
| ชดใช้คืนเงิน เลิกสัญญา & ห้ามกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ,กฎหมายผู้บริโภค(ฎีกา 2019/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีจำเลยต้องคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดแก่ผู้บริโภค และประเด็นสำคัญว่า ศาลจะสามารถสั่งให้มี “ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ” (punitive damages) ได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นการคืนเงินภายใต้กฎหมายเลิกสัญญาไม่ใช่การผิดสัญญาโดยตรง ในคดีนี้ ศาลฎีกาพิจารณาว่า การคืนเงินตามสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิใช่การเรียกค่าเสียหายตามวรรคท้าย จึงไม่อาจใช้ฐานนั้นเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มเติมได้ ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ (ผู้บริโภค) กับจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุด เลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.69 ตร.ม. ราคา 2,414,610 บาท • โจทก์ชำระเงินครบถ้วน และได้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและเข้าอยู่แล้ว • ต่อมาช่วงเดือน พ.ย. 2558 – พ.ย. 2559 ปรากฏปัญหาน้ำรั่วซึมจากดาดฟ้าของอาคาร ทำให้ห้องชุดไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ • โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยโดยชอบ และเรียกร้องให้จำเลยคืนเงิน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 จนกว่าจะชำระ • โจทก์ยังขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษอีก 2 เท่า (เป็นเงิน 4,829,220 บาท) พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่โจทก์ร้อง และให้ชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ 2 เท่า พร้อมดอกเบี้ย • ศาลอุทธรณ์ (แผนกคดีผู้บริโภค) แก้ให้ยกในส่วนดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษ และยกคำร้องค่าทนายความ • จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกาและวินิจฉัยประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ ประเด็นปัญหา 1. ศาลจะมีอำนาจสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษ ภายใต้พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ได้หรือไม่ 2. เมื่อข้อเท็จจริงเป็นการคืนเงินตามสัญญา (การเลิกสัญญา) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่การผิดสัญญาโดยตรง — จะสามารถนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษได้หรือไม่ ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2567 อยู่ที่การ ตีความการใช้ “ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ” ภายใต้พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ร่วมกับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 ซึ่งเป็นมาตรากฎหมายหลักในคดีนี้ 🔹 มาตรากฎหมายที่ใช้หลักในการวินิจฉัย 1. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระ “ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ” ได้เฉพาะเมื่อได้กำหนด “ค่าเสียหายจริง” ไว้ก่อน และมีพฤติการณ์เอาเปรียบหรือจงใจให้ผู้บริโภคเสียหาย 👉 ประเด็นคือ ศาลชั้นต้นไม่มีการกำหนดค่าเสียหายจริงก่อน จึงไม่มีฐานคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษ 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เมื่อมีการเลิกสัญญาโดยชอบ แต่ละฝ่ายต้องคืนสิ่งที่ได้รับแก่กัน 👉 การคืนเงินในคดีนี้เป็นผลจากการเลิกสัญญา ไม่ใช่การชดใช้เพราะผิดสัญญา 3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคท้าย หากมีการผิดสัญญา คู่สัญญาฝ่ายเสียหายมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย 👉 แต่คดีนี้ไม่ใช่กรณีผิดสัญญาโดยตรง จึงไม่เข้าเงื่อนไขการเรียกค่าเสียหาย 🔹 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ (พร้อมขยายความสั้น ๆ) 1. ค่าเสียหายเชิงลงโทษ เป็นการชดใช้เพื่อ “ลงโทษ” ผู้ประกอบธุรกิจ มิใช่เพื่อชดเชยความเสียหายจริง ศาลจะสั่งได้ก็ต่อเมื่อมีการกำหนดค่าเสียหายจริงเป็นฐานก่อน 2. ค่าเสียหายจริง เป็นมูลฐานในการคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษ หากไม่มีการวินิจฉัยค่าเสียหายจริง ศาลไม่อาจขยายผลเพื่อกำหนดโทษเพิ่มได้ 3. การเลิกสัญญา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เป็นเพียงการคืนสิ่งที่ได้รับ ไม่ถือเป็น “การผิดสัญญา” จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม 4. การคืนเงินตามสัญญา เป็นผลทางกฎหมายเมื่อสัญญาถูกเลิก — แต่ไม่ใช่การเยียวยาความเสียหาย — จึงไม่อาจใช้เป็นฐานคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ 5. มาตรา 42 พ.