ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สิทธิ บันทึกข้อตกลงใช้ที่ดิน และการอุทิศสาธารณสมบัติ (ฎีกา 1643/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1643/2567, สิทธิกรรมสิทธิ์ที่ดิน, บันทึกข้อตกลงใช้ที่ดิน, อุทิศที่ดินสาธารณสมบัติ, แนวเขตที่ดิน, ยกเลิกบันทึกข้อตกลง, กรณีใช้ที่ดินโดยไม่อนุญาต, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142, วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีที่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่ 5891 โดยได้ทำบันทึกข้อตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ที่ดินส่วนหนึ่ง (ที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญ) เป็นเวลา 10 ปี ห้ามจำเลยที่ 1 ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น และโจทก์ไม่ประสงค์จะยกที่ดินให้เป็นสาธารณประโยชน์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนข้อตกลง (ก่อสร้างหอถังใหม่, ต่อท่อน้ำ) โจทก์จึงขอยกเลิกบันทึกข้อตกลงและบังคับให้จำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินออกคืนที่ดิน โจทก์โต้แย้งว่าไม่ได้อุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย ขณะที่จำเลยอ้างว่าได้อุทิศแล้ว ผลก็คือ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่จดทะเบียนไว้ และการที่โจทก์ไม่ทราบถึงการใช้ที่ดินจนขอรังวัดในปี 2560 ไม่ถือเป็นการอุทิศโดยปริยาย อีกทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงจึงมีผลให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกข้อตกลงและบังคับให้คืนสภาพที่ดินได้

สรุปข้อเท็จจริง

โจทก์จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 2527 และได้จดทะเบียนถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว 10 ม.ค. 2529. 

จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลราชการบริหารส่วนท้องถิ่น (ฐานะเดิมเป็นสภาตำบลดอนแฝก) และจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายก อบต. ดอนแฝก ก่อนปี 2533. 

มีที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 5891 บริเวณที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญ โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลง 12 พ.ย. 2561 ว่า โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ที่ดินพิพาทเป็นเวลา 10 ปี ห้ามจำเลยที่ 1 ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น และโจทก์ไม่ประสงค์จะอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณประโยชน์. 

ต่อมา จำเลยที่ 1 ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำใหม่ และต่อท่อน้ำประปาจากบ่อน้ำบาดาลไปยังถังใหม่ในที่ดินพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ถือว่านี่เป็นการฝ่าฝืนบันทึกข้อตกลง

จำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยายแล้ว ทำให้บันทึกข้อตกลงไม่มีผล ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 โจทก์อุทิศที่ดินพิพาทแล้ว จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท

โจทก์อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 7 ซึ่งวินิจฉัยว่า โจทก์ ไม่ได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติโดยปริยาย ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และศาลมีอำนาจวินิจฉัยต่อว่าจำเลยที่ 1 ผิดบันทึกข้อตกลงหรือไม่. 

จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยขอให้ศาลฎีกาพิจารณาว่า (1) ที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติโดยปริยายหรือไม่ (2) คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ผิดข้อตกลงนั้น นอกประเด็นหรือไม่. 

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยยืนตามศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติโดยปริยาย และจำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลง โจทก์มีสิทธิบอกเลิกบันทึกข้อตกลงและบังคับให้คืนสภาพที่ดินได้ 

🔹 มาตรากฎหมายสำคัญที่สุดที่ศาลใช้วินิจฉัย

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304

“ทรัพย์สินซึ่งอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์ โดยชัดแจ้งหรือโดยพฤติการณ์แล้ว ให้ทรัพย์สินนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน”

📌 ศาลฎีกาใช้มาตรานี้เป็นหลักในการชี้ว่า

การที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ “อุทิศที่ดินพิพาทโดยปริยาย” ต้องมีองค์ประกอบครบ เช่น

1. เจตนาอุทิศอย่างชัดแจ้ง

2. พฤติการณ์แสดงเจตนาให้ประชาชนใช้ร่วมกัน

3. ความยินยอมของเจ้าของที่แท้จริง

ซึ่งในคดีนี้ ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่รู้และไม่ยินยอม จึงไม่ถือว่าอุทิศโดยปริยาย

🔸 5 คำสำคัญ และการขยายความสั้น ๆ

1. อุทิศสาธารณสมบัติโดยปริยาย

ประเด็นหลักของคดีอยู่ที่การตีความว่า “การไม่คัดค้านการใช้ที่ดินสาธารณะนานหลายปี” ถือเป็นการอุทิศโดยปริยายหรือไม่

ศาลวินิจฉัยว่าไม่ใช่ เพราะเจ้าของที่ดิน (โจทก์) ไม่ทราบมาก่อนว่าพื้นที่นั้นอยู่ในกรรมสิทธิ์ของตน

2. กรรมสิทธิ์ที่ดิน 

ศาลยืนยันสิทธิของโจทก์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 ว่ายังเป็นทรัพย์สินของโจทก์

ไม่มีการเพิกถอนกรรมสิทธิ์ หรือการอุทิศโดยเจตนา จึงไม่ตกเป็นของรัฐหรือสาธารณะ

3. บันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน 

เป็นเอกสารสำคัญระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1

ศาลเห็นว่าเป็น “สัญญาใช้ที่ดินชั่วคราว” ที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย และเมื่อจำเลยฝ่าฝืน (สร้างใหม่โดยไม่อนุญาต) โจทก์มีสิทธิบอกเลิกได้

4. สิทธิบอกเลิกสัญญา 

เมื่อคู่สัญญาฝ่าฝืนข้อตกลง เจ้าของกรรมสิทธิ์มีสิทธิบอกเลิกบันทึกข้อตกลงได้ตามหลักกฎหมายสัญญา

