
| ความรับผิดของผู้ครอบครองรถ (ประกัน, เมาสุรา)ค่าสินไหมทดแทน (ฎีกา 1953/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ครอบครองรถ (จำเลยที่ 2) ยินยอมให้บุคคลซึ่งอยู่ในอาการเมาสุรา (จำเลยที่ 1) ขับรถ โดยทราบว่าอยู่ในสภาพที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 7.6 ศาลเห็นว่า ผู้ครอบครองรถดังกล่าวจึงต้องมีส่วนรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก และต้องร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทประกันโอนจ่ายแล้วแก่โจทก์ คืนให้แก่บริษัทประกัน โดยรวมถึงประเด็นการคิดดอกเบี้ยผิดนัดก่อนและหลังการแก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งฯ 🔹 มาตรากฎหมายที่ศาลใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของเขา ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ⇒ ศาลใช้มาตรานี้อธิบายความรับผิดของผู้ครอบครองรถ (จำเลยที่ 2) ที่ยินยอมให้ผู้ขับเมาสุราขับรถจนก่อเหตุ ถือว่าประมาทร่วมในฐานะผู้ควบคุมดูแลทรัพย์ 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 (แก้ไขโดย พ.ร.ก. พ.ศ. 2564) การผิดนัดชำระหนี้ ให้ลูกหนี้ชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศ + 2 % ⇒ ศาลใช้เพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจาก 7.5% เป็น 5% ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป 3. เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7.6 และ ข้อ 8 o ข้อ 7.6 : การขับขี่โดยมีแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือเป็นการยกเว้นความคุ้มครอง o ข้อ 8 : หากบริษัทชำระค่าสินไหมให้บุคคลภายนอกแล้ว ผู้เอาประกันต้องคืนเงินดังกล่าวให้บริษัทภายใน 7 วัน ⇒ ศาลใช้เงื่อนไขทั้งสองเพื่อชี้ว่าแม้บริษัทประกันไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอก แต่มีสิทธิเรียกร้องคืนจากผู้เอาประกันภัย 4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ศาลฎีกาอาจยกขึ้นวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนได้เอง แม้คู่ความมิได้ยกขึ้น ⇒ ศาลฎีกาใช้อำนาจตามมาตรานี้เพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามกฎหมายใหม่โดยไม่ต้องย้อนคดี 🔹 Keywords สำคัญที่สุด (แก่นของคดีนี้) 1. ผู้ครอบครองรถ (Possessor Liability) ผู้ครอบครองรถต้องควบคุมดูแลทรัพย์ในความครอบครองอย่างระมัดระวัง หากยินยอมให้ผู้เมาสุราขับ ถือว่าประมาทร่วมในฐานะละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 2. เมาสุราเกินกฎหมายกำหนด (Intoxicated Driver) ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 7.6 และแสดงถึงการขับขี่โดยประมาทอย่างร้ายแรง 3. สิทธิเรียกร้องคืนของบริษัทประกันภัย (Right of Reimbursement / Subrogation) บริษัทประกันภัยที่ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก มีสิทธิเรียกร้องคืนจากผู้เอาประกันภัยตามข้อ 8 ของกรมธรรม์ ถือเป็นสิทธิที่เกิดจากสัญญาและไม่ใช่สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามละเมิด 4. การละเมิดร่วม (Joint Tortfeasor) ผู้ครอบครองรถ (จำเลยที่ 2) และผู้ขับขี่ (จำเลยที่ 1) มีส่วนร่วมในการกระทำละเมิด เพราะต่างฝ่ายต่างมีพฤติกรรมประมาทร่วมกัน จึงต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอก 5. ดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมายใหม่ (Revised Legal Interest) ศาลฎีกาปรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) 🔸 สรุปใจความสำคัญ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2567 เป็นคดีสำคัญที่ตอกย้ำหลักว่า • ผู้ครอบครองรถไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้ หากรู้เห็นยินยอมให้ผู้เมาสุราขับรถ • บริษัทประกันภัยแม้ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก แต่มีสิทธิเรียกคืนจากผู้เอาประกันภัยตามเงื่อนไขกรมธรรม์ • การคิดดอกเบี้ยต้องเป็นไปตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ แม้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา คดีนี้จึงเป็นแนวคำพิพากษาที่ชัดเจนเกี่ยวกับความรับผิดร่วมในกรณีละเมิด การบังคับใช้เงื่อนไขกรมธรรม์ และการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน เหมาะสำหรับใช้เป็นกรณีศึกษาในการวิเคราะห์คดีประกันภัยและละเมิดร่วมในทางแพ่ง. ข้อเท็จจริง • โจทก์เป็นบริษัทประกันภัยที่รับประกันรถยนต์คันหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 2 (ผู้ครอบครองรถ) • จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถคันนั้นขณะเกิดเหตุ และนั่งโดยสารมาเอง • จำเลยที่ 1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินเกณฑ์ตามกฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัย (เกณฑ์ตามกฎกระทรวง คือ 50 มก.