สิทธิของบุคคลต่างด้าวในที่ดิน, การครอบครองที่ดินและสิทธิในกรรมสิทธิ์
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 900/2567 • ข้อพิพาทที่ดินและบ้านพิพาท • การฟ้องแย้งในคดีแพ่ง • ป.วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 • สิทธิของบุคคลต่างด้าวในที่ดิน • คดีข้อพิพาทที่ดินร่วมลงทุน • การครอบครองที่ดินและสิทธิในกรรมสิทธิ์ สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2567 ได้ดังนี้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและบ้านพิพาทและส่งมอบคืนให้โจทก์ จำเลยอ้างว่าเป็นบุคคลต่างด้าวที่ร่วมลงทุนทำธุรกิจกับโจทก์และอยู่กินฉันสามีภริยา โดยใช้เงินร่วมกันซื้อที่ดินและบ้านพิพาท แต่ให้โจทก์เป็นผู้ถือชื่อในโฉนดเพราะจำเลยเป็นคนต่างด้าว หลังเกิดความขัดแย้ง โจทก์ตกลงยกที่ดินและบ้านให้จำเลยแต่ไม่สามารถโอนชื่อได้ จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนโฉนด ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยเนื่องจากมีผลกระทบต่อบุคคลภายนอก ศาลอุทธรณ์รับฟ้องแย้งและให้หมายเรียกบุคคลภายนอกเข้าร่วม ศาลฎีกาพิจารณาว่าฟ้องแย้งที่ขอคืนโฉนดเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมและมีเหตุผลในการพิจารณา จึงพิพากษาให้รับฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม มีดังนี้: มาตรา 177 วรรคสาม: บัญญัติว่า "การฟ้องแย้งที่เกี่ยวพันกับฟ้องเดิมโดยมูลเหตุแห่งข้อพิพาทเดียวกันหรือการฟ้องแย้งที่อาจทำให้ศาลพิพากษาหรือสั่งในคำฟ้องเดิมได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น ให้ศาลรับพิจารณาและพิพากษาไปในคดีเดียวกันกับฟ้องเดิมนั้น" หลักกฎหมายนี้มีความสำคัญในการเปิดโอกาสให้จำเลยสามารถฟ้องแย้งเพื่อต่อสู้แก้ต่างฟ้องของโจทก์ได้ หากฟ้องแย้งนั้นเกี่ยวข้องกับมูลเหตุหรือข้อเท็จจริงเดียวกันกับฟ้องเดิม หรือมีผลต่อการพิจารณาและการตัดสินคดีหลักโดยสมบูรณ์ขึ้น การยอมรับฟ้องแย้งช่วยให้การพิจารณาคดีมีความครอบคลุมและเป็นธรรม ลดการดำเนินคดีแยกต่างหากที่อาจทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและเสียเวลา ในบทความของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2567 ศาลฎีกาพิจารณาว่าฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาทนั้นเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยออกจากที่ดิน การที่ศาลยอมรับฟ้องแย้งนี้ไว้พิจารณาจึงสอดคล้องกับหลักตามมาตรา 177 วรรคสาม เพื่อให้การพิจารณาและคำพิพากษาครอบคลุมและสมบูรณ์. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2567 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาท อนุญาตให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทน ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าว เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รู้จักและคบหาโจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยร่วมลงทุนทำธุรกิจ และอยู่กินฉันสามีภริยาและลงทุนทำธุรกิจร่วมกันตลอดมา โดยอยู่อาศัยร่วมกันที่บ้านเช่าของจำเลยแล้วร่วมกันซื้อที่ดินและบ้านพิพาทโดยใช้เงินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน แต่จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าว จึงตกลงให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อในที่ดินและบ้านพิพาท หลังจากนั้นโจทก์กระทำการอันเป็นความผิดร้ายแรงต่อจำเลยและบุตรสาวเป็นเหตุให้โจทก์และจำเลยไม่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปได้ จำเลยให้โจทก์ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท ก่อนที่โจทก์จะย้ายออก โจทก์บอกว่าโจทก์ยกที่ดินและบ้านพิพาทในส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยเพื่อเป็นการชดเชยกับสิ่งที่โจทก์ทำกับจำเลยและบุตรสาว แต่จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าว ไม่สามารถจดทะเบียนมีชื่อในโฉนดที่ดินโดยยังไม่ได้รับอนุญาต โฉนดที่ดินจึงยังเป็นชื่อของโจทก์ โดยจำเลยครอบครองอยู่อาศัยอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวตลอดมา คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาท หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาท ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาทแก่จำเลย มิใช่ขอให้ส่งมอบแก่เด็กหญิง ก. จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ส่วนในภายหน้าจำเลยจะยกที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลใดย่อมเป็นสิทธิส่วนตัวของจำเลย ชอบที่จะต้องรับฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้ไว้พิจารณาพิพากษา
***คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 150461 และสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 38/5 และส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารและส่งมอบทรัพย์สินคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ *จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 150461 และสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 38/5 ซึ่งเป็นที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับนายกานต์ ให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่เด็กหญิงกาปีตาลีน่าภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากโจทก์ไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทแก่จำเลยเพื่อส่งมอบแก่เด็กหญิงกาปีตาลีน่าภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากโจทก์ไม่ดำเนินการขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทแก่เด็กหญิงกาปีตาลีน่า และให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าชำระเสร็จแก่จำเลย *ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนให้ที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และนายกานต์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี จากนั้นให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทและส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทแก่เด็กหญิงกาปีตาลีน่า เป็นฟ้องแย้งที่มีผลกระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอก และไม่ปรากฏว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์หรือหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไรกับเด็กหญิงกาปีตาลีน่า จึงเป็นฟ้องแย้งที่ไม่อาจบังคับได้ ส่วนค่าเสียหายเป็นการอ้างมูลเหตุการกระทำของโจทก์ที่โอนที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลภายนอก อันเป็นมูลเหตุคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยยังไม่ได้ชำระค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้ง จึงไม่มีค่าขึ้นศาลต้องสั่งคืน *จำเลยอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนให้ที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับนายกานต์ ให้หมายเรียกนายกานต์เข้ามาเป็นคู่ความในคดีร่วมกับโจทก์แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ *จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบิดาของโจทก์ร่วม โจทก์เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 150461 พร้อมบ้านเลขที่ 38/5 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 โจทก์จดทะเบียนการให้แก่โจทก์ร่วม *มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประเด็นเดียวว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาทแก่จำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาท อนุญาตให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ต่อมาโจทก์ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้านพิพาท จึงแจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย ส่วนจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าว สัญชาติรัสเซีย เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเดือนมีนาคม 2533 รู้จักและคบหาโจทก์ ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม 2533 โจทก์และจำเลยร่วมลงทุนทำธุรกิจ และตั้งแต่ปี 2533 ถึงปี 2545 โจทก์และจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาและลงทุนทำธุรกิจร่วมกันตลอดมา โดยอยู่อาศัยร่วมกันที่บ้านเช่าของจำเลย และวันที่ 21 พฤษภาคม 2539 ร่วมกันซื้อที่ดินและบ้านพิพาทโดยใช้เงินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน แต่จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าว จึงตกลงให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อในที่ดินและบ้านพิพาท จากนั้นเดือนตุลาคม 2545 โจทก์กระทำการอันเป็นความผิดร้ายแรงต่อจำเลยและบุตรสาวเป็นเหตุให้โจทก์และจำเลยไม่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปได้ และจำเลยให้โจทก์ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท ก่อนที่โจทก์จะย้ายออก โจทก์บอกจำเลยว่าโจทก์ยกที่ดินและบ้านพิพาทในส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยเพื่อเป็นการชดเชยกับสิ่งที่โจทก์ทำกับจำเลยและบุตรสาว แต่จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าว ไม่สามารถจดทะเบียนมีชื่อในโฉนดที่ดินโดยยังไม่ได้รับอนุญาต โฉนดที่ดินจึงยังเป็นชื่อของโจทก์ แต่จำเลยครอบครองอยู่อาศัยอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวตลอดมา คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาท หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาท ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาทแก่จำเลย มิใช่ขอให้ส่งมอบแก่เด็กหญิงกาปีตาลีน่า จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ส่วนในภายหน้าจำเลยจะยกที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลใดย่อมเป็นสิทธิส่วนตัวของจำเลย ชอบที่จะต้องรับฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้ไว้พิจารณาพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น *พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินพิพาทแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตัวอย่างร่างคำฟ้องคดีแพ่งตามรูปแบบกฎหมายไทยที่อิงจากข้อเท็จจริงในคำพิพากษาศาลฎีกา สามารถใช้เป็นแนวทางได้ดังนี้: คำฟ้องคดีแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ .../... ระหว่าง โจทก์: นาย ก. จำเลย: นาง ข. บรรยายฟ้อง ข้อ 1: โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 150461 และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน บ้านเลขที่ 38/5 ซึ่งโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าว เข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทน ข้อ 2: ต่อมาโจทก์ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้านพิพาท จึงได้แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและบ้านดังกล่าว แต่จำเลยไม่ดำเนินการใด ๆ โจทก์จึงต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับ คำขอท้ายคำฟ้อง ด้วยเหตุนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาดังนี้: 1.บังคับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและบ้านเลขที่ 38/5 และส่งมอบที่ดินและบ้านพิพาทคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี 2.ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินและบ้านพิพาทเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบคืนในสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ 3.ให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความแก่โจทก์ ลงชื่อ (ทนายความโจทก์) วัน เดือน ปี หมายเหตุ: ร่างคำฟ้องนี้เป็นเพียงแนวทางที่ช่วยในการศึกษาและทำความเข้าใจเท่านั้น นักศึกษากฎหมายและทนายความควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้งานในคดีจริง |