ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




เพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการกรณีความประมาทเท่ากัน (ฎีกา 145/2568)

คำพิพากษาศาลฎีกา 145/2568 กรณีอนุญาโตตุลาการ, คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการเพิกถอน, ความประมาทเลินเล่อคู่กรณีรถชน, ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ, มาตรา 40 วรรคสาม(2)(ข) พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545, มาตรา 442 ป.พ.พ. ประกอบ มาตรา 223 ป.พ.พ., สินไหมทดแทนในคดีละเมิด, ดุลพินิจอนุญาโตตุลาการไม่เป็นธรรม, เพิกถอนคำชี้ขาดเนื่องจากขัดศีลธรรมอันดีของประชาชน, การยื่นอุทธรณ์ศาลฎีกา คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องอนุญาโตตุลาการ

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีข้อพิพาทจากอุบัติเหตุรถชน ซึ่งคู่กรณีทั้งสองฝ่าย—ผู้ขับรถยนต์และผู้ขับรถจักรยานยนต์—ต่างมีส่วนประมาทเท่ากัน แต่ในคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการกลับให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว (ผู้ขับรถยนต์ซึ่งมีประกันภัย) รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่ออีกฝ่าย ศาลฎีกาเห็นว่า การใช้ดุลพินิจเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับพยานหลักฐานและหลักกฎหมายละเมิดตาม มาตรา 442 ประกอบ มาตรา 223 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการนั้น

ข้อเท็จจริง

คู่พิพาทในคดีนี้ได้ตกลงระงับข้อพิพาทผ่านวิธีอนุญาโตตุลาการ ตาม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 โดยมี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ภาค 1 (เชียงใหม่) เป็นผู้จัดให้มีอนุญาโตตุลาการ

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เวลาประมาณ 07.55 น. บนถนนพหลโยธิน จังหวัดพะเยา มุ่งหน้าอำเภอพาน ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถด้านซ้าย ผู้ขับรถยนต์ (นางประภัสสร) ขับรถยนต์ในช่องเดินรถด้านขวาและเป็นช่องกลับรถ ขณะนั้นผู้ตายได้เปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องของผู้ขับรถยนต์โดยไม่ดูให้รอบคอบ ผลคือรถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกัน ผู้ตายบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา

รถยนต์ของนางประภัสสรได้ทำประกันภัยภาคบังคับไว้กับผู้คัดค้านที่ 1 (ผู้ร้อง) และประกันภัยเพิ่มเติมกับบริษัท อ. (ผู้คัดค้านที่ 2)

อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า ทั้งนางประภัสสรและผู้ตายต่างมีส่วนประมาทเลินเล่อ “โดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน” แต่กลับชี้ขาดให้ผู้ร้อง (ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยของนางประภัสสร) เป็นผู้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้านโดยฝ่ายเดียว

อนุญาโตตุลาการกำหนดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 250,000 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 (บริษัท อ.) ชดใช้ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันยื่นเสนอข้อพิพาท (27 สิงหาคม 2564) เป็นต้นไป และให้ทุกฝ่ายรับผิดสำหรับค่าใช้จ่ายอนุญาโตตุลาการฝ่ายละหนึ่งส่วน

🧭 กฎหมายสำคัญที่ใช้ในคดีนี้

1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223

→ กล่าวถึง “การรับผิดร่วมกันของผู้ละเมิดหลายคน” โดยแต่ละคนต้องรับผิด “ตามส่วนแห่งความผิดของตน”

→ ศาลฎีกานำมาใช้เพื่อชี้ว่า เมื่อทั้งสองฝ่ายมีส่วนประมาทเท่ากัน ย่อมต้องรับผิดในส่วนของตน ไม่อาจให้ฝ่ายหนึ่งรับผิดชดใช้ฝ่ายเดียวได้

2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442

→ กำหนดหลักการว่าผู้ละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตน

→ ศาลอ้างเพื่อย้ำว่าการกำหนดค่าสินไหมทดแทนต้องสัมพันธ์กับ “ความผิดของแต่ละฝ่าย”

3. พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข)

→ ให้อำนาจศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้ หากคำชี้ขาดนั้น “ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”

→ ใช้เป็นฐานสำคัญในการเพิกถอนคำชี้ขาดที่ไม่ยุติธรรม เพราะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขัดกับหลักกฎหมายข้างต้น

🗝 Key Words ที่เป็นแก่นของคดีนี้ 

1. “ความประมาทเท่ากัน” 

→ ศาลเห็นว่า ทั้งผู้ขับรถยนต์และผู้ขับรถจักรยานยนต์ต่างมีส่วนประมาทเลินเล่อเท่ากันในอุบัติเหตุ การชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งต้องชดใช้ฝ่ายเดียวจึงไม่เป็นธรรมและขัดหลักการของกฎหมายละเมิด

2. “การใช้ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ” 

→ ศาลฎีกาวิเคราะห์ว่าดุลพินิจที่ใช้ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของอนุญาโตตุลาการต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริง หากขัดแย้งกับผลวินิจฉัยของตนเองถือเป็นการใช้ดุลพินิจที่ผิด

3. “ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” 