ศาลยืนยันสิทธิของโจทก์ในการเรียกร้องให้จำเลยคืนสภาพที่ดิน

5. ศาลไม่มีการวินิจฉัยนอกประเด็น

จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินประเด็น แต่ศาลฎีกาชี้ว่า การวินิจฉัยว่าจำเลยผิดข้อตกลงอยู่ในขอบเขตที่โจทก์อุทธรณ์แล้ว

ยืนยันหลักตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ว่าศาลมีอำนาจวินิจฉัยในสิ่งที่อยู่ในขอบเขตฟ้องและอุทธรณ์

🔍 สรุปใจความสั้นที่สุด

คดีนี้ชี้ชัดว่า “การปล่อยให้ผู้อื่นใช้ที่ดินโดยไม่รู้ ไม่ใช่การอุทิศโดยปริยาย” ตามมาตรา 1304 และ “บันทึกข้อตกลงใช้ที่ดิน” มีผลบังคับตามกฎหมาย เจ้าของกรรมสิทธิ์สามารถบอกเลิกและเรียกคืนที่ดินได้ หากอีกฝ่ายฝ่าฝืนเงื่อนไข

คำวินิจฉัยของศาล

1 ประเด็นอุทิศที่ดินเป็นสาธารณสมบัติ

ศาลวินิจฉัยว่า ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่า โจทก์ไม่เคยคัดค้านการใช้ที่ดินพิพาทโดยประชาชนทั่วไป และโจทก์ทราบเรื่องแนวเขตที่ดินจริงในปี 2560 แต่องค์ประกอบของการอุทิศโดยปริยาย (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304) ยังไม่ครบ ได้แก่ ไม่มีเจตนาอุทิศชัดเจน ไม่มีหลักฐานดำเนินการอุทิศอย่างเป็นทางการ และโจทก์ไม่ทราบในทันทีว่าเป็นที่ดินของตนจนมีการรังวัดในปี 2560 ทำให้ศาลเห็นว่า โจทก์มิได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติโดยปริยาย. 

2 ประเด็นบันทึกข้อตกลงและการผิดข้อตกลง

ศาลวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงที่ทำเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2561 นั้น คู่ความตกลงกันอย่างชัดเจนว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ที่ดินพิพาทเป็นเวลา 10 ปี ห้ามก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น และที่สำคัญคือ โจทก์ไม่ประสงค์จะยกที่ดินให้เป็นสาธารณประโยชน์. ต่อมาจำเลยที่ 1 ก่อสร้างหอถังใหม่และต่อท่อน้ำไปถังใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขของบันทึกข้อตกลง. ศาลจึงเห็นว่า จำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงและโจทก์มีสิทธิบอกเลิกบันทึกข้อตกลงและขอให้จำเลยที่ 1 คืนสภาพที่ดินและย้ายทรัพย์สินออก. (deka.supremecourt.or.th)

3 ประเด็นอำนาจของศาลอุทธรณ์

ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นว่า โจทก์มิได้อุทิศที่ดินพิพาทและยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์ฟ้องร้องและอุทธรณ์ได้ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย. 

ขยายความประเด็นทางกฎหมาย

1 กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1304 วรรคหนึ่ง: “เมื่อผู้ใดอุทิศทรัพย์สินให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยชัดแจ้งหรือโดยพฤติการณ์พร้อมแล้ว ให้ทรัพย์สินนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” – เป็นบทบัญญัติหลักในการวินิจฉัยการอุทิศโดยปริยาย.

ป.พ.พ. มาตรา 193/30: กำหนดอายุความ 10 ปี (ใช้เมื่อไม่มีบทบัญญัติอายุความเฉพาะ) ในการเรียกสิทธิ.

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) มาตรา 142 วรรคหนึ่ง: ห้ามศาลพิพากษาให้เกินกว่าสิ่งที่โจทก์ขอฟ้อง. – เกี่ยวข้องกับประเด็นวินิจฉัยนอกประเด็น.

2 ความหมายและองค์ประกอบของ “อุทิศโดยปริยาย”

การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติโดยปริยาย ต้องมีองค์ประกอบทั้ง (1) เจตนาอุทิศที่ชัดเจน (โดยผู้ถือกรรมสิทธิ์ทราบและยินยอม) (2) พฤติการณ์ที่บ่งชี้ชัดว่าได้ให้ประโยชน์แก่สาธารณะอย่างเปิดเผยและต่อเนื่อง (3) ไม่มีการใช้สิทธิของเจ้าของที่ดินต่อนั้นอย่างเด็ดขาด. ในคดีนี้ ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ได้มีเจตนาอุทิศชัดเจน และไม่ได้ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนจนกระทั่งได้ยื่นรังวัดในปี 2560 ดังนั้นจึงไม่เข้าองค์ประกอบ.

3 ความหมายและผลของ “บันทึกข้อตกลงใช้ที่ดิน”

บันทึกข้อตกลงระหว่างเจ้าของที่ดิน (โจทก์) กับผู้ใช้ประโยชน์ (จำเลยที่ 1) ถือเป็นสัญญาใช้ประโยชน์ชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขว่าใช้เป็นเวลา 10 ปี ห้ามก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น และไม่ยกให้เป็นสาธารณประโยชน์ การฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าว (เช่น ก่อสร้างใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต) ทำให้เจ้าของกรรมสิทธิ์มีสิทธิยกเลิกสัญญา/บันทึกข้อตกลง และขอคืนสภาพที่ดินได้ เพราะเป็นการผิดเงื่อนไขตกลง.

4 อำนาจของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา

ในกรณีที่โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นที่ถูกฟ้องร้องและอุทธรณ์มาจริง โดยไม่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 142 ซึ่งห้ามศาลพิพากษาให้มากกว่าที่ผู้ฟ้องร้องขอไว้. ศาลฎีกาเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีข้อผิดพลาด จึงยืนตามศาลอุทธรณ์.

