพากษาให้ใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( พินิจ สายสอาด - นพวรรณ อินทรัมพรรย์ - กีรติ กาญจนรินทร์ )
หมายเหตุ
ที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินที่จำเลยได้รับการจัดสรรจากรัฐให้เข้าไปทำกินตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยได้รับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวหลังจากที่ได้อยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์แล้วประมาณ 2 ปี โดยโจทก์กับจำเลยเพิ่งมาจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2548 ขณะที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยหย่ากับโจทก์และแบ่งที่ดินให้โจทก์กึ่งหนึ่งนั้น ที่ดินพิพาทก็ยังเป็นที่ดินมือเปล่า แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์กับจำเลยก็ได้ไปจดทะเบียนหย่ากัน และจำเลยเพิ่งได้รับโฉนดที่ดินแปลงพิพาท กรณีจึงมีปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ เพราะโจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่สินสมรส ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทรัพย์สินตามฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่ และต่อมาได้พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้โจทก์จำเลยฝ่ายละกึ่งหนึ่ง แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลย และพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่ง
ในประเด็นปัญหาที่ว่า ที่ดินที่รัฐจัดสรรให้ราษฎรตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพเป็นสินสมรสหรือไม่ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2800/2543 เดิมโจทก์ฟ้อง ก. ขอหย่าและแบ่งสินสมรสซึ่งมีที่ดินพิพาทนิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี - ลพบุรี จัดสรรให้แก่ ก. สมาชิกนิคมทำประโยชน์รวมอยู่ด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ ก. แบ่งสินสมรสซึ่งรวมที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ขณะนั้นที่ดินพิพาทยังไม่ได้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แต่อย่างใด ที่ดินพิพาทจึงอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ซึ่งตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่มีบทมาตราใดที่ระบุว่าก่อนมีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ให้ถือว่าบุคคลที่รัฐอนุญาตให้เข้าทำกินมีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์เด็ดขาด แต่กลับมีมาตรา 12 บัญญัติว่าภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินผู้ที่ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี และในวรรคสองบัญญัติว่า ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ที่ดินนั้นไม่ตกอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ดังนั้น ที่ดินพิพาทยังคงเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่ได้มอบสิทธิครอบครองให้แก่ ก. ในขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อ ก. เพิ่งได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์และออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทมาภายหลัง จึงไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์และ ก. โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งรับโอนมรดกจาก ก. ให้แบ่งที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และ ก. ตามคำพิพากษาของศาลได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7034/2540 ที่ดินมือเปล่าที่พิพาท ที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรส เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงดังกล่าวนิคมสร้างตนเองยังมิได้มีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยและยังอยู่ในระหว่างที่กำลังปฏิบัติตามเงื่อนไขของการจะได้กรรมสิทธิ์ แต่ยังปฏิบัติไม่สำเร็จตามเงื่อนไข และตกอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 12 ที่บัญญัติว่า ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี และภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวที่ดินนั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และถึงแม้หากจะได้มีหลักฐานกรรมสิทธิ์อยู่ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์เกินกว่าห้าปีแล้ว ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2800/2543 และ 7034/2540 นี้ วินิจฉัยยืนยันในหลักการที่ว่า ที่ดินที่รัฐให้ราษฎรเข้าทำกินตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพยังเป็นที่ดินของรัฐอยู่ รัฐเพียงแต่จัดสรรให้ราษฎรเข้าไปทำกินเท่านั้น ไม่ได้มอบสิทธิครอบครองหรือมอบกรรมสิทธิ์ให้เด็ดขาดจนกว่ารัฐจะได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือออกโฉนดที่ดินให้และได้พ้นกำหนดห้ามโอนห้าปีแล้ว ซึ่งก็เดินตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 704/2508 ที่วินิจฉัยว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินซึ่งกรมประชาสงเคราะห์จัดสรรให้สมาชิกนิคมสร้างตนเองเข้าทำกินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2485 แต่ก็ยังไม่ได้ออกหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่สมาชิกรายใดเลย จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เมื่อที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 (2)
เช่นเดียวกับคดีที่หมายเหตุนี้ ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว หลังจากนั้นจำเลยก็ได้รับโฉนดที่ดินแปลงที่พิพาทมา กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อไม่ใช่สินสมรสโจทก์ก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์กึ่งหนึ่งได้ แต่เหตุที่คดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมและพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่ง อันต่างจากคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั้น ผู้หมายเหตุเห็นว่าคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกานี้ไม่ได้กลับหลักเดิมข้างต้น แต่เป็นเพราะคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้หย่าและแบ่งทรัพย์สินกึ่งหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยา แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่สินสมรสก็ตาม ศาลฎีกาได้ปรับใช้ข้อกฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่ความ โดยเฉพาะโจทก์ผู้ต้องเสียเปรียบในมูลหนี้เพราะหากแปลความและวินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 3034/2540 และ 2800/2543 โดยเคร่งครัดแล้ว โจทก์ย่อมไม่ได้รับสิทธิใดๆ ในที่ดินพิพาทเลยซึ่งผู้หมายเหตุเห็นพ้องด้วยกับผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าว แม้ว่าในแง่ทางวิชาการแล้วเหตุแห่งผลนั้นออกจะขัดกันในตัวก็ตาม ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ข้อที่ผู้หมายเหตุเห็นว่าจะขัดกันในตัวนั้น เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาได้ปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายที่ว่า สิทธิที่จำเลยได้รับในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าว ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่จำเลยกับโจทก์ได้มาขณะอยู่กินด้วยกัน จึงเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลย กรณีจึงมีปัญหาว่า เมื่อถือว่าสิทธิดังกล่าวเป็นทรัพย์สิน แต่ทรัพย์สินประเภทนี้จะนำบทบัญญัติว่าด้วยกรรมสิทธิ์รวม ตาม ป.พ.พ. บรรพ 4 หมวด 3 ว่าด้วยกรรมสิทธิ์รวม ตามมาตรา 1356 ถึง 1366 มาใช้บังคับได้หรือไม่ เพราะเมื่อดูเจตนารมณ์แล้วหมวด 3 ว่าด้วยกรรมสิทธิ์รวมอยู่ใต้ลักษณะ 2 ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ ดังนั้นคำว่าทรัพย์สินตามมาตรา 1356 น่าจะใช้เฉพาะกับทรัพย์สินที่เป็นวัตถุมีรูปร่างเท่านั้น เพราะลักษณะสำคัญประการหนึ่งของกรรมสิทธิ์คือต้องมีทรัพย์เป็นวัตถุแห่งสิทธิ แต่สิทธิที่จำเลยได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนี้ มิใช่ทรัพย์สินประเภทที่เป็นวัตถุมีรูปร่าง ทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ได้ความว่าขณะฟ้องจำเลยยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเลย คำพิพากษาฎีกาที่หมายเหตุนี้ได้แปลความขยายความคำว่าทรัพย์สินตามมาตรา 1356 รวมไปถึงทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์สินประเภทสิทธิเหนือพื้นที่ดินซึ่งเป็นวัตถุไม่มีรูปร่างด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้ศาลฎีกาไม่ได้วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ แต่ที่วินิจฉัยว่า "หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส โจทก์และจำเลยย่อมมีกรรมสิทธิ์คนละกึ่งหนึ่ง..." นั้น ก็เพื่อนำไปเป็นเหตุในการปรับและกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ เพราะหากวินิจฉัยตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เดิมว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ ผลแห่งคำวินิจฉัยก็คงจะต้องเป็นไปตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 7034/2540 และ 2800/2543 ข้างต้น แต่หากปรับเปลี่ยนประเด็นข้อพิพาทใหม่ แนวคำวินิจฉัยนี้ก็จะทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่โจทก์และเป็นบรรทัดฐานในคดีอื่นๆ ที่มีข้อเท็จจริงทำนองนี้ได้เช่นกัน จึงนับว่าเป็นความชาญฉลาดและมองการณ์ไกลของศาลฎีกาในการแก้ไขปัญหาของประชาชนและธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม แม้ผลที่ตามมาหลังจากนี้ การให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของโจทก์หลังจากที่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและถือครองร่วมกับจำเลยจนพ้นกำหนดเงื่อนไขห้ามโอนห้าปีแล้ว โจทก์จะต้องฟ้องร้องบังคับคดีเอากับจำเลยเป็นคดีเรื่องใหม่หากจำเลยไม่ยอมแบ่งให้ก็ตาม ก็ไม่เป็นเรื่องยากสำหรับโจทก์ในการนำสืบ เพราะประเด็นต่างๆ ได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาฎีกานี้ ซึ่งต่างจากแนวคำวินิจฉัยเดิมที่ถือว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่สินสมรส โจทก์ย่อมไม่อาจนำคดีมาฟ้องใหม่ได้อีก เพราะเป็นฟ้องซ้ำ
ณัฏฐ์พงษ์ สมศักดิ์
การบอกล้างสัญญาระหว่างสมรส | แบ่งสินสมรส
บริการของ สำนักงานกฎหมายพีศิริ ทนายความ
สำนักงานกฎหมายพีศิริทนายความ ก่อตั้งโดย ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ รับว่าความคดีแพ่ง คดีอาญา คดีผู้บริโภคและคดีอื่นๆ ทุกคดี รับเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย รับเป็นทนายความแก้ต่างต่อสู้คดี ข้อตกลง ตลอดจนข้อสัญญาต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจ ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดก ฟ้องเรียกเงินผิดสัญญากู้ยืมเงิน ผิดสัญญาจ้างทำของ ฟ้องหย่า ฟ้องเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในคดีครอบครัว ฟ้องเรียกบุตรคืน ฟ้องถอนอำนาจปกครองผู้เยาว์ ฟ้องหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรส ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากหญิงที่แสดงตนว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคู่สมรส ฟ้องหย่าและเรียกค่าเลี้ยงชีพ ฟ้องขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว ฟ้องให้จดทะเบียนรับรองบุตร ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ฟ้องขอให้ศาลมีว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ฟ้องขอเปลี่ยนอำนาจปกครองบุตร ฟ้องให้คู่หย่าปฏิบัติตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์สินตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องเรียกค่าทดแทนผิดสัญญาหมั้นเรียกสินสอดคืน ฟ้องบอกเลิกสัญญาหมั้นเรียกของหมั้นคืน ฟ้องคู่สมรสขอแยกกันอยู่ชั่วคราว ฟ้องขอให้จดทะเบียนใส่ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนละครึ่ง ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตแทนการให้ความยินยอมขายที่ดินสินสมรส ฟ้องขอเพิกถอนการให้ที่ดินสินสมรส ฟ้องขอใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินสินสมรส ฟ้องขอใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วมในบัญชีธนาคาร ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อน ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ฟ้องบิดาขอให้รับเด็กเป็นบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วย ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรเพื่อรับบำเหน็จตกทอดจากทางราชการ ฟ้องไม่รับเด็กเป็นบุตรเนื่องจากเป็นหมันไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ฟ้องคดีขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแทนการให้ความยินยอมของมารดาในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ยื่นคำร้องขอตั้งผู้ปกครอง ขอให้ศาลแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองเด็ก คดีขอให้ศาลสั่งเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครอง ติดต่อทนายความได้เลย ฟ้องหย่าคิดถึงทนายความลีนนท์ ติดต่อทนายความลีนนท์ ได้ที่หมายเลข 0859604258