
(ฎีกาที่ 3110-3113/2567) การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าชดเชย และสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายแรงงาน, พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์, สิทธิของลูกจ้าง ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และการเรียกร้องค่าชดเชยหรือค่าเสียหาย โดยศาลวินิจฉัยว่าลูกจ้างสามารถยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อขอค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อขอค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้ โดยถือไม่ใช่การใช้สิทธิซ้ำซ้อน แม้ลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยแล้ว ก็ยังมีสิทธิฟ้องเพื่อเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และเรียกค่าเสียหายได้
ข้อเท็จจริงโดยสรุป • โจทก์ทั้งสี่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา ทำงานกับจำเลยที่ 2 และมีการต่อใบอนุญาตทำงานโดยนายจ้างเป็นผู้ดำเนินการ • โจทก์และลูกจ้างอื่น ๆ ได้รวมตัวกันลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ซึ่งต่อมามีการทำบันทึกข้อตกลงใช้บังคับ • ต่อมา จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ในระหว่างที่บันทึกข้อตกลงยังมีผลใช้บังคับ • โจทก์ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ แต่ถูกยกคำร้อง ต่อมาจึงยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน และได้รับค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยครบถ้วน • ต่อมาโจทก์ยังคงฟ้องเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ประเด็นปัญหาทางกฎหมาย 1. การที่ลูกจ้างยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ถือเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อนหรือไม่ 2. เมื่อได้รับค่าชดเชยจากการเลิกจ้างแล้ว ลูกจ้างยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เป็นกฎหมายคนละฉบับ กำหนดการเยียวยาแตกต่างกัน ลูกจ้างจึงมีสิทธิดำเนินการร้องต่อทั้งสองหน่วยงานได้ ไม่ถือเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อน • แม้โจทก์จะได้รับค่าชดเชยแล้ว แต่ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ได้ • ศาลแรงงานภาค 6 ต้องพิจารณาต่อว่า นายจ้างกระทำการเลิกจ้างฝ่าฝืนกฎหมายแรงงานสัมพันธ์หรือไม่ และหากเป็นจริง ต้องพิจารณาสั่งให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหาย
การวิเคราะห์ทางกฎหมาย 1. สิทธิของลูกจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ลูกจ้างมีสิทธิขอค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยยื่นต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 – 124 2. สิทธิของลูกจ้างตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ลูกจ้างมีสิทธิฟ้องกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเพื่อขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้นายจ้างรับกลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหาย ตามมาตรา 121, 123, และ 41 (4) 3. หลักการไม่ตัดสิทธิซ้อน มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดว่าการใช้สิทธิตามกฎหมายฉบับนี้ไม่ตัดสิทธิตามกฎหมายอื่น ลูกจ้างจึงยังคงใช้สิทธิภายใต้กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ได้ 4. ผลกระทบเชิงนโยบายแรงงาน คำพิพากษานี้สะท้อนหลักประกันความเป็นธรรมในการเลิกจ้าง โดยคุ้มครองลูกจ้างจากการถูกเอาเปรียบ และยืนยันว่าความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานมีลักษณะเสริมกัน ไม่ใช่ตัดสิทธิกัน
IRAC Analysis Issue: ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างและได้รับค่าชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานแล้ว ยังมีสิทธิยื่นฟ้องเพื่อขอค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ Rule: • พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123, 124 • พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121, 123, และ 41 (4) • พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 7 Application: การที่โจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยจากพนักงานตรวจแรงงาน ไม่ทำให้สิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมสิ้นสุด เพราะเป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายอีกฉบับ และมาตรา 7 ยืนยันว่าไม่ใช่การตัดสิทธิกัน Conclusion: ลูกจ้างยังมีสิทธิฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้ แม้จะได้รับค่าชดเชยไปแล้ว
ข้อคิดทางกฎหมาย • กฎหมายแรงงานคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างในหลายมิติ ทั้งค่าชดเชยและการเยียวยาจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม • ลูกจ้างสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายหลายฉบับคู่กันได้ โดยไม่ถือเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อน • คำพิพากษานี้เป็นแนวทางสำคัญสำหรับการตีความกฎหมายแรงงาน โดยยืนยันหลักการว่าความคุ้มครองแรงงานต้องเป็นไปเพื่อความเป็นธรรม ไม่ใช่เพื่อตัดสิทธิ
English Summary The Supreme Court Decision No. 3110 - 3113/2024 addresses unfair dismissal and workers’ rights. The Court held that employees can file claims both with the Labor Inspector for severance pay under the Labor Protection Act and with the Labor Relations Committee for damages due to unfair dismissal under the Labor Relations Act. Receiving severance pay does not bar employees from seeking further damages. This ruling reinforces labor rights protection and ensures fair remedies for unfair termination.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3110 - 3113/2567
กรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยหรือค่าจ้างแทนการบอกกล่าวหน้าหรือเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้าง ซึ่งหากพนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงและปรากฏว่าลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดที่นายจ้างมีหน้าที่จ่ายดังกล่าว ให้พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 และมาตรา 124 ส่วนกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องกล่าวหานายจ้างต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 124 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่ง ในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือให้จ่ายค่าเสียหาย หรือให้นายจ้างผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควรตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 125 และมาตรา 41 (4) เห็นได้ว่า พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดการเยียวยาแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างไว้แตกต่างกันและเป็นกฎหมายคนละฉบับ ลูกจ้างจึงมีสิทธินำเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกันไปยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงานหรือต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อนกัน
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 7 บัญญัติว่า "การเรียกร้องหรือการได้มาซึ่งสิทธิหรือประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้ตามกฎหมายอื่น" ประกอบกับ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4) บัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้นายจ้างกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดใน 3 ประการ คือ สั่งให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานก็ได้ หรือสั่งให้จ่ายค่าเสียหายก็ได้ หรือสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่เห็นสมควรก็ได้ หรือคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อาจจะสั่งพร้อมกันหลายประการก็ได้ ดังนี้ แม้โจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้าง อันถือได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะทำงานกับจำเลยที่ 2 อีกต่อไป และไม่ถือเอาประโยชน์ในส่วนของการขอให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสี่ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจตามมาตรา 41 (4) สั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่ได้ ในการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 นั้น นอกจากโจทก์ทั้งสี่ขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานแล้ว โจทก์ทั้งสี่ยังขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ โดยโจทก์ทั้งสี่ยังคงฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ที่ให้ยกคำร้อง และขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่เช่นเดิมด้วย แสดงว่าโจทก์ทั้งสี่ยังติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของจำเลยที่ 2 อยู่ โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ในส่วนของค่าเสียหาย
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 102-106/2562 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2562 กับให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างถึงวันรับกลับเข้าทำงาน จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานภาค 6 คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกัน ศาลแรงงานภาค 6 เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ และคำแถลงรับข้อเท็จจริงของคู่ความเพียงพอแก่การวินิจฉัย จึงให้งดสืบพยาน ศาลแรงงานภาค 6 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 6 ให้ศาลแรงงานภาค 6 ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปว่ามีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องรับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่หรือไม่ เพียงใด แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยทั้งสองฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 6 ฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความแถลงรับร่วมกันว่า โจทก์ทั้งสี่เคยเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 โดยเป็นแรงงานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานกับจำเลยที่ 2 ชั่วคราว ครั้งละไม่เกิน 3 เดือน และได้รับการต่อใบอนุญาตทำงานโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้แจ้งความต้องการและดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดตาก สาขาแม่สอด ตลอดมา จนกระทั่งครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการต่อใบอนุญาตทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสี่ และเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 ก่อนเลิกจ้างเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562 โจทก์ทั้งสี่และลูกจ้างอื่นรวมตัวกันลงลายมือชื่อสนับสนุนยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 2 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ในชั้นพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานสามารถเจรจาตกลงกันได้ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างลงวันที่ 14 มีนาคม 2562 กำหนดเวลาใช้บังคับ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2562 ถึงวันที่ 13 มีนาคม 2563 เมื่อโจทก์ทั้งสี่ถูกเลิกจ้างแล้ว โจทก์ทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยที่ 2 ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่เพราะเหตุลงลายมือชื่อสนับสนุนการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างและโจทก์ทั้งสี่ถูกเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้อง ตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 102-106/2562 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2562 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยอ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกัน พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตาก ที่ 26/2563 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2563 โจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และพนักงานตรวจแรงงาน แต่โจทก์ทั้งสี่จะถือเอาประโยชน์จากคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และพนักงานตรวจแรงงานซึ่งมาจากเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกันทั้งสองทางมิได้ เพราะเป็นการซ้ำซ้อนกัน เมื่อโจทก์ทั้งสี่รับค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานครบถ้วนแล้ว แสดงว่าโจทก์ทั้งสี่เลือกที่จะรับค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้างแทนการกลับเข้าทำงาน อันเป็นการเลือกถือเอาประโยชน์ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสี่สละสิทธิไม่ถือเอาประโยชน์ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งมาจากเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกัน โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนและบังคับให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงาน หรือจ่ายค่าเสียหายนับแต่วันถูกเลิกจ้างจนถึงวันที่รับกลับเข้าทำงานได้อีก ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทั้งสี่นำเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกันไปยื่นคำร้องทั้งต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 และพนักงานตรวจแรงงาน ไม่ใช่การใช้สิทธิซ้ำซ้อน และไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ทั้งสี่สละสิทธิหรือไม่ถือเอาประโยชน์ตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค 6 ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปว่ามีเหตุเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องรับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่หรือไม่ เพียงใด แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า กรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยหรือค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้าง ซึ่งหากพนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่าลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดที่นายจ้างมีหน้าที่จ่ายดังกล่าว ให้พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 และมาตรา 124 ส่วนกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องกล่าวหานายจ้างต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 124 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่ง ในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือให้จ่ายค่าเสียหาย หรือให้นายจ้างผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 125 และมาตรา 41 (4) เห็นได้ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดการเยียวยาแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างไว้แตกต่างกันและเป็นกฎหมายคนละฉบับ ลูกจ้างจึงมีสิทธินำเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกันไปยื่นคำร้องทั้งต่อพนักงานตรวจแรงงานหรือต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซ้ำซ้อนกัน ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่า เมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสี่และโจทก์ทั้งสี่ได้รับเงินดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์ที่จะกลับเข้าทำงานกับจำเลยที่ 2 ต่อไปและโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 7 บัญญัติว่า "การเรียกร้องหรือการได้มาซึ่งสิทธิหรือประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้ตามกฎหมายอื่น" ประกอบกับพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4) บัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้นายจ้างกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ประการ คือ สั่งให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานก็ได้ หรือสั่งให้จ่ายค่าเสียหายก็ได้ หรือสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่เห็นสมควรก็ได้ หรือคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อาจจะสั่งพร้อมกันหลายประการก็ได้ ดังนี้ แม้โจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้าง อันถือได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะทำงานกับจำเลยที่ 2 อีกต่อไป และไม่ถือเอาประโยชน์ในส่วนของการขอให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสี่ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจตามมาตรา 41 (4) สั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่ได้ ในการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 นั้น นอกจากโจทก์ทั้งสี่ขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานแล้ว โจทก์ทั้งสี่ยังขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ โดยโจทก์ทั้งสี่ยังคงฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ที่ให้ยกคำร้อง และขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่เช่นเดิมด้วย แสดงว่าโจทก์ทั้งสี่ยังติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของจำเลยที่ 2 อยู่ โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ในส่วนของค่าเสียหาย ศาลแรงงานภาค 6 ชอบที่จะพิจารณาว่า จำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทว่า มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวหรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องจ่ายค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งสี่หรือไม่ เพียงใด แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลแรงงานภาค 6 ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 อันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ แล้ววินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทว่า มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องจ่ายค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสี่หรือไม่ เพียงใด แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
|