
พักงานโดยจ่ายค่าจ้าง ไม่ใช่การลงโทษทางวินัย และการเลิกจ้างลูกจ้างที่ละทิ้งหน้าที่ (ฎีกาที่ 1902-1904/2556) ![]()
บทนำ
คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทแรงงานกรณีการพักงานและการเลิกจ้าง ศาลวินิจฉัยว่าการพักงานลูกจ้างโดยยังจ่ายค่าจ้างไม่ถือเป็นการลงโทษทางวินัย และการเลิกจ้างลูกจ้างจากการละทิ้งหน้าที่ต้องมีเหตุสมควรและต้องผ่านขั้นตอนการตักเตือนก่อน ศาลแรงงานและศาลฎีกาจึงกำหนดแนวทางชัดเจนว่า นายจ้างไม่สามารถเลิกจ้างได้ทันทีหากการกระทำยังไม่ร้ายแรงเพียงพอ
สรุปข้อเท็จจริง • ผู้ร้อง (นายจ้าง) มีคำสั่งพักงานลูกจ้าง 2 คน ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยจ่ายค่าจ้างและสวัสดิการให้ครบถ้วน • ลูกจ้างคนที่ 1 ถูกกล่าวหาว่าละทิ้งหน้าที่ชั่วคราว เพื่อไปแจ้งพนักงานบริษัทผู้รับเหมาค่าแรงให้รวมตัวที่โรงอาหาร แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการผลิต • ลูกจ้างทั้งสองร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพักงาน และให้กลับเข้าทำงาน • นายจ้างยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานเพื่อขออนุญาตเลิกจ้างลูกจ้างทั้งสอง
คำวินิจฉัยของศาล 1. การพักงานโดยจ่ายค่าจ้าง: o ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การพักงานพร้อมจ่ายค่าจ้างไม่ใช่การลงโทษทางวินัย o จึงไม่เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 2. การละทิ้งหน้าที่: o การละทิ้งหน้าที่จะถือว่าร้ายแรง ต้องเป็นหน้าที่สำคัญและก่อให้เกิดความเสียหายจริง o ในคดีนี้ ลูกจ้างที่ 1 เพียงละทิ้งงานช่วงใกล้เลิกงาน โดยไม่มีผลเสียหายต่อการผลิต จึงไม่ใช่การกระทำร้ายแรง o ต้องมีการตักเตือนเป็นหนังสือก่อน นายจ้างจึงยังไม่มีสิทธิเลิกจ้าง 3. อำนาจศาลแรงงาน: o ศาลแรงงานภาค 1 มีอำนาจอนุญาตให้นายจ้างลงโทษลูกจ้างด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือ แม้นายจ้างจะไม่ได้ร้องขอ o ถือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบ และไม่เกินคำขอ
การขยายประเด็นทางกฎหมาย • มาตรา 52 พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518: ห้ามนายจ้างกระทำการอันเป็นการเลือกปฏิบัติหรือกีดกันกรรมการลูกจ้าง • หลักการเรื่องโทษทางวินัย: หากข้อบังคับระบุว่า "พักงานไม่เกิน 7 วันโดยไม่จ่ายค่าจ้าง" คือการลงโทษ แต่กรณีนี้นายจ้างยังจ่ายค่าจ้างอยู่ จึงไม่ถือว่าเป็นโทษ • หลักการเลิกจ้าง: ต้องมีเหตุร้ายแรงและสมควร หากยังไม่ถึงขั้นนั้น ศาลสามารถกำหนดโทษเบากว่า เช่น การตักเตือน
ข้อคิดทางกฎหมาย 1. การพักงานโดยจ่ายค่าจ้าง ไม่ถือเป็นการลงโทษทางวินัย 2. การละทิ้งหน้าที่ต้องมีความร้ายแรงจริง จึงจะเลิกจ้างได้ 3. ศาลแรงงานมีอำนาจใช้ดุลพินิจปรับโทษให้เหมาะสม แม้นายจ้างไม่ได้ร้องขอ 4. นายจ้างต้องใช้มาตรการลงโทษตามขั้นตอน เริ่มจากโทษเบาก่อน เช่น การตักเตือน 5. คำพิพากษานี้เป็นบรรทัดฐานสำคัญด้านสิทธิของลูกจ้างและความสมดุลของการใช้อำนาจนายจ้าง
IRAC Analysis Issue: การพักงานลูกจ้างโดยมีค่าจ้างเป็นการลงโทษหรือไม่ และนายจ้างสามารถเลิกจ้างจากการละทิ้งหน้าที่ได้ทันทีหรือไม่ Rule: ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 และข้อบังคับการทำงาน นายจ้างพักงานได้แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิกรรมการลูกจ้าง และการเลิกจ้างต้องมีเหตุร้ายแรงและเป็นธรรม Application: ศาลเห็นว่าการพักงานโดยมีค่าจ้าง ไม่เป็นการลงโทษ และไม่ขัดต่อมาตรา 52 ส่วนการละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างที่ 1 ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง จึงต้องมีการตักเตือนก่อน การเลิกจ้างจึงไม่สมควร ศาลแรงงานสามารถอนุญาตให้นายจ้างใช้โทษเบากว่าได้ Conclusion: ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ลงโทษลูกจ้างที่ 1 ด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือ และยกคำร้องเลิกจ้างลูกจ้างทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902-1904/2556 การพักงานไม่เกิน 7 วัน โดยไม่จ่ายค่าจ้างเป็นโทษทางวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้าง การที่ผู้ร้องมีคำสั่งพักงานผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างและเป็นกรรมการลูกจ้างโดยจ่ายค่าจ้างให้ไม่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการสั่งให้ผู้คัดค้านทั้งสองหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อดำเนินการยื่นคำร้องขออนุญาตลงโทษผู้คัดค้านทั้งสองต่อศาลแรงงานภาค 1 การกระทำของผู้ร้องไม่เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52