→ เป็นเกณฑ์ทางกฎหมายตาม ม.40(2)(ข) พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ที่ศาลใช้ในการเพิกถอนคำชี้ขาดเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นธรรม ขัดต่อหลักความยุติธรรมพื้นฐาน

4. “การกำหนดค่าเสียหายตามส่วนแห่งความผิด” 

→ เป็นหัวใจของ ม.223 และ ม.442 ป.พ.พ. ที่ศาลใช้เพื่ออธิบายว่า เมื่อคู่กรณีมีส่วนผิดเท่ากัน การกำหนดค่าเสียหายต้องแบ่งตามส่วน ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งรับภาระเกินควร

5. “เพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ” 

→ ศาลฎีกาชี้ว่า เมื่อคำชี้ขาดขัดต่อหลักกฎหมายและเหตุผล ไม่สามารถถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบ จึงต้องเพิกถอนตามอำนาจศาลที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 40 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ

✅ สรุปสั้น:

หัวใจของคดีนี้คือ “อนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจผิด” เพราะวินิจฉัยว่าทั้งสองฝ่ายมีส่วนประมาทเท่ากัน แต่กลับให้ฝ่ายหนึ่งชดใช้ฝ่ายเดียว ศาลฎีกาจึงอาศัย มาตรา 223 และ 442 ป.พ.พ. เพื่อย้ำหลักความรับผิดตามส่วน และใช้ มาตรา 40 วรรคสาม (2)(ข) ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ เพื่อเพิกถอนคำชี้ขาดเนื่องจาก “ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน”

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาว่า อนุญาโตตุลาการได้ใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโดยรับฟังว่า ทั้งสองฝ่ายมีส่วนประมาทเลินเล่อเท่าๆ กัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่มีเหตุผลอันสมควร ที่คู่พิพาทคนหนึ่งจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่คู่พิพาทอีกฝ่าย ทั้งที่ต่างก็มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายเท่ากัน

ผลของคำชี้ขาดจึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและขัดต่อหลักการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิด ตาม มาตรา 442 ประกอบ มาตรา 223 ของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

นอกจากนี้ การยอมรับหรือบังคับคำชี้ขาดดังกล่าวถือได้ว่า ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545

ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว และคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่ผู้ร้อง ซึ่งในชั้นอุทธรณ์มีการสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 3,750 บาท แก่ผู้ร้อง

วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

ประเด็น 1: ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ

อนุญาโตตุลาการมีอำนาจในการรับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยข้อพิพาทตามวิธีอนุญาโตตุลาการ แต่ต้องเป็นการใช้ดุลพินิจที่ สมเหตุสมผล และสอดคล้องกับข้อเท็จจริง หากชี้ขาดโดยให้ฝ่ายที่มีผิดต่อเท่าเทียมกันต้องชดใช้เพียงฝ่ายเดียว ถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจผิดพลาด

ประเด็น 2: หลักการกำหนดค่าเสียหายในคดีละเมิด

ตาม มาตรา 442 ป.พ.พ. กำหนดว่า ผู้ใดละเมิดจนเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นต้องชดใช้ แล้ว มาตรา 223 ป.พ.พ. กำหนดหลักการว่าผู้ละเมิดต้องรับผิดชอบตามสมควรแก่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน แล้วให้ฝ่ายเดียวรับผิด ถือว่าขัดต่อหลักกฎหมายทั้งสองมาตรา

ประเด็น 3: เพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ

ตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) ของพ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 หากคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สามารถเพิกถอนได้ ศาลเห็นว่า การยอมรับคำชี้ขาดที่ไม่ยุติธรรม แล้วยังให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรับผิดทั้งที่ความผิดเท่ากันทำนองนี้ เป็นการขัดศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บทบัญญัตินี้เพิกถอนคำชี้ขาด

ประเด็น 4: ผลต่อระบบอนุญาโตตุลาการและประกันภัย

กรณีนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการที่อนุญาโตตุลาการต้องพิจารณาให้เป็นธรรม โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับประกันภัยรถยนต์และการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หากปล่อยให้คำชี้ขาดที่ไม่เป็นธรรมอยู่จะกระทบต่อความเชื่อถือในระบบอนุญาโตตุลาการ

IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

Issue (ประเด็นข้อพิพาท):

คู่พิพาททั้งสองฝ่าย (ผู้ขับรถยนต์และผู้ขับรถจักรยานยนต์) ต่างมีส่วนประมาทเท่าเทียมกันในการเกิดอุบัติเหตุรถชน แต่อนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ฝ่ายผู้ขับรถยนต์ (ผ่านผู้รับประกันภัย) เป็นผู้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฝ่ายเดียว โดยไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล คำถามก็คือ คำชี้ขาดดังกล่าวจะถือว่า ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 หรือไม่ และเกี่ยวข้องกับหลักการกำหนดค่าเสียหายตาม มาตรา 442 และ มาตรา 223 ของ ป.พ.พ. อย่างไร

Rule (กฎหมายที่ใช้วินิจฉัย):

มาตรา 442 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์: ผู้ละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ถูกละเมิด

มาตรา 223 ป.พ.พ.: หลักการว่าผู้ละเมิดต้องรับผิดตามสมควรแก่ค่าเสียหาย

พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข): คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดได้

Application (การประยุกต์ใช้กับกรณี):