ร.บ.คดีผู้บริโภค เป็นหัวใจของคดีนี้ เพราะศาลฎีกาใช้ตีความจำกัดอำนาจศาล ให้สามารถสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษได้เฉพาะเมื่อมีฐานค่าเสียหายจริงเท่านั้น สรุปสาระสำคัญโดยรวม: ศาลฎีกาเน้นหลักการว่า “การคืนเงินตามการเลิกสัญญาไม่ใช่ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา” ดังนั้นจึงไม่เข้าเงื่อนไขของ มาตรา 42 พ.ร.บ.คดีผู้บริโภค ที่จะสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ ส่งผลให้ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาไม่ให้จำเลยต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษส่วนเพิ่มนั้น กฎหมาย / หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 391 วรรคหนึ่ง / วรรคท้าย — เมื่อเลิกสัญญาโดยชอบ แต่ละฝ่ายต้องคืนสิ่งที่ได้รับแก่กัน และในกรณีผิดสัญญาให้อีกฝ่ายเรียกค่าเสียหาย • พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง — ถ้าการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยเจตนา หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย ให้ศาลมีอำนาจสั่งจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มขึ้นจากค่าเสียหายที่แท้จริง • หลักทั่วไปเรื่อง ฐานในการคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษ — ต้องมีฐาน “ค่าเสียหายจริง” ก่อน แล้วจึงคำนวณเพิ่มเติมได้ • หลัก ความชอบธรรมในสัญญา / การเลิกสัญญา — เมื่อเลิกสัญญา ระบบกฎหมายกำหนดให้คืนสิ่งที่ได้รับตามสภาพหรือค่าเงินทดแทน การประยุกต์ใช้กฎหมาย • ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า คู่ความตกลงให้คืนเงินตามสัญญา (การเลิกสัญญา) และผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืนแก่จำเลย • การคืนเงินตามสัญญา (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง) ถือเป็นการ “คืนทรัพย์ / คืนเงิน” ไม่ใช่การเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญา ดังนั้นจึงไม่มี “ค่าเสียหายที่แท้จริง” ที่ศาลสามารถใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษ • หากศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษโดยอิงกับยอดเงินคืนตามสัญญา (2,414,610 บาท) ก็เป็นการใช้ฐานที่มิได้มาจากความเสียหายจริงโดยชอบ • พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 42 กำหนดว่า การกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษได้เมื่อผู้ประกอบธุรกิจมีพฤติการณ์เอาเปรียบหรือจงใจให้ผู้บริโภคเสียหาย “นอกจาก” ค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด • แต่เพราะไม่มีการกำหนดค่าเสียหายจริง (เพราะเป็นการคืนเงินตามสัญญา) ศาลจึงไม่มีฐานที่จะสั่งเพิ่มเป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ • ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาพิจารณาว่า ศาลชั้นต้นจึงใช้วิธีไม่ถูกต้องเมื่อสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มขึ้นจากยอดเงินคืน • ศาลฎีกาจึงแก้ให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ (4,829,220 บาท) แต่ให้คงผลตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนคืนเงินและดอกเบี้ยตามนั้น คำพิพากษาศาลฎีกา • ศาลฎีกาพิพากษา แก้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ (และศาลชั้นต้นในบางส่วน) โดยตัดให้จำเลย ไม่ต้องชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ จำนวน 4,829,220 บาท • คำพิพากษาให้คงการคืนเงินตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ส่วนอื่น ๆ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ • ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ (ไม่ต้องเรียก) สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • แม้กฎหมายผู้บริโภคอนุญาตให้ศาลสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ แต่จะต้องมี ฐานของค่าเสียหายที่แท้จริง ก่อน • หากข้อเท็จจริงเป็นเรื่องการคืนเงินตามสัญญา (เช่น เลิกสัญญา) และไม่ใช่การผิดสัญญาโดยตรง ศาลไม่อาจนำยอดคืนเป็นฐานสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ • คำพิพากษานี้ส่งสัญญาณว่า ศาลจะระมัดระวังในการใช้ดุลยพินิจสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษ หากไม่มีฐานค่าเสียหายจริง • ผู้ปฏิบัติงานกฎหมายควรตรวจและชั่งให้แน่ชัดว่า “ความเสียหายจริง” ถูกกำหนดแล้วก่อนขอให้ศาลสั่งเพิ่มเชิงลงโทษ คำถาม-คำตอบ (2 ประเด็น) คำถาม 1: หากโจทก์เรียกคืนเงินตามสัญญา (เลิกสัญญา) และไม่มีการเรียกค่าเสียหายอื่น ๆ ก่อนหน้า — จำเลยสามารถถูกสั่งให้จ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษได้หรือไม่? คำตอบ: ไม่สามารถได้ เพราะศาลไม่มีฐานของค่าเสียหายที่แท้จริง ที่จะนำมาเป็นพื้นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 42 จำเป็นต้องมีค่าเสียหายจริงก่อน จึงจะสามารถเพิ่มให้เป็นเชิงลงโทษได้ คำถาม 2: หากในคดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษโดยอาศัยฐานเงินคืนตามสัญญา จะถือเป็นการใช้ดุลยพินิจไม่ถูกต้องหรือไม่? คำตอบ: ใช่ ถือเป็นการใช้ดุลยพินิจไม่ถูกต้อง เพราะศาลใช้ฐานที่มิได้เป็น “ค่าเสียหายจริง” ตามหลักกฎหมายผู้บริโภคและ ป.พ.พ. จึงไม่มีอำนาจขยายเป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ ศาลฎีกาจึงแก้คำพิพากษาส่วนดังกล่าว ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3719/2564 คดีเกี่ยวกับการชำระบัญชีและหนีภาษี — ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่รับผิดชอบต่อหนี้ค้างชำระของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ที่รู้ถึงสถานะของบริษัทโดยชอบ และไม่สามารถอ้างว่าไม่มีฐานความรู้ 2. คดีผู้บริโภค – คืนเงิน / ค่าเสียหายเชิงลงโทษ “ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค” ได้ยกตัวอย่างคดีและวิเคราะห์กฎหมายผู้บริโภค มาตรา 42 ว่า การกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษมิอาจทำได้ถ้าไม่มีฐานค่าเสียหายจริง 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3525/2567 คดีไฟแนนซ์ เรียกค่าส่วนต่างไม่ได้ — ศาลฎีกาตีความว่า เจ้าหนี้อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215 เท่านั้น (ไม่ใช่ค่าเสียหายเชิงลงโทษ) IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) แบบขยาย Issue (ปัญหา): • ศาลจะมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่าย ค่าเสียหายเชิงลงโทษ ภายใต้ พ.ร.บ. คดีผู้บริโภค มาตรา 42 ได้หรือไม่ • ถ้าข้อเท็จจริงเป็นการคืนเงินตามสัญญา (เลิกสัญญา) ไม่ใช่กรณีผิดสัญญาโดยตรง — จะสามารถนำมาคำนวณเป็นฐานค่าเสียหายเชิงลงโทษได้หรือไม่ Rule (กฎหมาย / หลัก): • ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง / วรรคท้าย — บทบัญญัติการเลิกสัญญา / การชดใช้ค่าเสียหาย • พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 — ให้อำนาจศาลจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษเมื่อตรงเงื่อนไข • หลักทั่วไปในการคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษ — ต้องอิงจากฐานที่เป็นค่าเสียหายจริง Application (การใช้ / วิเคราะห์): • ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงชัดว่าโจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินตามสัญญา (เลิกสัญญา) และให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืน • จากบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เป็นการคืนทรัพย์ / คืนเงิน ไม่ใช่การขอค่าเสียหาย เพราะความผิด • เพราะไม่มีค่าเสียหายจริง (real damages) ที่ศาลกำหนดไว้ก่อน ศาลจึงไม่มี “ฐาน” ที่จะนำมาคำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษ • ดังนั้น หากศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษโดยใช้อัตราตามยอดเงินคืนตามสัญญา (2,414,610 บาท) ถือเป็นการใช้ฐานที่ไม่ชอบ • ตาม มาตรา 42 