5 ผลทางปฏิบัติ

จากคำพิพากษานี้ เจ้าของที่ดินควรระมัดระวังเมื่อให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์ในที่ดินของตนว่า ต้องชัดเจนเรื่องเงื่อนไขและอย่าให้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือปล่อยให้ผู้ใช้ประโยชน์ก่อสร้างเพิ่มเติมโดยไม่มีข้อตกลง เพราะอาจทำให้เสียสิทธิในการบังคับใช้ข้อตกลง.

 IRAC (Issue-Rule-Application-Conclusion)

Issue (ประเด็น)

ประเด็น 1: ที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตของโจทก์หรือไม่ และถูกอุทิศให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยายแล้วหรือไม่ (ภายใต้ ป.พ.พ. มาตรา 1304)

ประเด็น 2: บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีผลบังคับใช้หรือไม่ และจำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงหรือไม่ ทำให้โจทก์มีสิทธิยกเลิกและบังคับให้คืนสภาพที่ดินได้หรือไม่

ประเด็น 3: ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจเหมาะสมหรือไม่ และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่จำเลยเรียกว่า “นอกประเด็น” ถือชอบหรือไม่ (ภายใต้ ป.วิ.พ. มาตรา 142)

Rule (กฎหมายที่ใช้)

ป.พ.พ. มาตรา 1304 – อุทิศทรัพย์สินให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย → ให้ทรัพย์สินนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ป.วิ.พ. มาตรา 142 – ศาลห้ามพิพากษาให้เกินกว่าสิ่งที่โจทก์ขอฟ้อง

สัญญา/บันทึกข้อตกลงตามหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ – หากคู่กรณีตกลงเงื่อนไข และฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืน เงื่อนไขนั้นฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิ์มีสิทธิยกเลิกได้

ป.พ.พ. มาตรา 193/30 – อายุความ 10 ปี (ใช้เมื่อไม่มีบทบัญญัติอายุความเฉพาะ) (หากเกี่ยวข้อง)

Application (การใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริง)

ในข้อเท็จจริง โจทก์จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด 5891 ตั้งแต่ปี 2527 และใช้อย่างต่อเนื่องจนมีการรังวัดแนวเขตในปี 2560. จำเลยที่ 1 อ้างว่าที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติโดยปริยาย เนื่องจากมีการสร้างหอถังเก็บน้ำและตู้น้ำหยอดเหรียญ และโจทก์ไม่เคยคัดค้านการใช้ประโยชน์มาเป็นเวลานาน แต่ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ทราบชัดในทันทีว่าเป็นที่ดินของตน (เพิ่งทราบหลังขอรังวัดในปี 2560) และไม่มีหลักฐานเอกสารอุทิศชัดเจน อีกทั้งไม่มีพฤติการณ์ครบถ้วนตามมาตรา 1304 ดังนั้นจึงไม่อุทิศโดยปริยายได้

จากนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงใช้ที่ดินเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2561 โดยมีเงื่อนไขชัดเจน: ใช้ประโยชน์ได้ 10 ปี ห้ามก่อสร้างอื่น และไม่ประสงค์ให้เป็นสาธารณประโยชน์. ต่อมาจำเลยที่ 1 ก่อสร้างหอถังใหม่และต่อท่อน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขของบันทึกข้อตกลง ฝ่ายโจทก์จึงมีสิทธิยกเลิก. ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามองว่า บันทึกข้อตกลงมีผลบังคับ และจำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลง.

ในส่วนประเด็น “นอกประเด็น” จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ผิดข้อตกลง จึงเป็นการนอกประเด็น เพราะประเด็นฟ้องไม่ได้ระบุไปถึง “ผิดข้อตกลง” อย่างชัดเจน แต่ศาลฎีกาพิจารณาว่า ประเด็นในคำฟ้องอุทธรณ์นั้นได้กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงและขอให้บังคับให้ย้ายทรัพย์สินออก จึงศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัย และไม่ถือว่าเป็นนอกประเด็น.

Conclusion (บทสรุป)

ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ ว่าโฉนด 5891 และที่ดินพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ไม่ได้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย และบันทึกข้อตกลงวันที่ 12 พ.ย. 2561 มีผลบังคับใช้ จำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนเงื่อนไขของบันทึกข้อตกลง จึงเป็นการผิดข้อตกลง โจทก์มีสิทธิยกเลิกและบังคับให้จำเลยที่ 1 คืนสภาพที่ดินหรือขนย้ายทรัพย์สินออกได้.

สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

เจ้าของที่ดินที่ให้บุคคลอื่นใช้ประโยชน์ ควรตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุเงื่อนไขชัดเจน เช่น ระยะเวลา, สิ่งปลูกสร้างที่ห้าม/อนุญาต, การยกให้เป็นสาธารณประโยชน์หรือไม่

การอ้างว่า “อุทิศโดยปริยาย” ให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะมีการใช้ประโยชน์ร่วมสาธารณะเท่านั้น ต้องมีเจตนาอุทิศชัดและพฤติการณ์ครบตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1304

เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ทราบว่ามีการใช้ที่ดินโดยบุคคลอื่นโดยไม่มีอนุญาต ควรดำเนินการรังวัดแนวเขตหรือแจ้งคัดค้านโดยเร็ว เพื่อป้องกันข้ออ้าง “ยินยอมใช้โดยผู้ถือกรรมสิทธิ์ไม่คัดค้าน”

ศาลจะไม่วินิจฉัย “นอกประเด็น” หากประเด็นในคำฟ้อง/อุทธรณ์ได้กำหนดมาอย่างชัดเจนและคู่ความได้โต้แย้งประเด็นนั้นแล้ว (ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142)

การทำบันทึกข้อตกลงใช้ที่ดิน เป็นสัญญาเฉพาะ หากฝ่ายใช้ประโยชน์ฝ่าฝืนเงื่อนไข เจ้าของที่ดินมีสิทธิบอกเลิกและบังคับให้คืนสภาพที่ดินหรือขนย้ายทรัพย์สินได้ โดยไม่สูญเสียสิทธิกรรมสิทธิ์

❓คำถามที่ 1

ในกรณีที่เจ้าของที่ดินไม่เคยทราบว่าพื้นที่บางส่วนของตนถูกหน่วยงานท้องถิ่นนำไปใช้ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำและให้ประชาชนใช้ร่วมกันมานานกว่า 30 ปี โดยเจ้าของที่ดินไม่เคยคัดค้าน การไม่คัดค้านดังกล่าวจะถือเป็น “การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 หรือไม่?