อนุญาโตตุลาการรับฟังข้อเท็จจริงว่า ทั้งสองฝ่ายมีส่วนประมาทเท่าเทียมกัน

แต่กลับชี้ขาดให้ฝ่ายผู้ขับรถยนต์ (ผู้ร้อง) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฝ่ายผู้ขับรถจักรยานยนต์ (ผู้คัดค้าน) โดยฝ่ายเดียว — ซึ่งไม่มีเหตุผลรองรับที่คู่กรณีมีส่วนผิดเท่าเทียมแล้วฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดฝ่ายเดียว

ทำให้ผลชี้ขาดไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายตาม มาตรา 442 และ มาตรา 223 ซึ่งกำหนดว่า ผู้ละเมิดแต่ละรายต้องรับผิดตามส่วนของตนเอง

ผลลัพธ์ของการชี้ขาดที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ หากได้รับการยอมรับหรือนำไปบังคับใช้ อาจถือว่าเป็นการกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ และอาจขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนได้

ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นดังกล่าวเข้าเงื่อนไขของมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) จึงเพิกถอนคำชี้ขาด

Conclusion (บทสรุป):

ศาลฎีกาจึงมีคำพิพากษากลับโดยเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว และสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่ผู้ร้อง พร้อมให้ถือว่าค่าธรรมเนียมศาลนอกจากที่คืนให้เป็นพับ การอุทธรณ์ของผู้ร้องจึง “ฟังขึ้น”

ข้อคิดทางกฎหมาย

กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะเป็นวิธีอนุญาโตตุลาการซึ่งเน้นกระบวนการยืดหยุ่นกว่าในศาล แต่ผู้ชี้ขาด (อนุญาโตตุลาการ) ย่อมต้องใช้ดุลพินิจอย่างมีเหตุมีผล และต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายละเมิด

หลักการว่า “ความรับผิดควรสัมพันธ์กับส่วนแห่งความผิด” เป็นหัวใจสำคัญในคดีละเมิด และไม่ควรถูกละเลยในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ

การยอมรับคำชี้ขาดที่ไม่เป็นธรรม หรือที่ขัดต่อหลักกฎหมาย อาจถูกเพิกถอนได้ตามพ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า วิธีอนุญาโตตุลาการก็ยังอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน

ฝ่ายประกันภัยควรตรวจสอบให้ชัดในสัญญาและข้อพิพาทที่ส่งไปยังอนุญาโตตุลาการ โดยเฉพาะสิทธิและภาระที่อาจเกิดขึ้นหากการชี้ขาดถูกเพิกถอน

⚖️ ข้อ 1 (ประเด็นเรื่องความรับผิดในคดีละเมิดกรณีมีส่วนประมาทเท่ากัน)

คำถาม:

ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ โดยอนุญาโตตุลาการรับฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ขับรถยนต์และผู้ขับรถจักรยานยนต์ต่างมีส่วนประมาทเลินเล่อด้วยกัน “โดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน” แต่กลับชี้ขาดให้บริษัทประกันภัยของฝ่ายผู้ขับรถยนต์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ภริยาของผู้ขับรถจักรยานยนต์ซึ่งถึงแก่ความตายเพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้ลดหลั่นตามส่วนแห่งความผิดของผู้ตาย เช่นนี้ การชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นการใช้ดุลพินิจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และหลักกฎหมายใดที่ใช้กำหนดความรับผิดของคู่กรณีในกรณีมีส่วนประมาทร่วมกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้อย่างไร

คำตอบ:

กรณีนี้ อนุญาโตตุลาการได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานจนได้ข้อเท็จจริงว่า ทั้งผู้ขับรถยนต์และผู้ขับรถจักรยานยนต์ต่างประมาทเท่ากันในอุบัติเหตุ แต่กลับชี้ขาดให้ฝ่ายผู้ขับรถยนต์ซึ่งมีบริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียวต้องชดใช้ค่าสินไหมแก่ฝ่ายผู้ตาย ซึ่งเป็นผลขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ตนเองรับฟังไว้และขัดต่อหลักการกำหนดค่าเสียหายในทางละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 และ มาตรา 442

มาตรา 223 บัญญัติให้ศาลหรือผู้ชี้ขาดพิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นผู้ก่อความเสียหาย “ยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร” และให้กำหนดค่าสินไหมทดแทนตามพฤติการณ์ ส่วนมาตรา 442 สั่งให้นำมาตรา 223 มาใช้โดยอนุโลมในกรณีละเมิด ดังนั้น เมื่อคู่กรณีต่างมีส่วนประมาทเลินเล่อเท่ากัน ย่อมไม่มีเหตุให้ฝ่ายใดต้องรับภาระชดใช้ให้แก่อีกฝ่ายทั้งหมด เพราะความเสียหายเป็นผลร่วมจากความผิดของทั้งสองฝ่ายในสัดส่วนเท่าเทียมกัน

ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวไม่สอดคล้องกับพยานหลักฐานและหลักกฎหมายที่กำหนดไว้ ถือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่สมเหตุสมผล และไม่อาจถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจตามกฎหมายได้ เมื่ออนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่าคู่กรณีมีส่วนประมาทเท่ากันแต่กลับให้ฝ่ายหนึ่งชดใช้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว ย่อมเป็นผลที่ขัดต่อหลักความยุติธรรมพื้นฐาน ศาลฎีกาจึงพิพากษาว่า คำชี้ขาดดังกล่าวขัดต่อหลัก มาตรา 223 และ มาตรา 442 และให้เพิกถอนคำชี้ขาดนั้น