เมื่อผู้ประกอบธุรกิจถูกกล่าวหาว่ากระทำการเอาเปรียบผู้บริโภค ศาลอาจสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ เฉพาะเมื่อ ศาลมีอำนาจใช้ฐานของค่าเสียหายจริงก่อน • ในกรณีนี้ไม่มีฐานจริง ศาลจำเป็นต้องงดสั่งเพิ่ม Conclusion (บทสรุป): ศาลฎีกาเห็นว่าคำตัดสินของศาลชั้นต้นในส่วนที่สั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษมีความผิด เพราะใช้ฐานที่ไม่ชอบได้ โดยไม่มีการกำหนดค่าเสียหายจริงก่อน ศาลจึงแก้ให้จำเลย ไม่ต้องชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ ส่วนการคืนเงินและดอกเบี้ยให้ยึดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และให้เลิกเรียกค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2567 การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดแก่ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดพิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากสัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคเสร็จสิ้น แล้วให้ผู้บริโภคโอนห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.96 ตารางเมตร (ที่ถูก 45.69 ตารางเมตร) ให้แก่จำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค และให้จำเลยชำระค่าเสียหายอีก 2 เท่า เป็นเงิน 4,829,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 15 มีนาคม 2564) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค แล้วให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี โครงการ อ. เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร คืนแก่จำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่กำหนดให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภคกับจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดในโครงการ อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 81383 จำนวน 1 ห้อง ห้องเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร ในราคา 2,414,610 บาท โดยผู้บริโภคชำระเงินครบถ้วนและได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากจำเลยและเข้าพักอาศัยในห้องชุดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ห้องชุดดังกล่าวมีน้ำรั่วซึมจากชั้นดาดฟ้าทุกครั้งที่ฝนตก ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าพักอาศัยในห้องชุดได้อย่างปกติสุข ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวจำเลยไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมได้ตามหลักวิศวกรรมอันเป็นการผิดสัญญาซื้อขาย และผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาซื้อขายหรือไม่ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ผู้บริโภคมีสิทธิเลิกสัญญาได้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร..." ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดเป็นเงิน 2,414,610 บาท แก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดที่พิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากการที่สัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตามมาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากเงิน 2,414,610 บาท ได้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีนี้มาและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้มานั้น จึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นเงิน 4,829,220 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ 🔹 บทความที่ 1 หัวข้อ: ศาลจะกำหนด “ค่าเสียหายเชิงลงโทษ” ได้เมื่อใด – เจาะหลักมาตรา 42 พ.ร.บ.คดีผู้บริโภค ค่าเสียหายเชิงลงโทษ มาตรา 42 พ.ร.บ.คดีผู้บริโภค – ศาลจะสั่งได้เมื่อใด ทำความเข้าใจหลักการกำหนด “ค่าเสียหายเชิงลงโทษ” ตามมาตรา 42 พ.ร.บ.คดีผู้บริโภค — ศาลจะสั่งได้เมื่อมีฐานค่าเสียหายจริงก่อนเท่านั้น แนวคิด คำพิพากษาฎีกาที่ 2019/2567 แสดงให้เห็นข้อจำกัดของการใช้มาตรา 42 พ.ร.บ.