%) • ในสภาพเมาสุรา จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท เสียหลัก ข้ามเกาะกลางถนน พุ่งชนรถอื่นอีก 3 คัน ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก • จำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญา ให้การรับสารภาพ • โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกจำนวน 1,708,645 บาท • โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมชำระเงิน (รวมดอกเบี้ย) คืนแก่โจทก์ • จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การ • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ แต่ยกฟ้องจำเลยที่ 2 • ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ • โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาต ประเด็นปัญหาที่ศาลต้องวินิจฉัย 1. จำเลยที่ 2 (ผู้ครอบครองรถ) ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ 2. วิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดเมื่อกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้รับการแก้ไข (พระราชกำหนด 2564) มีผลอย่างไรต่อดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องชำระ กฎกฎหมายที่เกี่ยวข้อง • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 (เกี่ยวกับการเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิด) • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 (เกี่ยวกับดอกเบี้ยผิดนัด) • พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (พ.ศ. 2564) — ดอกเบี้ยผิดนัดเปลี่ยนเป็นอัตรา 5% ต่อปี หรืออัตราใหม่ที่กระทรวงการคลังกำหนด + 2% • กฎหมายจราจรทางบก / กฎกระทรวงที่กำหนดปริมาณแอลกอฮอล์เพื่อพิจารณาว่าเมาสุรา • หลักของสัญญาประกันภัย — เงื่อนไขกรมธรรม์ ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 4, ข้อ 7 (ยกเว้นความคุ้มครอง), ข้อ 7.6 (การขับขี่ขณะมีแอลกอฮอล์เกินกฎหมาย), ข้อ 8 (สิทธิเรียกร้องคืน) • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) — ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้น คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในสำนวนรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถขณะเมาสุรา โดยทราบดีว่าอาจเกิดอุบัติเหตุ และโดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วย จึงมีส่วนประมาทในการควบคุมดูแลรถ การยินยอมดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขกรมธรรม์ข้อ 7.6 • แม้บริษัทประกันภัยในกรมธรรม์อาจอ้างเงื่อนไข 7.6 เพื่อปฏิเสธความคุ้มครองกับผู้เอาประกันภัย แต่ไม่อาจอ้างเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อนอกบุคคล (บุคคลภายนอก) • เมื่อบริษัทประกันภัยได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกแล้ว ตรงนี้ผู้เอาประกันภัย (จำเลยที่ 2) ต้องคืนเงินให้แก่บริษัทตามสิทธิเรียกร้องตามข้อ 8 ของกรมธรรม์ • ในประเด็นดอกเบี้ย ศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้น 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้อง (3 กรกฎาคม 2563) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 • ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ให้ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี (หรืออัตราใหม่ที่กระทรวงการคลังประกาศ + 2%) จนกว่าจะชำระเสร็จ • ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระ พร้อมดอกเบี้ยตามที่วินิจฉัย และให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นพับ ขยายความและวิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย 1 ความรับผิดของผู้ครอบครองรถที่ยินยอมให้เมาสุราขับ • หลักสำคัญคือ ผู้ที่ครอบครองทรัพย์ (ในที่นี้คือรถยนต์) ต้องใช้อำนาจดูแลและควบคุมทรัพย์นั้นอย่างระมัดระวัง เพื่อมิให้ก่ออันตรายแก่บุคคลภายนอก • เมื่อผู้ครอบครองอนุญาตให้บุคคลซึ่งอยู่ในสภาพเมาสุรา (ซึ่งทราบหรือควรทราบว่าอาจเกิดอันตราย) ขับรถ ก็เป็นการละเลยหน้าที่ควบคุมดูแล • นอกจากนี้ การยินยอมดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขสัญญาประกันภัย (ข้อ 7.6) ซึ่งมักมีข้อความว่า หากผู้ขับขี่ในขณะเกิดเหตุมีแอลกอฮอล์เกินกฎหมาย บริษัทประกันภัยอาจปฏิเสธความคุ้มครอง • แต่จุดที่ศาลเน้นคือ แม้บริษัทประกันภัยอาจใช้ข้อ 7.6 ต่อผู้เอาประกันภัย แต่ไม่อาจใช้เงื่อนไขนั้นเพื่อปฏิเสธสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย • เมื่อบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมแก่บุคคลภายนอกแล้ว ผู้เอาประกันภัย (ในที่นี้คือผู้ครอบครองรถ) มีหน้าที่คืนเงินจำนวนที่บริษัทจ่ายไปนั้นแก่บริษัทตามสิทธิเรียกร้อง (subrogation / สิทธิยกมา) 2 สิทธิเรียกร้องคืนของบริษัทประกันภัย • ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ข้อ 8 บริษัทประกันภัยอาจให้ผู้เอาประกันภัยคืนจำนวนที่บริษัทจ่ายไป ให้เป็นไปภายในกำหนด (ในคดีนี้ กำหนด 7 วันนับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้อง) • สิทธิของบริษัทประกันภัยในกรณีนี้เป็น “สิทธิที่จะใช้แทน” (subrogation) ที่ได้มาเมื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอก • จำเลยที่ 2 ไม่สามารถอ้างเงื่อนไขกรมธรรม์กับบุคคลภายนอกได้ แต่ต้องรับผิดในฐานละเมิดร่วม และคืนให้แก่บริษัท 3 ดอกเบี้ยผิดนัดก่อน-หลังการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งฯ • ก่อนวันที่ 11 เมษายน 2564 ใช้อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราก่อนแก้ไขตามกฎหมายเดิม • หลังวันที่ 11 เมษายน 2564 ใช้อัตราร้อยละ 5 ต่อปี (หรืออัตราใหม่ + 2%) ตามพระราชกำหนดแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 • ศาลนำบทบัญญัติดังกล่าวมาปรับใช้กับดอกเบี้ยที่คงค้างในช่วงหลังให้เป็นไปตามที่กฎหมายปรับใหม่ 4 บทบาทของศาลฎีกาในการวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย • ศาลฎีกามีอำนาจยกประเด็นที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ข้อกฎหมายสำคัญขึ้นวินิจฉัยเอง แม้คู่ความมิได้ยกขึ้น (ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)) • ในคดีนี้ แม้โจทก์อุทธรณ์เพียงบางประเด็น ศาลฎีกายังวินิจฉัยเรื่องแนวทางการคืนเงินของบริษัทประกันภัย และดอกเบี้ยตามกฎหมายใหม่ IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ปัญหา) 1. จำเลยที่ 2 ผู้ครอบครองรถต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ 2. ดอกเบี้ยผิดนัดที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดควรถูกคำนวณตามอัตราใด (ก่อนหรือหลังปรับปรุงกฎหมาย) Rule (กฎหมาย / หลัก) • ป.พ.พ. มาตรา 420 — ค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิด • ป.พ.พ. มาตรา 224 — ดอกเบี้ยผิดนัด • พระราชกำหนดแก้ไข ป.พ.พ. (พ.ศ. 2564) — ลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดเป็น 5% หรืออัตราใหม่ + 2% • หลักสัญญาประกันภัย — เงื่อนไขกรมธรรม์ ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7.6 และ ข้อ 8 • ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) — ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายสำคัญได้เอง Application (การประยุกต์ข้อเท็จจริงเข้ากับกฎหมาย) 1. จากข้อเท็จจริง จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเมาสุรา และนั่งโดยสารมาด้วย จึงมีความรู้ว่ามีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ จัดเป็นการละเลยการควบคุมดูแลรถ 2. เงื่อนไขกรมธรรม์ข้อ 7.6 ห้ามการขับรถเมื่อมีแอลกอฮอล์เกินเกณฑ์ แต่ไม่อาจนำไปใช้ต่อบุคคลภายนอก 3. เมื่อบริษัทประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกแล้ว บริษัทมีสิทธิเรียกร้องคืน (subrogation) ตามข้อ 8 ของกรมธรรม์ 4. ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ให้ใช้อัตรา 7.5% ต่อปี จากนั้นให้ใช้อัตรา 5% ต่อปี (หรืออัตราใหม่ที่กระทรวงการคลังประกาศ + 2%) Conclusion (บทสรุป) • จำเลยที่ 2 ต้องร่วมชำระเงินต้นและดอกเบี้ยกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ • ดอกเบี้ยผิดนัดตั้งแต่วันฟ้องถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 คำนวณที่ 7.5% ต่อปี • ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ใช้อัตรา 5% ต่อปี (หรืออัตราใหม่ + 2%) • จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้น 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามที่วินิจฉัย ข้อคิดทางกฎหมาย 1. ผู้ครอบครองรถไม่อาจอาศัยการ “ยินยอม” ให้บุคคลเมาสุราขับรถเป็นข้อป้องกันตนเองจากความรับผิดต่อบุคคลภายนอก 2. เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่ห้ามขับในสภาพเมาสุรา ไม่อาจใช้เป็นเครื่องมือปฏิเสธสิทธิของผู้เสียหายภายนอก 3. บริษัทประกันภัยที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนแล้ว มีสิทธิเรียกร้องคืน (subrogation) ต่อผู้เอาประกันภัย 4. เมื่อตัวบทกฎหมายมีการแก้ไข (เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด) ศาลสามารถนำมาใช้ย้อนหลังในส่วนที่ยังค้างคาได้ตามกรอบที่กฎหมายกำหนด 5. ศาลฎีกามีบทบาทสำคัญในการชี้แนวทางกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยและความรับผิดละเมิดโดยผู้ครอบครอง คำถาม – คำตอบ (2 ประเด็น) คำถาม 1: เมื่อผู้ครอบครองรถรู้ว่าผู้ได้รับอนุญาตให้ขับรถอยู่ในอาการเมาสุรา แล้วยังยินยอมให้ขับรถ ควรถือว่ามีความรับผิดร่วมในฐานใด และเพราะเหตุใด? คำตอบ: ในคำพิพากษาศาลฎีกานี้ เห็นว่า การยินยอมให้ผู้ซึ่งอยู่ในอาการเมาสุราขับรถ เป็นการละเลยการควบคุมดูแลรถอย่างระมัดระวัง ทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ ผู้ครอบครองรถ (จำเลยที่ 2) จึงมีส่วนรับผิดในฐาน ละเมิดร่วม (ความประมาทร่วม) ต่อบุคคลภายนอก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 คำถาม 2: บริษัทประกันภัยที่จ่ายค่าสินไหมแก่บุคคลภายนอกแล้ว มีสิทธิใดต่อผู้ครอบครองรถ และอย่างไร? คำตอบ: ภายหลังบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมแก่บุคคลภายนอกแล้ว บริษัทมีสิทธิเรียกร้องคืน (subrogation) ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ข้อ 8 ซึ่งให้ผู้เอาประกันภัย (ในที่นี้คือผู้ครอบครองรถ) คืนจำนวนที่บริษัทจ่ายไป ภายในกำหนด (ในคดีนี้ 7 วันนับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้อง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2567 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถที่โจทก์รับประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุ ทั้งที่ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราซึ่งจากผลการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จำเลยที่ 1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาการมึนเมาแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถโดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาในรถที่จำเลยที่ 1 ขับด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมทราบดีว่าการขับรถในขณะเมาสุราอาจทำให้ผู้ขับขี่หย่อนสมรรถภาพในการควบคุมบังคับรถให้อยู่ในทิศทางและช่องเดินรถของตน ทั้งไม่อาจควบคุมความเร็วของรถให้ช้าลงหรือหยุดรถเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้ การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าวย่อมเล็งเห็นว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ กรณีถือว่าจำเลยที่ 2 ผู้ครอบครองรถไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการควบคุมดูแลรถซึ่งอยู่ในความครอบครอง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลภายนอกที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย จำเลยที่ 2 จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุละเมิดครั้งนี้ และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกด้วย นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยในขณะเมาสุราเป็นการผิดเงื่อนไขและความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ข้อ 7.6 เมื่อโจทก์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายไปนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดในข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ อันเป็นเงื่อนไขการยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,804,756 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,708,645 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 กรกฎาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถกระบะไว้จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว ตามเงื่อนไขและความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 4 ระบุว่า การคุ้มครองความรับผิดของผู้ขับขี่ บริษัทจะถือว่าผู้ขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง แต่มีเงื่อนไขว่า ข้อ 4.1 บุคคลนั้นต้องปฏิบัติตนเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย และอยู่ภายใต้ข้อกำหนดตามกรมธรรม์ประกันภัย... ข้อ 7 การยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามหมวดนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก... ข้อ 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา ข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ... ส่วนเงื่อนไขในข้อ 7.6 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด ในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายหรือรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อผู้เอาประกันภัย แต่บริษัทได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วในความรับผิดที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้วผู้เอาประกันต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้องจากบริษัท คดีนี้ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่โจทก์รับประกันภัยโดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวยินยอมและนั่งโดยสารมาด้วย จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและในขณะเมาสุรามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ รถที่จำเลยที่ 1 ขับเสียหลักไปทางขวาข้ามเกาะแบ่งกึ่งกลางถนนแล้วพุ่งชนรถยนต์คันอื่นอีก 3 คัน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ต่อมาจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา และให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปเป็นเงิน 1,708,645 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่บุคคลภายนอกไปคืนให้แก่โจทก์ คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย และจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารไปด้วย ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและในขณะเมาสุราจนเกิดเหตุละเมิด อันเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายของรถกระบะที่รับประกันภัยและบุคคลที่โดยสารมาในรถ แต่โจทก์ยังต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย เมื่อโจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่ได้ชำระไปคืนจากจำเลยทั้งสอง สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 อาศัยข้ออ้างว่าจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยและผู้ครอบครองรถ ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถขณะเมาสุราโดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วย อันเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ไม่ได้บรรยายคำฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปในขณะเกิดเหตุ ดังนั้น ในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ ทั้งที่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราและนั่งโดยสารมาด้วย จำเลยที่ 2 สามารถบังคับบัญชา ออกคำสั่งหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถเร็วหรือช้าได้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ในขณะเกิดเหตุ ถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดสัญญาประกันภัยและผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ได้ตามกฎหมายและเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย จึงเป็นการอุทธรณ์ที่เกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากสภาพแห่งข้อหาที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่นอกเหนือจากปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อโต้แย้งที่ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้ครอบครองรถกระบะที่เอาประกันภัย ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ ทั้งที่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราและนั่งโดยสารมาด้วย ถือว่าจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาประกันภัยและผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อโจทก์ยังคงฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถที่โจทก์รับประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุ ทั้งที่ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราซึ่งจากผลการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ จำเลยที่ 1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาการมึนเมาแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถ โดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาในรถที่จำเลยที่ 1 ขับด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมทราบดีว่า การขับรถในขณะเมาสุราอาจทำให้ผู้ขับขี่หย่อนสมรรถภาพในการควบคุมบังคับรถให้อยู่ในทิศทางและช่องเดินรถของตน ทั้งไม่อาจควบคุมความเร็วของรถให้ช้าลงหรือหยุดรถเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้ การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าว ย่อมเล็งเห็นว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ กรณีถือว่าจำเลยที่ 2 ผู้ครอบครองรถไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการควบคุมดูแลรถซึ่งอยู่ในความครอบครอง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลภายนอกที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย จำเลยที่ 2 จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุละเมิดครั้งนี้ และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกด้วย นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยในขณะเมาสุราเป็นการผิดเงื่อนไขและความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7.6 เมื่อโจทก์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายไปนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดในข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ อันเป็นเงื่อนไขการยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดหลังจากวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 กรกฎาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ใช้อัตราที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง ฎีกา 6914/2559 ในคดีนี้ จำเลยนำรถยนต์ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันไว้ ไปขับโดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย แล้วเกิดอุบัติเหตุชนท้ายรถยนต์ของบุคคลภายนอก ผลตรวจวัดแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ปรากฏว่าอยู่ที่ 163 มก.% ซึ่งเกินเกณฑ์ตามกรมธรรม์ (ซึ่งมักตั้งไว้ในข้อ 7.6 ว่า “ผู้ขับขี่ในขณะมีแอลกอฮอล์เกินกฎหมาย” ไม่คุ้มครอง) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ (บริษัทประกันภัย) ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกแล้ว โจทก์มีสิทธิตามเงื่อนไขกรมธรรม์ (ข้อ 8) ให้เรียกคืนเงินที่จ่ายไปจากจำเลย (ผู้เอาประกันภัย / ผู้ขับขี่) ซึ่งเป็นการฟ้องให้ชำระคืนตามสัญญาประกันภัย (ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 882) และกรณีนี้ไม่มีบทบัญญัติอายุความเฉพาะ จึงให้ใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 ของ ป.พ.พ. จุดเปรียบเทียบกับ 1953/2567: • คดี 6914 มีประเด็นคล้ายกันคือ ผู้ขับขี่เมาสุรา ข้อ 7.6 ของกรมธรรม์ถูกอ้าง และบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ให้กับบุคคลภายนอกแล้ว • ทั้งสองคดีให้ความสำคัญกับสิทธิเรียกร้องคืน ของบริษัทประกันภัย • แต่ใน 1953/2567 มีประเด็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ครอบครองรถที่อนุญาตให้เมาสุราขับ และการคำนวณดอกเบี้ยก่อนและหลังการแก้ไข ป.พ.พ. |



.jpg)

.jpg)