⚖️ ข้อ 2 (ประเด็นเรื่องการเพิกถอนคำชี้ขาดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน)

คำถาม:

เมื่ออนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้บริษัทประกันภัยของฝ่ายผู้ขับรถยนต์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ภริยาผู้ตายฝ่ายเดียว ทั้งที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าทั้งสองฝ่ายมีส่วนประมาทเลินเล่อเท่ากัน ฝ่ายบริษัทประกันภัยจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอเพิกถอนคำชี้ขาดโดยอ้างว่า คำชี้ขาดดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) คำถามคือ การยื่นคำร้องดังกล่าวมีเหตุอันควรหรือไม่ และการชี้ขาดเช่นนั้นเข้าลักษณะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

คำตอบ:

พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) บัญญัติว่า ศาลอาจเพิกถอนคำชี้ขาดได้ หากศาลเห็นว่าการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น “จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” หลักดังกล่าวมีไว้เพื่อคุ้มครองไม่ให้ผลของการชี้ขาดที่ไม่เป็นธรรม หรือขัดต่อหลักกฎหมายขั้นพื้นฐาน ถูกนำมาบังคับใช้ในสังคม

ในคดีนี้ อนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยยอมรับข้อเท็จจริงว่า ผู้ขับรถยนต์และผู้ตายต่างมีส่วนประมาทเลินเล่อเท่ากัน แต่กลับชี้ขาดให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยของฝ่ายผู้ขับรถยนต์ต้องชดใช้ค่าสินไหมแก่ภริยาผู้ตายเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งผลของคำชี้ขาดดังกล่าวไม่เพียงขัดต่อหลักตรรกะ แต่ยังขัดต่อหลักการกำหนดความรับผิดในทางละเมิดตาม มาตรา 223 และ มาตรา 442 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนี้จะทำให้เกิดภาระชดใช้โดยไม่เป็นธรรมต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จึงถือว่าเป็นผลที่กระทบต่อความยุติธรรมโดยรวม และ “ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ตามบทบัญญัติดังกล่าว

ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า การชี้ขาดนี้ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบตามกฎหมาย เมื่อผลแห่งการชี้ขาดไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายสำคัญ จึงมีเหตุเพียงพอให้ศาลใช้อำนาจตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ พร้อมคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่ผู้ร้อง คำอุทธรณ์ของผู้ร้องจึงฟังขึ้น

สรุปประเด็นสำคัญรวมของทั้งสองข้อ:

คดีนี้วางหลักว่าการใช้ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการต้องสอดคล้องกับพยานหลักฐานและหลักความรับผิดตามส่วนในทางละเมิด (มาตรา 223 และ 442 ป.พ.พ.)

หากผลชี้ขาดขัดต่อความยุติธรรมพื้นฐานจนกระทบต่อสาธารณะ ศาลสามารถเพิกถอนคำชี้ขาดนั้นได้ โดยอาศัยมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545


1.	ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 “ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้น ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร” 2.	ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 “ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม” 3.	พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) “ในกรณีดังต่อไปนี้ ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ (2) เมื่อศาลเห็นว่าการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น …(ข) จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2568

การที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของ ป. และผู้ตาย โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนประมาทด้วยกันโดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโดยรับฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุรถชนกันจนเกิดความเสียหายคือความตายของผู้ตายเกิดขึ้นเพราะความผิดของฝ่ายผู้ร้องคือ ป. และความผิดของฝ่ายผู้คัดค้านคือผู้ตายเองโดยมีส่วนทำความผิดพอ ๆ กัน แต่กลับชี้ขาดให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยความรับผิดที่เกิดจากรถยนต์ของ ป. เป็นผู้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้าน เป็นการชี้ขาดที่ไม่สอดคล้องกับที่ได้ใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริง เพราะไม่มีเหตุผลใดที่คู่พิพาทที่มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายฝ่ายหนึ่งจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่คู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่งทั้งที่ต่างมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายเท่ากัน ทั้งยังขัดต่อหลักการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 อย่างชัดเจน ไม่อาจถือได้ว่าการกำหนดค่าเสียหายเช่นนี้เป็นการใช้ดุลพินิจตามกฎหมายของอนุญาโตตุลาการ การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นเหตุเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข)

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในคดีข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.92/2564 หมายเลขแดงที่ ชม.41/2565 ของสำนักงาน คปภ.ภาค 1 (เชียงใหม่)