คดีผู้บริโภคในการสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษ ศาลยืนยันว่าการสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษต้องอาศัย “ค่าเสียหายจริง” เป็นฐานก่อน หากเป็นเพียงการคืนเงินตามสัญญา เช่น เลิกสัญญาซื้อขาย ศาลไม่มีอำนาจสั่งค่าเสียหายเพิ่มได้ ประเด็นนี้สะท้อนหลักนิติธรรมว่าศาลต้องใช้ดุลยพินิจภายในกรอบที่กฎหมายอนุญาต เพื่อป้องกันการลงโทษเกินกว่าเหตุและรักษาความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญา 🔹 บทความที่ 2 หัวข้อ: “คืนเงินตามสัญญา” ไม่ใช่ “ค่าเสียหาย” – ศาลฎีกาชี้แนวทางเลิกสัญญา ป.พ.พ. มาตรา 391 คืนเงินตามสัญญา ไม่ใช่ค่าเสียหาย – ศาลฎีกาตีความ มาตรา 391 ป.พ.พ. เลิกสัญญาแล้วต้องคืนสิ่งที่ได้รับ ไม่ถือเป็นความเสียหาย ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่ม — วิเคราะห์แนวทางตามคำพิพากษาฎีกา 2019/2567 แนวคิด ป.พ.พ. มาตรา 391 กำหนดว่า เมื่อเลิกสัญญาโดยชอบ คู่สัญญาต้องคืนสิ่งที่ได้รับแก่กัน ไม่ถือเป็น “ค่าเสียหาย” ในความหมายทางแพ่ง คำพิพากษาฎีกาที่ 2019/2567 จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การคืนเงินตามสัญญาไม่ใช่ฐานที่ศาลจะใช้คำนวณค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ เพราะเป็นเพียงการคืนทรัพย์สิน ไม่ใช่การชดเชยความเสียหายจากการผิดสัญญา ข้อนี้ช่วยยืนยันหลักการแยก “การคืนเงิน” ออกจาก “ค่าเสียหาย” อย่างชัดเจนในทางปฏิบัติของศาล 🔹 บทความที่ 3 หัวข้อ: ขอบเขตการใช้ “ค่าเสียหายเชิงลงโทษ” ในคดีผู้บริโภค – ศาลต้องมีฐานค่าเสียหายจริง ค่าเสียหายเชิงลงโทษในคดีผู้บริโภค – ต้องมีฐานค่าเสียหายจริงก่อนเสมอ การสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษในคดีผู้บริโภค ต้องมีฐานของค่าเสียหายจริง มิฉะนั้นคำพิพากษาย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา 42 — วิเคราะห์แนวคำพิพากษาศาลฎีกา 2019/2567 แนวคิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2567 ย้ำหลักสำคัญของกฎหมายผู้บริโภค มาตรา 42 ว่า ศาลจะใช้อำนาจกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษได้เฉพาะกรณีที่ผู้บริโภคได้รับความเสียหายจริงและศาลได้กำหนดค่าเสียหายนั้นแล้วเท่านั้น การใช้ดุลยพินิจโดยไม่มีฐานค่าเสียหายจริงถือเป็นการตีความเกินกรอบแห่งกฎหมาย คดีนี้จึงกลายเป็นแนววินิจฉัยสำคัญที่ย้ำถึงหลัก “ต้องมีฐานก่อนลงโทษ” และอาจใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับคดีผู้บริโภคในอนาคต 🔹 บทความที่ 4 หัวข้อ: ความระมัดระวังของศาลในการใช้ดุลยพินิจสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษ ศาลต้องใช้ดุลยพินิจอย่างระมัดระวัง เมื่อสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษ คดีผู้บริโภคไม่ใช่ทุกกรณีที่สั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ ศาลต้องพิจารณาความเสียหายจริงและพฤติการณ์เอาเปรียบ — ศาลฎีกาย้ำหลักในคดี 2019/2567 แนวคิด คำพิพากษาฎีกาที่ 2019/2567 สะท้อนการใช้ดุลยพินิจของศาลในคดีผู้บริโภคอย่างรอบคอบ เพราะการสั่งค่าเสียหายเชิงลงโทษมีผลกระทบสูงต่อผู้ประกอบธุรกิจ ศาลต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีความเสียหายจริงก่อน และผู้ประกอบธุรกิจมีเจตนาเอาเปรียบหรือประมาทร้ายแรง หากขาดองค์ประกอบดังกล่าว ศาลไม่มีอำนาจลงโทษในเชิงเพิ่มพิเศษ การตีความอย่างจำกัดเช่นนี้ช่วยคุ้มครองทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจให้ได้รับความยุติธรรมตามสมควร 🔹 บทความที่ 5 หัวข้อ: บทเรียนจากคดี “ห้องชุดน้ำรั่ว” – เส้นแบ่งระหว่างความเสียหายจริงกับค่าเสียหายเชิงลงโทษ บทเรียนคดีห้องชุดน้ำรั่ว – แยกให้ชัด “ค่าเสียหายจริง” vs “เชิงลงโทษ” กรณีผู้บริโภคฟ้องคืนเงินค่าห้องชุด ศาลฎีกาชี้หลักสำคัญว่า ต้องแยก “ค่าเสียหายจริง” ออกจาก “ค่าเสียหายเชิงลงโทษ” อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการใช้สิทธิเกินขอบเขต แนวคิด คดีห้องชุดน้ำรั่วที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษา 2019/2567 เป็นบทเรียนชัดเจนว่าการฟ้องคืนเงินตามสัญญาและการเรียกค่าเสียหายเชิงลงโทษเป็นคนละเรื่อง ผู้บริโภคมีสิทธิเลิกสัญญาและขอคืนเงินได้ แต่จะเรียกค่าเสียหายเชิงลงโทษต้องมีความเสียหายจริงเกิดขึ้นก่อน หากศาลไม่กำหนดฐานความเสียหาย ศาลไม่มีอำนาจลงโทษเชิงเพิ่มได้ หลักนี้ช่วยสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคและการป้องกันการลงโทษเกินกว่าเหตุ |



.jpg)

.jpg)