✅ คำตอบ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจะถือว่าทรัพย์สินใด “อุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยปริยาย” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 วรรคหนึ่ง ต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน 3 ประการ ได้แก่

1. เจ้าของทรัพย์มี เจตนาอุทิศอย่างชัดแจ้งหรือโดยพฤติการณ์ ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน,

2. การใช้ประโยชน์ของประชาชนต้องเป็นไปอย่าง เปิดเผย ต่อเนื่อง และเจ้าของที่ดินรับรู้ได้, และ

3. ต้องไม่มีพฤติการณ์แสดงว่าเจ้าของ หวงห้ามหรือสงวนสิทธิในกรรมสิทธิ์ไว้

ในคดีนี้ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 ซึ่งต่อมา “นางสม” ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้เข้าใจผิดและนำพื้นที่บางส่วนไปอุทิศให้สภาตำบลดอนแฝกสร้างหอถังเก็บน้ำประปาโดยเข้าใจว่าเป็นที่ของตนเอง ต่อมาเมื่อปี 2560 โจทก์ได้ยื่นขอรังวัดที่ดินและจึงพบว่าที่ตั้งหอถังเก็บน้ำและตู้น้ำหยอดเหรียญอยู่ในแนวเขตที่ดินของตน

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา โจทก์ไม่เคยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงไม่เคยแสดงเจตนาอุทิศหรือยินยอมให้ใช้ที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ และทันทีที่ทราบก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อคุ้มครองกรรมสิทธิ์ของตน การไม่คัดค้านจึงเป็นเพียง “การไม่รู้ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่ “การยินยอม”

ดังนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ไม่เข้าองค์ประกอบของการอุทิศโดยปริยาย ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1304 วรรคหนึ่ง และที่ดินพิพาทจึง ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ไม่ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

สรุป: การที่เจ้าของที่ดินไม่รู้ว่าพื้นที่ของตนถูกใช้เป็นสาธารณประโยชน์ ไม่ถือเป็นการอุทิศโดยปริยาย และกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงอยู่กับเจ้าของเดิม

❓คำถามที่ 2

เมื่อโจทก์กับองค์การบริหารส่วนตำบลดอนแฝกทำ “บันทึกข้อตกลง” อนุญาตให้ใช่ที่ดินพิพาทเป็นเวลา 10 ปี โดยห้ามก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น แต่ต่อมาหน่วยงานดังกล่าวกลับสร้างหอถังเก็บน้ำประปาแห่งใหม่และต่อท่อน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการผิดข้อตกลงหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิบอกเลิกบันทึกข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่?

✅ คำตอบ

ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า หลังจากโจทก์ทราบแน่ชัดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในกรรมสิทธิ์ของตน ได้มีการตกลงกับองค์การบริหารส่วนตำบลดอนแฝก (จำเลยที่ 1) ทำ บันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 โดยมีสาระสำคัญว่า

โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ในพื้นที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญ

ให้ใช้ได้เป็นเวลา 10 ปี

ห้ามจำเลยก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นใดในที่ดินเพิ่มเติม

โจทก์ไม่ประสงค์ยกที่ดินดังกล่าวให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาแห่งใหม่ และต่อท่อน้ำประปาจากบ่อน้ำบาดาลมายังหอถังดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ได้รับอนุญาตไว้ในบันทึกข้อตกลง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีผลบังคับตามกฎหมายแพ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนเงื่อนไขของสัญญา โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินได้

นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ผิดข้อตกลงเป็น “การวินิจฉัยนอกประเด็น” เพราะโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในเรื่องนี้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าในคำฟ้องและคำอุทธรณ์ของโจทก์มีการกล่าวถึงประเด็นการผิดข้อตกลงไว้อย่างชัดเจน ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิจารณาได้ และไม่ถือว่าเป็นการวินิจฉัยเกินขอบเขตตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142

สรุป: การที่จำเลยก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่และต่อท่อน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการ “ผิดข้อตกลงใช้ที่ดิน” โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามหลักกฎหมายแพ่ง และศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวโดยชอบ

🏛️ สรุปรวม 2 ประเด็นหลักของคดีนี้

1. มาตรา 1304 ป.พ.พ. → วางหลักว่า “การอุทิศโดยปริยาย” ต้องมีเจตนาอุทิศที่แท้จริง ไม่สามารถอ้างจากการนิ่งเฉยโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงได้

2. หลักสัญญาแพ่งและมาตรา 142 ป.วิ.พ. → เมื่อคู่สัญญาฝ่าฝืนบันทึกข้อตกลง เจ้าของที่ดินมีสิทธิบอกเลิกได้ และศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นนั้นในขอบเขตแห่งคดี


ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304  "ทรัพย์สินซึ่งอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยชัดแจ้ง หรือโดยพฤติการณ์พร้อมแล้ว ให้ทรัพย์สินนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ถ้าผู้ใดได้อุทิศทรัพย์สินให้เป็นสาธารณประโยชน์แล้ว จะเพิกถอนการอุทิศนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้สงวนสิทธิไว้โดยชัดแจ้ง หรือมีเหตุจำเป็นอันสมควร และได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย"

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1643/2567

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 5891 โจทก์ทำบันทึกข้อตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ที่ดินของโจทก์บริเวณที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญเป็นเวลา 10 ปี ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นใดในที่ดินอีก และไม่ประสงค์ยกที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณประโยชน์ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดข้อตกลง โดยจำเลยที่ 1 ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาแห่งใหม่และเข้าไปต่อเติมท่อน้ำประปาจากบ่อน้ำบาดาลในที่ดินพิพาทไปยังถังเก็บน้ำประปาแห่งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งยกเลิกบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 คืนที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเดิม ห้ามมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์อีก จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์อุทิศที่ดินพิพาทซึ่งก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาดังกล่าวให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันโดยปริยายแล้ว บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองจึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดข้อตกลงในบันทึกข้อตกลง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่เพียงว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาทบริเวณที่ใช้ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินโดยปริยายแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท พิพากษายกฟ้อง โดยไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีเจตนาอุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ เมื่อโจทก์ทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และ ป. ซึ่งต่อมามีการเจรจาตกลงกันได้ กับโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ที่ดินของโจทก์บริเวณที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญตามบันทึกข้อตกลงขึ้น โดยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการจงใจทำให้ที่ดินของโจทก์ได้รับความเสียหายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและบังคับคดีไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย ที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแต่ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นแห่งคดีตามที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องและในคำฟ้องอุทธรณ์ต่อไปได้ว่า จำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงการใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกข้อตกลงดังกล่าว และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ได้หรือไม่ ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ไม่ผิดข้อตกลงหาเป็นการนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 และปรับสภาพที่ดินให้กลับคืนสภาพเดิม ห้ามมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินอีกต่อไป ห้ามจำเลยทั้งสองคัดค้านการขอตรวจสอบรังวัดแนวเขตที่ดินดังกล่าว เพื่อกำหนดแนวเขตที่ดินในส่วนที่โจทก์บุกรุกลำกระโดงสาธารณประโยชน์ กว้าง 2 เมตร ยาวประมาณ 400 เมตร

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนแฝก เมื่อปี 2533 ขณะนั้นจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นสภาตำบลดอนแฝก นางสม เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5890 ซึ่งมีแนวเขตที่ดินทิศใต้ ติดกับแนวเขตที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ ได้อุทิศที่ดินพิพาทขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร ให้แก่สภาตำบลดอนแฝกเพื่อก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาให้เป็นสาธารณประโยชน์ โดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน ต่อมาปี 2536 นางสมยกที่ดินของตนให้แก่นายประเสริฐและนางสาวสุวรรณี ซึ่งเป็นบุตร ประชาชนทั่วไปในพื้นที่รวมถึงโจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากหอถังเก็บน้ำประปาซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินพิพาทเรื่อยมา ต่อมาปี 2559 มีการก่อสร้างตู้น้ำหยอดเหรียญในที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์ทราบว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ วันที่ 8 พฤษภาคม 2561 โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และนายประเสริฐ เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น เพื่อห้ามมิให้จำเลยที่ 1 และนายประเสริฐคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 ตกลงกันได้โจทก์จึงถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และนายประเสริฐ โดยนายประเสริฐตกลงซื้อที่ดินส่วนที่นำชี้ทับซ้อนจากโจทก์ ตามสำเนาคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 645/2561 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 โจทก์และจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ที่ดินของโจทก์บริเวณที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการแรกว่า โจทก์อุทิศที่ดินพิพาทในส่วนที่เป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยายหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตั้งแต่ปี 2533 แล้ว โดยหลังจากนางสมอุทิศที่ดินพิพาทและมีการก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญในที่ดินพิพาท โจทก์ไม่เคยคัดค้านและยินยอมให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากหอถังเก็บน้ำประปาโดยไม่หวงห้ามเป็นเวลากว่า 30 ปี ถือว่าโจทก์อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยายแล้ว บันทึกข้อตกลงได้จัดทำขึ้นหลังจากที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงไม่มีผลบังคับใช้ นั้น เห็นว่า โจทก์จดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2527 และจดทะเบียนถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2529 ที่ดินดังกล่าวมีแนวเขตติดต่อกับทางสาธารณประโยชน์และที่ดินแปลงอื่น ลักษณะที่ดินตามรูปจำลองที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้จัดทำไว้ในปี 2463 ปรากฏว่าที่ดินของโจทก์มีลักษณะยาวติดต่อเป็นผืนเดียวกัน ทิศตะวันออกจดแม่น้ำนครไชยศรี ทิศตะวันตกจดทางกระบือและที่ดินเลขที่ 90 หรือที่ดินโฉนดเลขที่ 5890 เลขที่ดิน 265 ซึ่งเดิมมีชื่อนางสมถือกรรมสิทธิ์ก่อนที่นางสมจะยกที่ดินของตนให้แก่นายประเสริฐและนางสาวสุวรรณีในเวลาต่อมา ทิศเหนือจดที่ดินของนางสมและที่ดินของบุคคลอื่น ทิศใต้จดทางกระบือและที่ดินของบุคคลอื่น โดยไม่ปรากฏว่ามีทางสาธารณประโยชน์พาดผ่านที่ดินของโจทก์ รูปจำลองที่ดินของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเดียวกันกับรูปแผนที่ในระวางแผนที่โดยรูปแผนที่ของที่ดินโจทก์ตามระวางแผนที่ระบบยูทีเอ็มยังคงมีลักษณะยาวติดต่อกันเป็นผืนเดียวกัน เพียงแต่บริเวณแนวเขตติดต่อทิศตะวันตกบางส่วนซึ่งเดิมจดทางกระบือ เปลี่ยนเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่ในปัจจุบันพบว่าสภาพแนวเขตโดยรอบของที่ดินโจทก์บริเวณที่ดินพิพาทเปลี่ยนแปลงไปจากที่ปรากฏในรูปจำลองที่ดินที่เจ้าพนักงานจัดทำในปี 2463 พบว่า บริเวณด้านทิศตะวันตกและทิศใต้มีสภาพเป็นลำคลองเลียบไปกับทางสาธารณประโยชน์ชื่อถนนเลียบคลองทราย และมีถนนสายห้วยพลู - สำโรง หรือวัดสำโรง - ห้วยพลู ตัดผ่านที่ดินของโจทก์บริเวณทิศตะวันตกจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ ไปเชื่อมต่อกับถนนเลียบคลองทราย สำหรับที่ดินพิพาทที่นางสมอุทิศที่ดินของโจทก์ ขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร ให้แก่สภาตำบลดอนแฝกเพื่อนำไปก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาในปี 2533 นั้น ได้ความแต่เพียงว่า ที่ดินดังกล่าวเดิมนางสมเคยใช้ทำนาและขุดบ่อเลี้ยงปลาแล้วทำเป็นแนวกั้นดินติดกับคลองทราย นางสมอ้างว่าเป็นเจ้าของและอุทิศให้แก่สภาตำบลดอนแฝกโดยไม่มีการจัดทำหลักฐานการอุทิศที่ดินเป็นหนังสือ ไม่มีการบันทึกไว้ในโฉนดที่ดินของนางสม รวมถึงไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือนางสมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคยขอรังวัดสอบแนวเขตที่ดินของตนในช่วงเวลาดังกล่าวมาก่อน อีกทั้งเมื่อนางสมยกที่ดินของตนให้แก่นายประเสริฐกับนางสาวสุวรรณีในปี 2536 ไม่ปรากฏว่าเคยมีการรังวัดสอบเขตที่ดินเช่นกัน จนกระทั่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมนัดหมายโจทก์ทำการรังวัดในวันที่ 8 กันยายน 2560 ต่อมาจำเลยทั้งสอง นายอำเภอนครชัยศรี รวมถึงนายประเสริฐซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงคัดค้านว่าโจทก์นำชี้แนวเขตที่ดินทับซ้อนที่สาธารณประโยชน์ซึ่งรวมถึงบริเวณที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญ และรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายประเสริฐ วันที่ 8 พฤษภาคม 2561 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และนายประเสริฐ เพื่อห้ามมิให้จำเลยที่ 1 และนายประเสริฐคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ ตามสำเนาคำฟ้องคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ 645/2561 ของศาลชั้นต้นโดยไม่ปรากฏว่าก่อนวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 โจทก์เคยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ทำการรังวัดสอบเขตแนวที่ดินของโจทก์มาก่อน ซึ่งนายสิริพงษ์พยานจำเลยที่ 1 เบิกความเจือสมยอมรับว่า ก่อนที่โจทก์จะมีข้อพิพาทเรื่องแนวเขตที่ดินกับจำเลยที่ 1 และนายประเสริฐ ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 645/2561 ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่เคยรังวัดแนวเขตที่ดินของตน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 ในปี 2527 จนถึงปี 2560 ก่อนที่โจทก์จะดำเนินการขอรังวัดสอบแนวเขตที่ดินดังกล่าว มีเหตุที่ทำให้โจทก์เข้าใจและเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินของตนมีที่ตั้ง เนื้อที่ แนวเขตและลักษณะที่ดินตามที่ปรากฏในรูปจำลองที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำไว้ในโฉนดที่ดินซึ่งมีลักษณะยาวเป็นผืนเดียวกัน และทราบเพียงว่าที่ดินบริเวณทิศตะวันตกต่อเนื่องไปทางทิศเหนือมีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของนางสม ประกอบกับขณะที่นางสมอ้างความเป็นเจ้าของและยกที่ดินพิพาทให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ โจทก์ไม่เคยทราบหรือให้ความยินยอมหรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งที่ดินของโจทก์และนางสมต่างก็มีแนวเขตจดทางกระบือหรือทางสาธารณประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันเป็นถนนเลียบคลองทรายและคลองทราย จึงอาจทำให้โจทก์เข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของนางสม โจทก์เพิ่งจะทราบว่าที่ดินพิพาทซึ่งนางสมอุทิศให้สร้างหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญอยู่ในแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 ของโจทก์ เมื่อโจทก์ดำเนินการขอรังวัดสอบเขตที่ดินในปี 2560 ดังนั้น เมื่อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทซึ่งนางสมอุทิศให้เป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นที่ดินของโจทก์ การที่โจทก์ไม่เคยคัดค้านและยินยอมให้ประชาชนในหมู่บ้านใช้ประโยชน์จากหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยไม่หวงห้าม จึงไม่อาจถือว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย หลังจากโจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 และทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์ก็ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และนายประเสริฐว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 เพื่อห้ามมิให้จำเลยที่ 1 และนายประเสริฐคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ซึ่งรวมที่ดินบริเวณที่ดินพิพาทด้วย และโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงทำบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 ว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าที่ดินพิพาทซึ่งใช้ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์จะอุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ที่ดินของโจทก์บริเวณที่ดินพิพาทเป็นเวลา 10 ปี อันถือได้ว่าเมื่อโจทก์ทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินของตน โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านและไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 หรือประชาชนทั่วไปใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญอย่างที่สาธารณประโยชน์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้อุทิศที่ดินบริเวณที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการต่อไปตามที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในส่วนที่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าโจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงหรือไม่ และจำเลยที่ 1 มิได้ยกปัญหานี้ในคำแก้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ยังไม่เป็นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในที่ดินพิพาทขึ้นมาใหม่ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 5891 โจทก์ทำบันทึกข้อตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ที่ดินของโจทก์บริเวณที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญเป็นเวลา 10 ปี ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นใดในที่ดินอีก และไม่ประสงค์ยกที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณประโยชน์ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดข้อตกลง โดยจำเลยที่ 1 ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาแห่งใหม่และเข้าไปต่อเติมท่อน้ำประปาจากบ่อน้ำบาดาลในที่ดินพิพาทไปยังถังเก็บน้ำประปาแห่งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งยกเลิกบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5891 คืนที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเดิม ห้ามมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์อีก จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์อุทิศที่ดินพิพาทซึ่งก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาดังกล่าวให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันโดยปริยายแล้ว บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองจึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดข้อตกลงในบันทึกข้อตกลง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่เพียงว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาทบริเวณที่ใช้ก่อสร้างหอถังเก็บน้ำประปาเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินโดยปริยายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท พิพากษายกฟ้อง โดยไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีเจตนาอุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ เมื่อโจทก์ทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และนายประเสริฐ ซึ่งต่อมามีการเจรจาตกลงกันได้ กับโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ที่ดินของโจทก์บริเวณที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ตั้งหอถังเก็บน้ำประปาและตู้น้ำหยอดเหรียญตามบันทึกข้อตกลงขึ้น โดยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการจงใจทำให้ที่ดินของโจทก์ได้รับความเสียหายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและบังคับคดีไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย ที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแต่ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นแห่งคดีตามที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องและในคำฟ้องอุทธรณ์ต่อไปได้ว่า จำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงการใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกข้อตกลงดังกล่าว และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ได้หรือไม่ ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ไม่ผิดข้อตกลงหาเป็นการนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ


คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3126/2536 – ทางที่ประชาชนใช้ยาวนานโดยไม่หวงห้าม = อุทิศโดยปริยาย

คดีว่าด้วย “ทางพิพาท” ที่ประชาชนใช้เข้า–ออกสู่ทางสาธารณะและบ่อน้ำร่วมกันต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน โดยไม่มีเจ้าของที่ดินเดิมแสดงการหวงห้ามหรือใช้สิทธิคัดค้าน ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเพียงพอให้สันนิษฐาน “เจตนาอุทิศ” เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย แม้ไม่มีการทำหนังสือหรือจดทะเบียนยกให้ต่อเจ้าพนักงาน ตามหลักป.พ.พ. มาตรา 1304 วรรคหนึ่ง เมื่อเข้าองค์ประกอบแล้ว ทางดังกล่าวจึงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ประเด็นนี้สำคัญต่อการเทียบกับคดี 1643/2567 เพราะในคดีหลัง เจ้าของ “ไม่รู้” ว่าพื้นที่เป็นของตนจนรังวัดปี 2560 จึงไม่มีเจตนาอุทิศ ทำให้ผลต่างกัน: คดี 3126/2536 ยืนยัน “การใช้ร่วมกัน+ไม่หวงห้าม” สามารถก่อให้เกิดอุทิศโดยปริยายได้ หากพิสูจน์พฤติการณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย. 

2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998/2544 – ทางในโฉนดเดิม แต่เปิดให้คนใช้สาธารณะนานกว่า 10 ปี

เดิม “ทางพิพาท” รวมอยู่ในโฉนดที่ดินแปลงใหญ่ของเจ้าของเดิม ต่อมามีการแบ่งแยกให้บุตร และบุคคลทั่วไปได้ใช้ทางดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะต่อเนื่องยาวนานเกิน 10 ปี โดยไม่มีการหวงห้าม ศาลชี้ว่า แม้ไม่มีเอกสารอุทิศชัดแจ้ง แต่ “พฤติการณ์พร้อม” ตามมาตรา 1304 ก็เพียงพอให้ถือว่าเกิดอุทิศโดยปริยาย ทางพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ต้องจดทะเบียนยกให้ต่อเจ้าพนักงาน ข้อนี้ช่วยตอกย้ำหลักเกณฑ์มาตรา 1304 ในมิติ “พฤติการณ์และระยะเวลา” ของการใช้ร่วมกัน จุดที่ควรเทียบกับคดี 1643/2567 คือ แม้มีการใช้ร่วมกันนาน แต่หากเจ้าของ “ไม่ทราบและไม่เคยเจตนาอุทิศ” เมื่อทราบแล้วรีบคัดค้าน/ทำบันทึกข้อตกลง การอ้างอุทิศโดยปริยายอาจไม่สำเร็จ เพราะขาดองค์ประกอบเจตนาอุทิศของเจ้าของที่แท้จริง. 

3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2052/2559 – ทางในเขตโฉนดจำเลย แต่ปล่อยให้ชุมชนใช้ ~30 ปี

ข้อเท็จจริงคือ “ทางพิพาท” อยู่ในเขตโฉนดของจำเลย ทว่าเจ้าของเดิมและจำเลยอนุญาตให้ชุมชนใช้เป็นเส้นทางออกสู่สาธารณะต่อเนื่องราว 30 ปี โดยไม่หวงห้าม ศาลวินิจฉัยว่า แม้ทางจะอยู่ในโฉนดเอกชน แต่ด้วยพฤติการณ์การใช้ร่วมกันอย่างเปิดเผยและยาวนาน ประกอบการยินยอมโดยปริยายของเจ้าของ ย่อมเข้าหลัก “อุทิศโดยปริยาย” ตามมาตรา 1304 ไม่จำเป็นต้องมีหนังสือหรือจดทะเบียนยกให้ต่อเจ้าพนักงาน ผลคือทางพิพาทมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเด็นนี้เป็นกรณีศึกษาเปรียบเทียบโดยตรงกับคดี 1643/2567: ถ้าเจ้าของทราบและปล่อยให้ใช้โดยสมัครใจนานมาก โอกาสเข้าองค์ประกอบมาตรา 1304 สูงกว่ากรณีเจ้าของ “ไม่รู้ข้อเท็จจริง” และภายหลังรีบจัดทำบันทึกข้อตกลงจำกัดการใช้. 

4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2555 – อุทิศ “ด้วยวาจา” ก็เป็นได้ หากพฤติการณ์พร้อม

กรณีจำเลยอนุญาตให้สร้าง “ทางพิพาท” เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นการตกลง “ด้วยวาจา” มิได้ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนยกให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลถือว่า เมื่อพฤติการณ์โดยรวมแสดงเจตนาอุทิศ และมีการใช้เป็นสาธารณะจริง การอุทิศมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1304 ไม่ต้องมี “แบบ” พิเศษ (ยืนยันว่าการอุทิศสามารถทำได้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย) คดีนี้สำคัญต่อการทำความเข้าใจ “รูปแบบ” ของการอุทิศ: ไม่ติดที่เอกสาร แต่ติดที่เจตนาและการใช้จริง และเป็นกรณีเทียบเคียงกับคดี 1643/2567 ว่า แม้ไม่มีเอกสาร หากพิสูจน์เจตนาอุทิศของเจ้าของได้ ก็เกิดสาธารณสมบัติได้ ในทางกลับกัน หากพิสูจน์ว่าเจ้าของไม่เจตนาอุทิศ (เช่นเพิ่งทราบสิทธิและรีบคัดค้าน) ก็ไม่เข้าองค์ประกอบ. 

5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2195/2522 – “ให้สุขาภิบาล” เพื่อหาประโยชน์เฉพาะ มิใช่อุทิศเป็นสาธารณะ

กรณีเจ้าของ “ยกที่ดินตลาด/ผลไม้ (มีโฉนด)” ให้สุขาภิบาลเพื่อหาประโยชน์มาปรับปรุงท้องที่ ศาลตีความว่าเป็น “ให้แก่สุขาภิบาลโดยเฉพาะ” มิใช่ให้ประชาชนใช้ร่วมกันในลักษณะสาธารณะตามมาตรา 1304 จึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยพฤติการณ์ คำพิพากษานี้มีคุณค่าต่อการเปรียบเทียบมาก เพราะชี้เส้นแบ่งระหว่าง “ให้หน่วยงานรัฐเพื่อประโยชน์งาน/กิจการเฉพาะ” กับ “ให้เพื่อสาธารณะโดยตรง” หากเป็นกรณีแรก ไม่ใช่อุทิศตาม 1304 (ต้องดูเจตนาและวัตถุประสงค์จริง) เมื่อนำมาเทียบกับคดี 1643/2567 จะเห็นว่า การทำบันทึกข้อตกลงให้ใช้ที่ดินชั่วคราว 10 ปี พร้อมเงื่อนไขห้ามก่อสร้าง และเจ้าของยืนยัน “ไม่ประสงค์ยกเป็นสาธารณะ” ชี้ชัดเจตนาว่าไม่ใช่อุทิศเพื่อสาธารณะตามมาตรา 1304.  




ทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์

ฎีกาที่ 5023 - 5025/2567: สมาชิกนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรต้องชำระค่าส่วนกลาง แม้ได้กรรมสิทธิ์จากการยึดทรัพย์คดียาเสพติด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6721/2554 : สิทธิฟ้องเพิกถอนโอนที่ดิน รังวัดรุกล้ำแนวเขต และการนับอายุความฟ้องคดีที่ดิน
สิทธิของบุคคลต่างด้าวในที่ดิน, การครอบครองที่ดินและสิทธิในกรรมสิทธิ์
ฟ้องขับไล่และกรรมสิทธิ์ที่ดิน, การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ,
กรรมสิทธิ์รวมและสินสมรส-ทรัพย์สินที่ได้มาก่อนและหลังจดทะเบียนสมรส
หนังสือยินยอมคู่สมรสปลอม , ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
ทรัพย์สินระหว่างสามคนผัวเมีย-เจ้าของรวม-สมรสซ้อน
เงินในบัญชีร่วมกันทำมาหากินไม่ได้จดทะเบียนสมรส
การแจ้งความเท็จโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน
ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตายอาจไม่ใช่เจ้าของรวมเสมอไป
เจ้าของรวมจะเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้
โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิด หรือคาดหมาย
ปลูกสร้างอาคารสูงปิดบังช่องแสงและทิศทางลม ความเสียหายเดือดร้อนเกินควร ละเมิด
ความเสียหายเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมาย
เพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไป
ไม่มีบทบัญญัติห้ามลงชื่อเจ้าของรวมไว้ในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์
สิทธิยื่นใบเบิกเงินและรับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร
สิทธิเหนือพื้นดินคืออะไร
การได้ที่ดินของคนต่างด้าวโดยภรรยาคนไทยถือกรรมสิทธิ์แทน
เพิกถอนนิติกรรมในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมใช้สิทธิติดตามเอาคืน
เรียกโฉนดที่ดินคืนจากเจ้าหนี้เงินกู้ยืม โฉนดที่ดินเป็นประกันเงินกู้
เจ้าของรวมทำพินัยกรรมจำหน่ายส่วนของตน ความยินยอมจากภริยา
ก่อสร้างสะพานลอยคนข้ามทำให้ได้รับความเดือดร้อนขอให้รื้อถอนสะพาน
สิทธิที่จะเรียกให้แบ่งที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของรวม แม้มีข้อตกลงห้ามแบ่งแยก
สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล แม้เจ้าหนี้ยังมิได้ฟ้องลูกหนี้
กรรมสิทธิ์รวมแม้ซื้อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ไม่มีผลผูกพัน