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังยุติได้ว่า ผู้ร้อง ผู้คัดค้าน และบริษัท อ. ร่วมกันตกลงระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการประนอมข้อพิพาทและวิธีอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นผู้จัดให้มีการอนุญาโตตุลาการ มีผู้คัดค้านเป็นผู้เสนอข้อพิพาท ผู้ร้องเป็นผู้คัดค้านที่ 1 และบริษัท อ. เป็นผู้คัดค้านที่ 2 ต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เวลา 7.55 นาฬิกา นางประภัสสรขับรถยนต์ไปตามถนนพหลโยธินจากจังหวัดพะเยามุ่งหน้าไปทางอำเภอพาน ในช่องเดินรถด้านขวาเข้าสู่บริเวณทางเดินรถที่เกิดเหตุ อันเป็นช่องเดินรถด้านขวาซึ่งเป็นจุดกลับรถ ขณะนั้นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถด้านซ้ายอยู่ด้านหน้ารถยนต์คันอื่นและรถยนต์ของนางประภัสสร ผู้ตายเปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถด้านขวา ทำให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกัน เป็นเหตุให้ผู้ตายบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา รถยนต์ของนางประภัสสรเอาประกันภัยภาคบังคับไว้กับผู้คัดค้านที่ 1 (ผู้ร้อง) และเอาประกันภัยไว้กับผู้คัดค้านที่ 2 (บริษัท อ.) ผู้เสนอข้อพิพาท (ผู้คัดค้าน) เป็นภริยาผู้ตาย และในประเด็นข้อพิพาทระหว่างผู้เสนอข้อพิพาท (ผู้คัดค้าน) กับผู้คัดค้านที่ 1 (ผู้ร้อง) ที่ว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทหรือไม่ เพียงใด กับประเด็นข้อพิพาทระหว่างผู้เสนอข้อพิพาท (ผู้คัดค้าน) กับผู้คัดค้านที่ 2 (บริษัท อ.) ที่ว่า เหตุเกิดจากความประมาทของนางประภัสสรหรือของผู้ตาย วินิจฉัยรวมกันไปว่า ผู้เสนอข้อพิพาท (ผู้คัดค้าน) ผู้คัดค้านที่ 1 (ผู้ร้อง) และผู้คัดค้านที่ 2 (บริษัท อ.) ต่างไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นพยาน และต่างก็มีผู้รับมอบอำนาจหรือผู้แทนมาให้ถ้อยคำเป็นพยานเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ต่างก็อ้างคำพิพากษาศาลจังหวัดเชียงราย คดีหมายเลขแดงที่ อ.447/2564 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย โจทก์ กับนางประภัสสร จำเลย เป็นพยานหลักฐาน ตามคำพิพากษาดังกล่าวระบุรับฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนเกิดเหตุ นางประภัสสรขับรถยนต์ในช่องเดินรถด้านขวาด้วยความเร็วสูงเกินสมควร ฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร ขณะนั้นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถด้านซ้ายอยู่หน้ารถยนต์คันอื่นและรถยนต์ของนางประภัสสร ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ด้วยความประมาทโดยเปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถด้านขวาซึ่งเป็นช่องเดินรถของนางประภัสสร โดยไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่ามีรถยนต์ของนางประภัสสรแล่นตามหลังมาด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและเป็นระยะที่ไม่ปลอดภัย ด้วยความประมาทของนางประภัสสรและผู้ตายทำให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันในช่องเดินรถของนางประภัสสร เป็นเหตุให้ผู้ตายบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา พยานของคู่พิพาทไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังว่านางประภัสสรและผู้ตายต่างมีส่วนประมาทด้วยกันโดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และชี้ขาดให้ผู้คัดค้านที่ 1 (ผู้ร้อง) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 250,000 บาท และผู้คัดค้านที่ 2 (บริษัท อ.) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าสินไหมทดแทนที่ผู้คัดค้านแต่ละรายต้องรับผิด นับแต่วันถัดจากวันยื่นคำเสนอข้อพิพาท (ยื่นเสนอข้อพิพาทวันที่ 27 สิงหาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสนอข้อพิพาท (ผู้คัดค้าน) และให้ผู้เสนอข้อพิพาท (ผู้คัดค้าน) ฝ่ายหนึ่ง ผู้คัดค้านที่ 1 (ผู้ร้อง) ฝ่ายหนึ่ง และผู้คัดค้านที่ 2 (บริษัท อ.) ฝ่ายหนึ่ง รับผิดค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาฝ่ายละหนึ่งส่วนเท่ากัน ให้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำชี้ขาด

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้าน ทั้งที่ได้วินิจฉัยว่า นางประภัสสรผู้เอาประกันภัยและผู้ตาย มีส่วนประมาทด้วยกันโดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน นั้น จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นเหตุให้เพิกถอนคำชี้ขาดตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) หรือไม่ เห็นว่า การที่อนุญาโตตุลาการพิจารณาพยานหลักฐานของผู้คัดค้านและผู้ร้องซึ่งเป็นคู่พิพาทที่เสนอในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ แล้ววินิจฉัยว่า เหตุรถชนกันเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของนางประภัสสร และความประมาทเลินเล่อของผู้ตาย โดยทั้งนางประภัสสรและผู้ตายต่างมีส่วนประมาทด้วยกันโดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน โดยรับฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุรถชนกันจนเกิดความเสียหายคือความตายของผู้ตายเกิดขึ้นเพราะความผิดของฝ่ายผู้ร้องคือนางประภัสสร และความผิดของฝ่ายผู้คัดค้านคือผู้ตายเอง โดยมีส่วนทำความผิดพอ ๆ กัน แต่กลับชี้ขาดให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยความรับผิดที่เกิดจากรถยนต์ของนางประภัสสรเป็นผู้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้าน เป็นการชี้ขาดที่ไม่สอดคล้องกับที่ได้ใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงเอง ขัดต่อตรรกะ ไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะไม่มีเหตุผลใดที่คู่พิพาทที่มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายฝ่ายหนึ่งจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่คู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่งทั้งที่ต่างมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายเท่ากัน ทั้งยังขัดต่อหลักการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 อย่างชัดเจน ไม่อาจถือได้ว่าการกำหนดค่าเสียหายเช่นนี้เป็นการใช้ดุลพินิจตามกฎหมายของอนุญาโตตุลาการ การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นเหตุเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) และสมควรต้องเพิกถอนเสีย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้คัดค้าน เป็นการใช้ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการในการรับฟังพยานหลักฐานและชี้ขาดข้อพิพาท ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น

อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องอุทธรณ์โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มา 5,000 บาท สูงกว่าที่ผู้ร้องต้องชำระตามตาราง 1 (1) (ข) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงเห็นควรมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่ผู้ร้อง

พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ภาค 1 (เชียงใหม่) ในคดีข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.92/2564 หมายเลขแดงที่ ชม.41/2565 ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาในชั้นอุทธรณ์ 3,750 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองชั้นศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4750-4751/2561

ประเด็น: ศาลจะเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้เมื่อใด

สรุปย่อเพื่อเปรียบเทียบ

ในคดีนี้ คู่พิพาทนำข้อพิพาทไปสู่อนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ต่อมาฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาด โดยอ้างว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงเกณฑ์ในการ “เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ” ว่าแม้หลักทั่วไปคือศาลจะไม่เข้าไปแทนดุลพินิจอนุญาโตตุลาการในเนื้อหาข้อพิพาท แต่ศาลมีอำนาจตรวจสอบได้ในบางกรณีที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตามมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการฯ หากปรากฏเหตุ เช่น คำชี้ขาดเกินขอบเขตคำให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ฯลฯ ศาลฎีกาจึงได้วางหลักว่า การเพิกถอนคำชี้ขาดไม่ใช่เรื่องทำได้ตามใจคู่พิพาท แต่เป็นมาตรการคุ้มครองระบบยุติธรรมโดยรวม เพื่อป้องกันมิให้คำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายถูกบังคับใช้ เช่น หากคำชี้ขาดมีผลไม่ยุติธรรมอย่างรุนแรงจนกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ศาลย่อมแทรกแซงเพิกถอนได้ อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4750-4751/2561 ซึ่งถูกเผยแพร่และอธิบายในวงวิชาชีพกฎหมาย ว่าศาลฎีกายืนยันอำนาจของศาลในการใช้มาตรา 40 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการเป็น “มาตรการป้องกันคำชี้ขาดไม่เป็นธรรม” ไม่ใช่เป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงธรรมดา. 

เชื่อมโยงกับฎีกา 145/2568:

ฎีกา 145/2568 ใช้มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) เพื่อเพิกถอนคำชี้ขาด เนื่องจากคำชี้ขาดบังคับให้ฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าสินไหมแทบฝ่ายเดียว ทั้งที่อนุญาโตตุลาการเองวินิจฉัยว่าความประมาทเกิดจากทั้งสองฝ่ายเท่ากัน ศาลถือว่าผลเช่นนี้ “ไม่ยุติธรรมในเชิงโครงสร้าง” จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเพิกถอนได้ในตัวเอง ซึ่งเป็นการใช้แนวคิดเดียวกับแนวฎีกา 4750-4751/2561 คือ ศาลตรวจวัดความเป็นธรรมเชิงระบบ มากกว่าการชั่งพยานใหม่

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7173/2558

ประเด็น: ต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน – เรียกค่าเสียหายได้หรือไม่

สรุปย่อเพื่อเปรียบเทียบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7173/2558 เป็นคดีอุบัติเหตุจราจรที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายกระทำโดยประมาทเลินเล่อร่วมกัน ผลคือเกิดความเสียหายแก่ชีวิต/ร่างกาย/ทรัพย์สิน ข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังคือทั้งสองฝ่ายต่างฝ่าฝืนกฎจราจร ต่างฝ่ายต่างละเลยความระมัดระวัง และพฤติการณ์บ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนผิด “โดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน” ศาลฎีกานำหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 และมาตรา 442 มากล่าวร่วมกันว่า ถ้าผู้เสียหายเองก็มีส่วนทำให้เกิดความเสียหาย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จะเรียกจากอีกฝ่ายหนึ่งต้องถูกจำกัดหรืออาจถึงขั้นตกเป็นพับได้ตามพฤติการณ์ กล่าวคือ ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเรียกค่าเสียหายเต็มจำนวนโดยไม่คำนึงถึงความประมาทของตนเอง หากต่างฝ่ายต่างมีส่วนประมาทในระดับเท่ากัน การเรียกค่าเสียหายแบบ “โยนภาระทั้งหมดไปอีกฝ่าย” ไม่สอดคล้องกับหลักของมาตรา 223 และมาตรา 442 ป.พ.พ. ศาลฎีกาจึงยืนยันหลัก “ส่วนแห่งความผิด” หรือ “ผู้เสียหายมีส่วนผิด” ในคดีละเมิด และวางแนวไว้อย่างชัดเจนว่า ในกรณีความประมาทร่วมกันอย่างเท่าเทียม คู่กรณีอาจไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากอีกฝ่ายได้เต็มที่ หรืออาจเรียกไม่ได้เลยในบางส่วน เพราะค่าเสียหายนั้นต้องถูกเฉลี่ยตามส่วนแห่งความผิดของแต่ละฝ่าย. แนวนี้ปรากฏเผยแพร่และอ้างอิงอย่างกว้างขวางในวงวิชาชีพ ว่าเป็นแนวฎีกาที่ใช้มาตรา 223 และ 442 ในบริบทอุบัติเหตุจราจรโดยตรง. 

