
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5307/2567: เวลาพักในรถบรรทุกไม่ใช่เวลาทำงานตามกฎหมายแรงงาน
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทแรงงานระหว่างพนักงานขับรถบรรทุกกับนายจ้าง เกี่ยวกับสิทธิการนับเวลาพักในรถบรรทุกขณะคู่กะขับรถเป็นเวลาทำงานเพื่อคำนวณค่าล่วงเวลา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เวลาดังกล่าวไม่ถือเป็นเวลาทำงาน ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธินำมาคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ ยกเว้นกรณีที่ต้องขับแทนจนเกิน 8 ชั่วโมง ทั้งนี้ยังมีการวิเคราะห์หลักเกณฑ์การคำนวณค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน
สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์เป็นพนักงานขับรถบรรทุก รับหน้าที่ขนส่งแร่ทองแดงจาก สปป.ลาว กลับไทยผ่านด่านหนองคาย • ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและค่าเที่ยวตามผลงาน • ทำงานร่วมกับพนักงานขับรถคู่กะ โดยสลับกันขับวันละ 6–8 ชั่วโมง • เวลาพักในรถบรรทุกระหว่างที่คู่กะขับ โจทก์ไม่ได้ขับรถ แต่ต้องอยู่ในรถ • โจทก์ฟ้องเรียกค่าล่วงเวลา ค่าทำงานวันหยุด ค่าชดเชย และค่าเที่ยวย้อนหลัง • ศาลแรงงานภาค 2 และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีความเห็นต่างกันเรื่องการนับเวลาพักในรถ • ประเด็นในฎีกาคือ เวลาพักในรถควรนับเป็นเวลาทำงานหรือไม่
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า 1. ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 o เวลาทำงานปกติของพนักงานขับรถบรรทุกไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง o ทำงานล่วงเวลาได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมงโดยความยินยอม 2. เวลาที่โจทก์พักในรถขณะคู่กะขับ ไม่ถือเป็นเวลาทำงาน เพราะไม่มีการปฏิบัติงานจริง 3. หากคู่กะไม่สามารถขับได้และโจทก์ต้องขับแทนจนเกิน 8 ชั่วโมง โจทก์มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามชั่วโมงจริง 4. การนับเวลาพักเป็นเวลาทำงานจะทำให้เกินชั่วโมงที่กฎหมายกำหนดโดยไม่เป็นการทำงานจริง 5. ศาลจึงพิพากษาแก้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำเวลาพักในรถมาเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลา
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • หลักการตีความเวลาทำงาน: เวลาทำงานต้องเป็นช่วงที่ลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่จริง ไม่รวมเวลาพักที่แม้จะอยู่ในสถานที่ทำงานแต่ไม่มีการปฏิบัติงาน • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ข้อ 2, ข้อ 3, และ ข้อ 6 ซึ่งจำกัดชั่วโมงทำงานและกำหนดการจ่ายค่าล่วงเวลา • เหตุผลด้านสวัสดิภาพและความปลอดภัย: การจำกัดชั่วโมงขับรถเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและรักษาสุขภาพลูกจ้าง • ความแตกต่างจากงานประเภทอื่น: งานขนส่งทางบกมีลักษณะพิเศษ การอยู่ในรถไม่ได้หมายความว่าทำงานตลอดเวลา
IRAC Analysis Issue เวลาพักของพนักงานขับรถบรรทุกขณะคู่กะขับรถ ถือเป็นเวลาทำงานตามกฎหมายแรงงานหรือไม่ และสามารถนำมาคำนวณค่าล่วงเวลาได้หรือไม่ Rule • กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 o เวลาทำงานปกติ: ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง o ล่วงเวลา: ได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมงโดยความยินยอม o ค่าล่วงเวลา: จ่ายตามอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงของวันทำงาน • หลักการตีความ "เวลาทำงาน" ต้องมีการปฏิบัติงานจริง Application • โจทก์สลับขับกับคู่กะ ทำงานจริง 6–8 ชั่วโมงต่อวัน • เวลาพักในรถแม้ไม่มีอิสระเต็มที่ แต่ไม่ใช่การปฏิบัติงาน • หากต้องขับแทนจนเกิน 8 ชั่วโมง จึงมีสิทธิค่าล่วงเวลาตามจริง • การนับเวลาพักเป็นเวลาทำงานจะขัดเจตนารมณ์กฎหมายที่จำกัดชั่วโมงทำงาน Conclusion เวลาพักในรถขณะคู่กะขับรถไม่ใช่เวลาทำงาน ลูกจ้างไม่มีสิทธินำมาคำนวณค่าล่วงเวลา ยกเว้นกรณีขับแทนจนเกินเวลาทำงานปกติ
ข้อคิดทางกฎหมาย • เวลาทำงานตามกฎหมายต้องเป็นช่วงที่มีการทำงานจริง • ในงานขนส่งทางบก เวลาพักแม้อยู่ในรถไม่ถือเป็นเวลาทำงาน เว้นแต่ต้องขับแทน • การคำนวณค่าล่วงเวลาต้องยึดหลักเกณฑ์กฎหมายและข้อเท็จจริงของการทำงาน
สรุปภาษาอังกฤษ The Supreme Court Judgment No. 5307/2567 addresses whether rest time in a truck, while a co-driver is driving, counts as working hours for calculating overtime pay. The Court ruled it does not qualify as working time unless the driver has to take over and drive beyond the regular 8-hour limit. This decision clarifies the calculation of wages and overtime under Thailand’s labor law, particularly for long-haul transport workers.
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นพนักงานขับรถบรรทุกขนส่งแร่ทองแดงจาก สปป.ลาว กลับไทย ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและค่าเที่ยวตามผลงาน ทำงานคู่กับพนักงานขับรถอีกคน สลับกันขับวันละ 6–8 ชั่วโมง เวลาที่โจทก์พักอยู่ในรถระหว่างคู่กะขับ แม้ไม่มีอิสระเต็มที่ แต่ไม่ใช่การปฏิบัติงานจริง จึงไม่นับเป็นเวลาทำงานตามกฎหมาย เว้นแต่ต้องขับแทนจนเกิน 8 ชั่วโมง จึงจะมีสิทธิค่าล่วงเวลาตามจริง ศาลเห็นว่าการนับเวลาพักทั้งหมดเป็นเวลาทำงานจะขัดเจตนารมณ์กฎหมายที่จำกัดชั่วโมงทำงานเพื่อความปลอดภัย พิพากษาแก้ว่า เวลาดังกล่าวไม่นำมาคำนวณค่าล่วงเวลา ยกเว้นกรณีปฏิบัติงานจริงเกินเวลาปกติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5307/2567 โจทก์เป็นพนักงานขับรถบรรทุกมีหน้าที่ขับรถบรรทุกไปรับแร่ทองแดงที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้วกลับมายังประเทศไทยผ่านด่านชายแดนจังหวัดหนองคาย โจทก์จึงเป็นลูกจ้างในงานขนส่งทางบก ซึ่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 2 กำหนดว่า "ให้นายจ้างกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานปกติของลูกจ้างในงานขนส่งทางบกวันหนึ่งไม่เกินแปดชั่วโมง" ข้อ 3 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะทำงานล่วงเวลาเว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกจ้าง" และวรรคสอง กำหนดว่า "ในกรณีที่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างตามวรรคหนึ่งแล้ว นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้วันหนึ่งไม่เกินสองชั่วโมง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันเกิดจากเหตุสุดวิสัย อุบัติเหตุหรือปัญหาการจราจร" และข้อ 6 กำหนดว่า "ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างในงานขนส่งทางบกทำงานล่วงเวลา ในวันทำงานและทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ เว้นแต่นายจ้างตกลงจ่ายค่าล่วงเวลาหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างดังกล่าว" ดังนั้น งานขนส่งทางบกจึงมีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาการทำงาน โดยลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะในงานขนส่งทางบกมีเวลาทำงานปกติไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง และนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาโดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง ในกรณีนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาเกินวันละ 2 ชั่วโมง แม้จะไม่ชอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 3 วรรคสอง แต่เมื่อลูกจ้างยินยอมทำงานล่วงเวลาเกินวันละ 2 ชั่วโมง ลูกจ้างก็ย่อมมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำทุกชั่วโมง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่างานที่โจทก์ต้องปฏิบัติให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานคือการขับรถบรรทุกสินค้า โดยจำเลยจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและค่าเที่ยวให้แก่โจทก์ ในส่วนของเงินค่าเที่ยวเป็นการจ่ายตามผลงานที่โจทก์ทำได้ และจ่ายให้เป็นรายเที่ยวในลักษณะเป็นหน่วยการทำงานในแต่ละหน่วย ในการปฏิบัติหน้าที่งานขนส่ง โจทก์จะเดินทางไปและกลับพร้อมกับพนักงานขับรถคู่กะ พนักงานขับรถคนใดเป็นผู้ทำหน้าที่ขับรถบรรทุกจะต้องนำใบขับขี่ของตนไปรูดที่เครื่องรูดบัตรประจำรถก่อน เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลประจำรถ การทำงานของโจทก์มีเวลาสิ้นสุดที่ไม่แน่นอน จำเลยจึงจัดให้มีระเบียบว่าด้วยการทำงานของพนักงานขับรถบรรทุกหรือนโยบายความเหนื่อยล้าจากการขับรถ ที่กล่าวถึงการนำกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ดังกล่าว มาใช้ในการทำงาน การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์กับพนักงานขับรถคู่กะจะสลับกันขับรถบรรทุกตลอดเส้นทาง แสดงให้เห็นว่าจำเลยกำหนดให้มีพนักงานขับรถบรรทุกสองคนประจำรถบรรทุกแต่ละคันเพื่อมิให้การทำงานขับรถขนส่งสินค้าทางไกลของลูกจ้างแต่ละคนเกินระยะเวลาการทำงานตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อคำนึงถึงการจ่ายค่าจ้างประเภทค่าเที่ยว การบันทึกข้อมูลของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติหน้าที่ ประกอบข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาทำงานของลูกจ้างในงานขนส่งทางบกแล้ว งานขับรถของโจทก์ย่อมเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถบรรทุกในช่วงเวลาที่ตนรับผิดชอบเท่านั้น เพราะหากนับระยะเวลาที่โจทก์อยู่ในรถบรรทุกตลอดเวลารวมกันโดยไม่พิจารณาว่าโจทก์ขับรถบรรทุกจริงในช่วงเวลาใดแล้ว จะทำให้การนับระยะเวลาการทำงานของโจทก์หรือพนักงานขับรถทุกคนเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดทั้งที่ไม่มีการปฏิบัติงานจริงแต่อย่างใด แม้โจทก์ต้องพักอยู่ในรถบรรทุกในระหว่างที่พนักงานขับรถคู่กะกำลังปฏิบัติหน้าที่ขับรถอาจทำให้โจทก์ขาดความสะดวกสบายหรือไม่มีอิสระไปบ้าง แต่ก็เป็นเพราะลักษณะหรือสภาพของงานขนส่งทางบกซึ่งมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาการทำงานตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษแตกต่างจากการจ้างแรงงานในประเภทอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อมิให้ลูกจ้างต้องขับรถทางไกลเป็นระยะเวลานานติดต่อกันจนกระทบต่อสวัสดิภาพของลูกจ้างเอง ตลอดจนเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน แต่อย่างไรก็ดี ในกรณีที่พนักงานขับรถคู่กะของโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้และโจทก์ต้องขับรถบรรทุกแทนจนเกิน 8 ชั่วโมง โจทก์ก็ชอบที่จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติได้ตามความจริง ดังนั้น เวลาที่โจทก์พักในรถบรรทุกโดยไม่ได้ทำหน้าที่ขับรถบรรทุกจึงไม่เป็นการทำงานให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่สามารถนำเวลาที่โจทก์มิได้ขับรถบรรทุกมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเที่ยวย้อนหลัง 6 เดือน คือเดือนกันยายน 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 รวมเป็นเงิน 95,635 บาท ค่าล่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2561 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 จำนวน 5,416 ชั่วโมง เป็นเงิน 693,503 บาท ค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2561 ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 รวม 30 วัน จำนวน 443 ชั่วโมง เป็นเงิน 58,053 บาท ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 188,553.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มอีกร้อยละ 15 ทุกระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษาว่าให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ และค่าทำงานล่วงเวลาเป็นเงิน 251,146.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 73,953.96 บาท นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 และของต้นเงิน 177,192.23 บาท นับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2 ในประเด็นว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงาน และค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โดยให้ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างโดยรวมค่าเที่ยวซึ่งเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างโดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของแต่ละวันทำงานเป็นอัตราชั่วโมงละเท่าใด โจทก์ทำงานแต่ละวันเกินเวลาทำงานปกติหรือไม่ กี่ชั่วโมง มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในแต่ละวันทำงานหรือไม่ เพียงใด จำเลยต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานเพิ่มเติมให้แก่โจทก์อีกหรือไม่ เพียงใด ให้คำนวณค่าชดเชยจากเงินเดือนสุดท้ายรวมค่าเที่ยวส่วนที่เป็นค่าจ้างตามผลงานในเวลาทำงานปกติ 180 วันทำงานย้อนหลังนับแต่วันเลิกจ้าง และให้รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในส่วนค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ แล้วให้ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษาในประเด็นดังกล่าวใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2 จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงและปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันว่า บริษัท ภ. ทำสัญญาจ้างจำเลยให้เป็นผู้ขนส่งแร่ทองแดงจากเหมืองในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกลับมายังประเทศไทยเพื่อส่งมอบแก่บริษัท ภ. ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 ตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก ประจำหน่วยงานบริษัท ภ. ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีหน้าที่ขับรถบรรทุกไปรับแร่ทองแดงที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกลับมายังประเทศไทย ผ่านด่านชายแดนจังหวัดหนองคาย ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,514.74 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 28 ของเดือน นอกจากเงินเดือนแล้วโจทก์ยังได้รับค่าเที่ยว ค่าขับรถไปให้พนักงานล้าง ค่าคลุมผ้าใบ และค่าพักรอในกรณีต่าง ๆ วันที่ 27 มกราคม 2563 จำเลยเลิกจ้างโจทก์และให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์แล้ว 87,088.44 บาท แล้ววินิจฉัยว่า การเลิกจ้างของจำเลยไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เวลาที่โจทก์อยู่ในรถบรรทุกโดยไม่ได้ขับแต่มีพนักงานขับรถคู่กะเป็นผู้ขับ และเวลาที่โจทก์รออยู่ที่บ้านพักจังหวัดหนองคายเป็นเวลาทำงานและเวลาพักรวมอยู่ด้วยกัน เพื่อให้เวลาทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานเป็นไปโดยเหมาะสมและเป็นธรรม จึงให้หักจำนวนชั่วโมงทำงานล่วงเวลา 5,414 ชั่วโมง ออกไปจำนวนครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสอง คงเป็นเวลาทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงาน 2,707 ชั่วโมง ค่าตอบแทนที่เรียกว่าค่าเที่ยวตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวดที่ 5 ข้อ 5.1 ใช้บังคับกับโจทก์ไม่ได้ ค่าเที่ยว ค่าขับรถไปให้พนักงานล้าง และค่าคลุมผ้าใบเป็นการจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานถือเป็นค่าจ้าง ส่วนค่าพักรอที่จังหวัดหนองคายเป็นสวัสดิการในระหว่างรอไม่ใช่ค่าจ้าง ค่าจ้างของโจทก์คิดจากเงินเดือน รวมกับค่าเที่ยว ค่าคลุมผ้าใบ และค่าขับรถไปให้พนักงานล้าง แต่ไม่อาจกำหนดได้โดยแน่นอนเนื่องจากในแต่ละเดือนมีจำนวนไม่เท่ากัน จึงหาค่าเฉลี่ยแล้วเป็นค่าจ้าง 26,840.57 บาท ต่อเดือน หรือคิดเป็นรายวันได้วันละ 894.68 บาท โจทก์ทำงานติดต่อกันเกินกว่า 3 ปี แต่ยังไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยในค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 161,042.40 บาท จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์บางส่วนจำนวน 87,088.44 บาท คงเหลือค่าชดเชยค้างจ่าย 73,953.96 บาท โจทก์ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงาน 167,139.79 บาท จำเลยจ่ายค่าเที่ยวย้อนหลังรวม 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 รวมเป็นเงิน 95,635 บาท ครบถ้วนแล้ว โจทก์ควรได้วันหยุดประจำสัปดาห์ในเดือนมกราคม 2563 เพิ่มอีก 1 วัน และเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เพิ่มอีก 1 วัน รวมเป็น 2 วัน และมีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ 3,578.56 บาท เห็นควรกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันหยุด 2 วัน ให้แก่โจทก์ในอัตราเท่ากับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานจำนวน 6,473.88 บาท เพื่อความเป็นธรรม จำเลยต้องรับผิดค่าชดเชยส่วนที่ขาด ค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ และค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานและค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันหยุด พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ค่าขับรถไปให้พนักงานล้างและค่าคลุมผ้าใบไม่เป็นค่าจ้าง ขณะที่พนักงานขับรถคู่กะเป็นผู้ขับรถ โจทก์พักอยู่ในรถแต่ไม่มีความเป็นอิสระที่จะไปทำอย่างอื่นได้ หากมีกรณีเหตุจำเป็นที่คู่กะไม่สามารถขับรถต่อได้ โจทก์ก็สามารถเปลี่ยนเป็นผู้ขับรถได้ทันทีซึ่งเป็นประโยชน์แก่จำเลยโดยตรง จึงเป็นการทำงานให้แก่จำเลยมิใช่เวลาพัก โจทก์จึงสามารถนำเวลาที่โจทก์มิได้ขับรถและพักอยู่ในรถขณะที่คู่กะเป็นผู้ขับรถมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติได้ ส่วนเวลาที่โจทก์รออยู่ที่บ้านพักจังหวัดหนองคายนั้นมิใช่การทำงานให้แก่นายจ้าง ไม่มีสิทธินำเวลาดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะในงานขนส่งทางบกมีเวลาทำงานปกติไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง เมื่อโจทก์ขับรถใช้เวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมง เงินค่าเที่ยวที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง หากโจทก์ขับรถใช้เวลามากกว่า 8 ชั่วโมง ระยะเวลาการขับรถในส่วนที่เกิน 8 ชั่วโมง โจทก์มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 6 โดยอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงดังเช่นกรณีนี้ ต้องถือเกณฑ์ค่าจ้างทั้งส่วนที่เป็นเงินเดือนและส่วนที่เป็นค่าเที่ยวเฉลี่ยต่อชั่วโมงรวมกันเท่านั้น โดยคำนวณจากเงินเดือนหารด้วย 30 แล้วหารด้วย 8 อีกครั้งหนึ่ง จะเป็นอัตราค่าจ้างในส่วนของเงินเดือนเฉลี่ยต่อชั่วโมง ส่วนค่าเที่ยวให้หารด้วยจำนวนชั่วโมงทำงานในเที่ยวนั้น โดยใช้ทั้งเวลาที่เป็นผู้ขับรถและเวลาที่พักอยู่ในรถขณะพนักงานขับรถคู่กะเป็นผู้ขับรถ จะเป็นอัตราค่าเที่ยวต่อชั่วโมงของวันนั้น ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างส่วนที่เป็นค่าเที่ยวเท่ากับอัตราค่าเที่ยวต่อชั่วโมงคูณด้วย 8 ชั่วโมง เมื่อนำค่าจ้างในส่วนของเงินเดือนเฉลี่ยต่อชั่วโมงกับค่าจ้างตามผลงานคือค่าเที่ยวต่อชั่วโมงของวันทำงานนั้นมารวมกันก็จะได้ฐานอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงของวันทำงานนั้น ซึ่งค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในแต่ละวันทำงานจะเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงของวันทำงานนั้นคูณด้วยจำนวนชั่วโมงที่ทำงานเกินกว่า 8 ชั่วโมง หากได้คำนวณตามวิธีการข้างต้นแล้ว เมื่อหักค่าเที่ยวที่เป็นค่าจ้างตามผลงานออกแล้ว คงเหลือค่าเที่ยวที่เป็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานซึ่งโจทก์ได้รับไปแล้วเป็นเงินน้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 6 เพียงใด โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานเพิ่มเติมให้ครบถ้วนตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว โดยถ้าวันทำงานนั้นมีชั่วโมงทำงานไม่เกินเวลาทำงานปกติ 8 ชั่วโมง ค่าเที่ยวที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ในวันนั้นก็จะถือเป็นค่าจ้างตามผลงานสำหรับการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานนั้นทั้งจำนวน ดังนั้น หากโจทก์ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ ค่าเที่ยวที่จำเลยจ่ายจึงเป็นค่าจ้างตามผลงานในเวลาทำงานปกติและค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติปะปนอยู่ด้วยกัน วิธีคำนวณการหาเวลาทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานของศาลแรงงานภาค 2 ไม่ชอบเพราะเป็นการกำหนดให้แตกต่างไปจากความเป็นจริง ค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน ย้อนหลังขึ้นไปนับแต่วันเลิกจ้าง ศาลแรงงานภาค 2 จึงไม่อาจนำค่าจ้างส่วนที่เป็นค่าเที่ยวแบบค่าเฉลี่ยเป็นรายเดือนและรายวันที่เท่ากันทุกวันมาคำนวณเป็นค่าชดเชยได้ แต่ต้องคำนวณค่าชดเชยจากเงินเดือนสุดท้ายของโจทก์รวมค่าเที่ยวที่เป็นค่าจ้างตามผลงานในเวลาทำงานปกติของแต่ละวันทำงานเพื่อเป็นฐานค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วันทำงานย้อนหลัง ซึ่งหากเป็นเงินมากกว่า 87,088.44 บาท ที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ไปแล้วเท่าใดจำเลยก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ครบถ้วนแก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยว่าโจทก์ได้ทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ 2 วัน และมีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ 3,578.56 บาท เป็นการชี้ขาดตัดสินคดีนอกฟ้องนอกประเด็น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการเดียวว่า เวลาที่โจทก์พักอยู่ในรถบรรทุกโดยไม่ได้ขับรถ เป็นเวลาทำงานหรือไม่ และต้องนำเวลาดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยจ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์เป็นเงินเดือนและค่าเที่ยว โดยค่าเที่ยวเป็นการจ่ายตามผลงานที่คำนวณตามระยะทางไปส่งสินค้าและระยะเวลาในการขับรถบรรทุก และจำเลยจ่ายให้โจทก์เป็นรายเที่ยว โดยใช้เวลาขับรถของโจทก์มาเป็นฐานในการคำนวณ มิได้นำเวลาที่พนักงานขับรถคู่กะของโจทก์เป็นผู้ขับ โดยโจทก์อยู่ในรถแต่ไม่ได้ขับมาเป็นฐานในการคำนวณด้วย ซึ่งเป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446 - 2528/2564 โจทก์กับพนักงานขับรถคู่กะทำหน้าที่ขับรถบรรทุกโดยสลับกันขับรถคนละ 8 ชั่วโมง เรื่อยไปตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางทั้งขาไปและขากลับ ภายในรถบรรทุกมีที่นอนหลังที่นั่งคนขับสามารถพักผ่อนหลับได้ หากนับเวลาพักในรถเป็นเวลาทำงานปกติและทำงานล่วงเวลา จะเท่ากับโจทก์กับพนักงานขับรถคู่กะใช้เวลาขับรถคนละ 16 ชั่วโมง ซึ่งไม่สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจขนส่งที่แตกต่างจากงานทั่วไป และขัดเจตนารมณ์ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 นอกจากนั้น ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2563 - 2565/2552 ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า นายจ้างอาจจัดสถานที่พักให้แก่ลูกจ้างได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งพิจารณาจากสถานที่ ลักษณะการทำงาน และจำนวนลูกจ้าง ดังนั้น เมื่อธุรกิจขนส่งทางบกของจำเลยก็มีลักษณะเฉพาะตัว ที่พนักงานขับรถไม่สามารถพักด้วยการออกจากรถบรรทุกที่ขับได้ การพักในรถจึงควรถือเป็นเวลาพักที่ชอบเช่นกัน หากโจทก์จะต้องทำหน้าที่ขับรถในกรณีฉุกเฉินนอกเหนือจากเวลาทำงานปกติของโจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา ดังนั้น เวลาที่โจทก์อยู่ในรถบรรทุก แต่ไม่ได้ขับรถ จึงไม่ใช่เวลาทำงาน โจทก์ไม่มีสิทธินำเวลาดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ เห็นว่า โจทก์เป็นพนักงานขับรถบรรทุกมีหน้าที่ขับรถบรรทุกไปรับแร่ทองแดงที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้วกลับมายังประเทศไทยผ่านด่านชายแดนจังหวัดหนองคาย โจทก์จึงเป็นลูกจ้างในงานขนส่งทางบก ซึ่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 2 กำหนดว่า "ให้นายจ้างกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานปกติของลูกจ้างในงานขนส่งทางบกวันหนึ่งไม่เกินแปดชั่วโมง" ข้อ 3 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะทำงานล่วงเวลาเว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกจ้าง" และวรรคสอง กำหนดว่า "ในกรณีที่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างตามวรรคหนึ่งแล้ว นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้วันหนึ่งไม่เกินสองชั่วโมง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันเกิดจากเหตุสุดวิสัย อุบัติเหตุหรือปัญหาการจราจร" และข้อ 6 กำหนดว่า "ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างในงานขนส่งทางบกทำงานล่วงเวลา ในวันทำงานและทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ เว้นแต่นายจ้างตกลงจ่ายค่าล่วงเวลาหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างดังกล่าว" ดังนั้น งานขนส่งทางบกจึงมีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาการทำงาน โดยลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะในงานขนส่งทางบกมีเวลาทำงานปกติไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง และนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาโดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง ในกรณีนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาเกินวันละ 2 ชั่วโมง แม้จะไม่ชอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 3 วรรคสอง แต่เมื่อลูกจ้างยินยอมทำงานล่วงเวลาเกินวันละ 2 ชั่วโมง ลูกจ้างก็ย่อมมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำทุกชั่วโมง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่างานที่โจทก์ต้องปฏิบัติให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานคือการขับรถบรรทุกสินค้า โดยจำเลยจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและค่าเที่ยวให้แก่โจทก์ ในส่วนของเงินค่าเที่ยวเป็นการจ่ายตามผลงานที่โจทก์ทำได้ และจ่ายให้เป็นรายเที่ยวในลักษณะเป็นหน่วยการทำงานในแต่ละหน่วย ในการปฏิบัติหน้าที่งานขนส่ง โจทก์จะเดินทางไปและกลับพร้อมกับพนักงานขับรถคู่กะ พนักงานขับรถคนใดเป็นผู้ทำหน้าที่ขับรถบรรทุกจะต้องนำใบขับขี่ของตนไปรูดที่เครื่องรูดบัตรประจำรถก่อน เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลประจำรถ การทำงานของโจทก์มีเวลาสิ้นสุดที่ไม่แน่นอน จำเลยจึงจัดให้มีระเบียบว่าด้วยการทำงานของพนักงานขับรถบรรทุกหรือนโยบายความเหนื่อยล้าจากการขับรถที่กล่าวถึงการนำกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ดังกล่าวมาใช้ในการทำงาน การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์กับพนักงานขับรถคู่กะจะสลับกันขับรถบรรทุกตลอดเส้นทาง กล่าวคือ เมื่อพนักงานขับรถคนแรกขับรถบรรทุกจากอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ไปถึงจังหวัดขอนแก่นแล้ว จะเปลี่ยนให้พนักงานขับรถคนที่สองขับรถบรรทุกจากจังหวัดขอนแก่นไปยังจังหวัดหนองคาย หลังจากนั้นจะสลับให้พนักงานขับรถบรรทุกคนแรกขับรถบรรทุกต่อไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ส่วนพนักงานขับรถคนที่สองจะต้องพักรออยู่ที่จังหวัดหนองคาย จนเมื่อรับสินค้าเสร็จแล้วพนักงานขับรถคนแรกจะขับรถบรรทุกกลับมายังจังหวัดหนองคาย พนักงานขับรถคนที่สองจึงกลับมาทำหน้าที่ขับรถบรรทุกต่อไปยังจังหวัดขอนแก่น หลังจากนั้นพนักงานขับรถคนแรกจะรับช่วงต่อเป็นผู้ขับรถบรรทุกต่อไปยังอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยเส้นทางแต่ละช่วงพนักงานขับรถจะปฏิบัติหน้าที่คนละ 6 ถึง 8 ชั่วโมง ยกเว้นบางวันที่อาจขับรถเกินเวลาทำงานปกติ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกำหนดให้มีพนักงานขับรถบรรทุกสองคนประจำรถบรรทุกแต่ละคันเพื่อมิให้การทำงานขับรถขนส่งสินค้าทางไกลของลูกจ้างแต่ละคนเกินระยะเวลาการทำงานตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อคำนึงถึงการจ่ายค่าจ้างประเภทค่าเที่ยว การบันทึกข้อมูลของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติหน้าที่ ประกอบข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาทำงานของลูกจ้างในงานขนส่งทางบกแล้ว งานขับรถของโจทก์ย่อมเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถบรรทุกในช่วงเวลาที่ตนรับผิดชอบเท่านั้น เพราะหากนับระยะเวลาที่โจทก์อยู่ในรถบรรทุกตลอดเวลารวมกันโดยไม่พิจารณาว่าโจทก์ขับรถบรรทุกจริงในช่วงเวลาใดแล้ว จะทำให้การนับระยะเวลาการทำงานของโจทก์หรือพนักงานขับรถทุกคนเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดทั้งที่ไม่มีการปฏิบัติงานจริงแต่อย่างใด แม้โจทก์ต้องพักอยู่ในรถบรรทุกในระหว่างที่พนักงานขับรถคู่กะกำลังปฏิบัติหน้าที่ขับรถอาจทำให้โจทก์ขาดความสะดวกสบายหรือไม่มีอิสระไปบ้าง แต่ก็เป็นเพราะลักษณะหรือสภาพของงานขนส่งทางบกซึ่งมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาการทำงานตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษแตกต่างจากการจ้างแรงงานในประเภทอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อมิให้ลูกจ้างต้องขับรถทางไกลเป็นระยะเวลานานติดต่อกันจนกระทบต่อสวัสดิภาพของลูกจ้างเอง ตลอดจนเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน แต่อย่างไรก็ดี ในกรณีที่พนักงานขับรถคู่กะของโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้และโจทก์ต้องขับรถบรรทุกแทนจนเกิน 8 ชั่วโมง โจทก์ก็ชอบที่จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติได้ตามความจริง ดังนั้น เวลาที่โจทก์พักในรถบรรทุกโดยไม่ได้ทำหน้าที่ขับรถบรรทุกจึงไม่เป็นการทำงานให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่สามารถนำเวลาที่โจทก์มิได้ขับรถบรรทุกมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยให้นำเวลาที่โจทก์อยู่ในรถบรรทุกทั้งหมดแม้โจทก์จะไม่ได้ทำหน้าที่ขับรถมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำเวลาที่โจทก์พักอยู่ในรถบรรทุกขณะที่พนักงานขับรถคู่กะเป็นผู้ขับรถบรรทุกมาเป็นฐานในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
|