การละทิ้งหน้าที่ที่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องกรณีร้ายแรงต้องเป็นกรณีลูกจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติที่สำคัญให้นายจ้างแล้วไม่ปฏิบัติเป็นเวลานาน เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีหน้าที่สำคัญอย่างไร หากออกไปจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องอย่างไร การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ออกไปบอกพนักงานของบริษัทรับเหมาค่าแรงให้ไปรวมตัวกันที่โรงอาหารซึ่งเป็นเวลาช่วงบ่ายใกล้เลิกงานแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องเป็นกรณีร้ายแรง
การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ละทิ้งหน้าที่แต่ยังไม่ถึงขนาดหรือมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้เลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 ตามคำร้องของผู้ร้อง เมื่อศาลแรงงานภาค 1 เห็นว่าผู้ร้องควรลงโทษด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือเสียก่อน ศาลแรงงานภาค 1 ก็สามารถอนุญาตให้ลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือซึ่งเป็นโทษที่อยู่ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และเป็นโทษสถานเบากว่าการเลิกจ้างได้ ถือเป็นการใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอ
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลแรงงานภาค 1 สั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกผู้ร้องในสำนวนที่สามซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนแรกและสำนวนที่สองว่าผู้ร้อง และเรียกผู้ร้องในสำนวนแรกและสำนวนที่สองซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนที่สามว่าผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ผู้ร้องยื่นคำร้องในสำนวนที่สามและยื่นคำคัดค้านในสำนวนแรกและสำนวนที่สองขอให้ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสอง และยกคำร้องของผู้คัดค้านทั้งสอง ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องในสำนวนแรกและสำนวนที่สองและยื่นคำคัดค้านในสำนวนที่สาม ขอให้เพิกถอนคำสั่งพักงานของผู้ร้อง ให้รับผู้คัดค้านทั้งสองเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมและยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องและให้เพิกถอนคำสั่งพักงานของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นลูกจ้างและเป็นกรรมการลูกจ้างของผู้ร้อง ผู้ร้องมีคำสั่งพักงานผู้คัดค้านทั้งสองโดยจ่ายค่าจ้างและสวัสดิการให้ตามหนังสือการพักงาน ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้เล่นการพนันทายผลฟุตบอล ในวันที่พนักงานของบริษัทผู้รับเหมาค่าแรงร่วมกันผละงานนั้นผู้คัดค้านที่ 1 ได้ละทิ้งงาน แต่ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้ยุยงส่งเสริม สนับสนุนให้พนักงานของบริษัทรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในบริษัทผู้ร้องร่วมกันผละงานและละทิ้งหน้าที่เข้าร่วมในการผละงาน แล้ววินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้กระทำผิดตามคำร้องจึงไม่มีเหตุอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้าง สำหรับการละทิ้งงานของผู้คัดค้านที่ 1 กรณียังถือไม่ได้ว่ากระทำผิดระเบียบข้อบังคับการทำงานที่ร้ายแรง และผู้ร้องยังไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือ จึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องในประเด็นแรกว่า ผู้คัดค้านทั้งสองมีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ร้องที่สั่งพักงานผู้คัดค้านทั้งสองได้หรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า คำสั่งพักงานผู้คัดค้านทั้งสองโดยจ่ายค่าจ้างและสวัสดิการให้ ไม่ใช่การลงโทษตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้คัดค้านทั้งสอง หรือผู้คัดค้านทั้งสองต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น เห็นว่า แม้ผู้คัดค้านทั้งสองจะมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษพักงานของผู้ร้องก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องมีคำสั่งพักงานผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง ก่อนยื่นคำร้องขออนุญาตลงโทษผู้คัดค้านทั้งสองต่อศาลแรงงานภาค 1 โดยจ่ายค่าจ้าง การพักงานเช่นนี้เป็นการสั่งให้ผู้คัดค้านทั้งสองหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อดำเนินการยื่นคำร้องขออนุญาตลงโทษผู้คัดค้านทั้งสองต่อศาลแรงงานภาค 1 เสียก่อน อีกทั้งข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องก็กำหนดโทษทางวินัยไว้ในข้อ 4.2 และ 4.2.3 ว่าโทษทางวินัยคือการพักงานไม่เกิน 7 วัน โดยไม่จ่ายค่างจ้าง/ค่าตอบแทน เมื่อผู้ร้องได้จ่ายค่าจ้างในระหว่างที่ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้ทำงานจึงไม่ถือเป็นการลงโทษแก่ผู้คัดค้านทั้งสอง และการกระทำของผู้ร้องไม่เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 แต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องในประเด็นต่อไปว่า ผู้คัดค้านทั้งสองละทิ้งหน้าที่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า การละทิ้งหน้าที่ที่จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติที่สำคัญให้นายจ้างแล้วไม่ปฏิบัติเป็นเวลานานแต่ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีหน้าที่สำคัญอย่างไร หากออกไปจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วจะเกิดความเสียหายต่อการผลิตของผู้ร้องอย่างไร ดังนั้นการที่ผู้คัดค้านที่ 1 ละทิ้งหน้าที่ออกไปบอกพนักงานของบริษัทรับเหมาค่าแรงให้ไปรวมตัวกันที่โรงอาหารช่วงบ่ายใกล้เวลาเลิกงานแล้ว กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องเป็นกรณีร้ายแรง ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างต้องตักเตือนผู้คัดค้านที่ 1 เป็นหนังสือก่อน เมื่อยังไม่ได้ดำเนินการจึงยังไม่มีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 ทันที ในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 ศาลแรงงานภาค 1 วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ละทิ้งหน้าที่ จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 1 ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องในประเด็นต่อไปว่า ศาลแรงงานภาค 1 วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ละทิ้งหน้าที่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ศาลต้องอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 โดยการตักเตือนเป็นหนังสือโดยผู้ร้องไม่ต้องร้องขอได้หรือไม่ โดยผู้ร้องอุทธรณ์ว่า แม้ผู้ร้องจะไม่ได้ร้องขอ แต่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 ให้ศาลแรงงานพิพากษาเกินคำขอได้นั้น เห็นว่า แม้ตามคำขอท้ายคำร้องของผู้ร้องจะขอให้ศาลแรงงานภาค 1 อนุญาตให้ลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ด้วยการเลิกจ้างก็ตาม แต่เมื่อศาลแรงงานภาค 1 เห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 ละทิ้งหน้าที่ แต่ยังไม่ถึงขนาดหรือมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้เลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 โดยเห็นว่าการกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ดังกล่าวผู้ร้องควรลงโทษด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ศาลแรงงานภาค 1 ก็สามารถอนุญาตให้ลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือ ซึ่งเป็นโทษที่อยู่ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และเป็นโทษในสถานเบากว่าการเลิกจ้างได้ ถือเป็นการใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีและไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอแต่ประการใด ดังนั้นที่ศาลแรงงานภาค 1 ไม่มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือให้เสร็จสิ้นไปไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือ และยกคำร้องของผู้คัดค้านทั้งสองนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 1
|