เชื่อมโยงกับฎีกา 145/2568:

ฎีกา 145/2568 ก็มีข้อเท็จจริงที่อนุญาโตตุลาการรับว่า “ทั้งสองฝ่ายประมาทเท่ากัน” แต่กลับให้ฝ่ายเดียวชดใช้ ศาลฎีกาจึงชี้ว่าผลชี้ขาดนั้นขัดกับหลัก 223/442 แบบเดียวกับแนวฎีกา 7173/2558 ซึ่งย้ำว่า เมื่อความผิดเท่ากัน การผลักความรับผิดทั้งหมดให้ฝ่ายเดียวเป็นสิ่งที่ผิดหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2074/2563

ประเด็น: การประยุกต์มาตรา 223 และมาตรา 442 เพื่อประเมินค่าสินไหมทดแทนในกรณีผู้เสียหายก็มีส่วนประมาท

สรุปย่อเพื่อเปรียบเทียบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2074/2563 นำหลักมาตรา 442 และมาตรา 223 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้เป็นฐานในการกำหนดค่าสินไหมทดแทน โดยศาลวินิจฉัยว่า การพิจารณาความรับผิดและจำนวนค่าเสียหายมิใช่ดูเพียงว่ามี “การละเมิด” เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ต้องดูด้วยว่า ผู้เสียหายเองมีส่วนร่วมก่อให้เกิดผลเสียหายเพียงใด ศาลจึงต้องพิจารณาว่า ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเพราะฝ่ายใด “เป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร” ตามมาตรา 223 ป.พ.พ. และจะต้องปรับจำนวนค่าสินไหมทดแทนให้สอดคล้องกับส่วนแห่งความผิดของแต่ละฝ่าย ไม่ใช่ยึดหลักว่าผู้ถูกมองว่าเป็น “จำเลยในทางแพ่ง” ต้องรับผิดเต็มจำนวนเสมอ คำพิพากษาฎีกานี้จึงยืนยันหลักเชิงโครงสร้างว่า ความรับผิดในทางละเมิดเป็นความรับผิดที่สัมพันธ์กับพฤติการณ์ของทุกฝ่าย ไม่ใช่ลงโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง แม้คู่กรณีอีกฝ่ายจะมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม โดยแนววินิจฉัยนี้ถูกอ้างถึงโดยนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นการย้ำบทบาทของมาตรา 223 และมาตรา 442 ในการ “เฉลี่ยความรับผิดตามส่วนแห่งความผิด” ของคู่กรณี. 

เชื่อมโยงกับฎีกา 145/2568:

ฎีกา 145/2568 ใช้เหตุผลเดียวกันเกือบตรงตัว กล่าวคือ เมื่ออนุญาโตตุลาการรับว่าผู้ตายและผู้ขับรถยนต์ต่างประมาทเท่ากัน ก็ต้องสะท้อนความเท่ากันนี้ในผลทางค่าสินไหม มิฉะนั้นถือว่าฝืนหลักมาตรา 223/442 ซึ่งเป็นหลักมาตรฐานในการวัด “สัดส่วนความผิด – สัดส่วนความรับผิด”

4. แนวคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการโดยอาศัยมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 (ตัวอย่างคำวินิจฉัยที่ศาลเห็นว่า การบังคับตามคำชี้ขาดจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน)

สรุปย่อเพื่อเปรียบเทียบ

ในแนวคำวินิจฉัยของศาล (เช่น คดีที่ปรากฏในสรุปงานวิชาการของสำนักงานศาลยุติธรรม และบทวิเคราะห์ “การเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ : กรณีศึกษาข้อพิพาททาง...” ซึ่งอธิบายการใช้มาตรา 40(2)(ข) ว่าศาลสามารถเพิกถอนคำชี้ขาดได้เมื่อเห็นว่าการบังคับคำนั้นจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้คู่พิพาทอาจไม่ยกเหตุนี้ขึ้นอ้างในตอนแรกก็ตาม ศาลยังคงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม) แนวนี้ตอกย้ำหลักว่า อนุญาโตตุลาการไม่ใช่อำนาจ “นอกระบบยุติธรรม” ที่แตะต้องไม่ได้ แต่เป็นกลไกทางเลือกที่ยังต้องอยู่ใต้บรรทัดฐานด้านความเป็นธรรมขั้นพื้นฐานของกฎหมายไทย ถ้าคำชี้ขาดมีผลกระทบทางสังคมในลักษณะไม่เป็นธรรมอย่างรุนแรง เช่น บังคับให้ฝ่ายหนึ่งรับภาระเกินส่วนของตนเอง ทั้งที่ข้อเท็จจริงวางไว้ชัดเจนว่าผิดร่วมกัน ศาลย่อมถือว่าเป็นการกระทบความสงบเรียบร้อยและเพิกถอนได้ภายใต้มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข). แนวคิดดังกล่าวถูกวิเคราะห์ไว้ในเอกสารวิชาการของศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการเพิกถอนคำชี้ขาดตามมาตรา 40(2)(ข) และ 40(2)(ง) โดยย้ำว่า “ศาลมีหน้าที่กันไม่ให้คำชี้ขาดที่ไม่เป็นธรรมถูกบังคับใช้ในสังคมไทย เพื่อคุ้มครองความยุติธรรมสาธารณะ” ซึ่งเป็นหลักเดียวกับที่ศาลฎีกานำมาใช้ในฎีกา 145/2568. 

เชื่อมโยงกับฎีกา 145/2568:

ฎีกา 145/2568 คือภาพใช้งานจริงของหลักนี้ ศาลฎีกาเพิกถอนคำชี้ขาดเพราะหากปล่อยบังคับ จะกลายเป็นมาตรฐานว่าฝ่ายที่ “ถูกมองว่ามีประกัน” ต้องจ่ายแทนทั้งหมด แม้ความผิดเท่ากัน ซึ่งจะบิดโครงสร้างความยุติธรรมโดยรวม

5. ประเด็น: ขอบเขตความรับผิดของผู้เอาประกันภัย/บริษัทประกันภัยต่อทายาทผู้ตายในคดีอุบัติเหตุจราจร

สรุปย่อเพื่อเปรียบเทียบ

ในข้อพิพาทประกันภัยรถยนต์จำนวนมากซึ่งถูกส่งไปยังอนุญาโตตุลาการที่จัดโดย คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) รูปแบบข้อพิพาทมักเป็นทายาทของผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บเรียกค่าสินไหมจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณี โดยอ้างสิทธิจากประกันภัยภาคบังคับและ/หรือประกันภัยสมัครใจ ปัญหาที่เกิดซ้ำคือ อนุญาโตตุลาการบางคดีมีแนวโน้ม “มองบริษัทประกันเป็นผู้จ่ายหลัก” แม้ข้อเท็จจริงชี้ว่าผู้ตายหรือผู้บาดเจ็บเองก็มีส่วนประมาทร่วมในการเกิดเหตุ ศาลยุติธรรมและในที่สุดศาลฎีกาได้เริ่มส่งสัญญาณชัดเจน (ดังปรากฏในแนวคำพิพากษาที่ถูกหยิบไปวิเคราะห์ เช่นในบทความวิชาการของศาลยุติธรรมเกี่ยวกับมาตรา 40 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ) ว่า วิธีคิดเช่นนั้นเสี่ยงจะทำให้เกิด “ความไม่สมดุลโดยระบบ” คือทำให้ฝั่งบริษัทประกันภัยถูกผลักภาระเสมอ โดยไม่คำนึงถึงส่วนแห่งความผิดของผู้ตาย/ผู้บาดเจ็บเอง หลักความรับผิดตามส่วนแห่งความผิดตามมาตรา 223 และมาตรา 442 ป.พ.พ. ต้องถูกนำไปใช้ในการประเมินค่าสินไหมแม้ในเวทีอนุญาโตตุลาการด้วย หากอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขัดหลักนี้อย่างชัดเจน ศาลมีอำนาจเพิกถอนได้ภายใต้มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 เพื่อคุ้มครอง “ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน” เช่นเดียวกับแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 145/2568. 

เชื่อมโยงกับฎีกา 145/2568:

นี่คือบริบทเชิงระบบของคดี 145/2568: ศาลฎีกาไม่ได้เพียงแก้ตัวเลขค่าสินไหม แต่ประกาศหลักว่า อนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทประกันภัย (โดยเฉพาะกรณีอุบัติเหตุรถยนต์) ต้องเคารพหลัก “ความรับผิดตามส่วนแห่งความผิด” มิฉะนั้นคำชี้ขาดอาจถูกเพิกถอนทั้งฉบับ

 




ตัวบทมาตราแพ่ง

ความรับผิดของผู้ครอบครองรถ (ประกัน, เมาสุรา)ค่าสินไหมทดแทน (ฎีกา 1953/2567)
ชดใช้คืนเงิน เลิกสัญญา & ห้ามกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ,กฎหมายผู้บริโภค(ฎีกา 2019/2567)
ประเด็นเรื่องการจับฉลากแบ่งมรดกโดยไม่มีทายาทครบทุกคน
คำพิพากษาศาล(ฎีกาที่ 3373/2567): *ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน บสย. และความรับผิดของลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 816
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4442/2567: สมาชิกสหกรณ์ยังมีหนี้ค้างชำระ ไม่มีสิทธิลาออกและขอถอนเงินค่าหุ้น
ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2)-คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5659/2567: การปิดกั้นทางพิพาทที่เป็นสาธารณสมบัติและผลของกฎหมายปรับเป็นพินัย
การรับช่วงสิทธิคืออะไร การรับช่วงสิทธิหมายความว่าอย่างไร
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงาน
ค่าเสียหายที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าให้ชดใช้ให้แก่กัน
สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะ