
| ประเด็นเรื่องการจับฉลากแบ่งมรดกโดยไม่มีทายาทครบทุกคน
ประเด็นเรื่องการจับฉลากแบ่งมรดกโดยไม่มีทายาทครบทุกคน คำพิพากษาศาลฎีกา 2128/2567 คดีการแบ่งมรดกโดยจับฉลากและความชอบด้วยกฎหมายของการโอนที่ดิน คดีนี้มีข้อเท็จจริงว่า เจ้าของทรัพย์มรดกถึงแก่ความตายโดยมีทายาทรวมทั้งหมดสิบคน ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกสองคนเพื่อดำเนินการจัดการทรัพย์สินของผู้ตาย ต่อมาผู้จัดการมรดกได้จัดประชุมทายาทเพื่อแบ่งมรดกโดยใช้วิธีจับฉลาก โดยมีทายาทส่วนใหญ่เข้าร่วมประชุม ยกเว้นจำเลยที่ไม่ได้มาประชุม เมื่อถึงขั้นตอนการจับฉลาก ที่ประชุมได้มอบหมายให้ผู้จัดการมรดกอีกคนจับฉลากแทนจำเลย และผลการจับฉลากปรากฏว่าโจทก์ได้รับที่ดินสามแปลง ซึ่งต่อมาผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนที่ดินสองแปลงให้แก่โจทก์ ส่วนที่ดินอีกแปลงหนึ่งจำเลยยังครอบครองปลูกต้นยางพาราและใช้ประโยชน์อยู่ โจทก์จึงยื่นฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินทั้งสามแปลง พร้อมส่งมอบการครอบครองคืนในสภาพเรียบร้อย และเรียกค่าเสียหายจากการใช้ประโยชน์ในที่ดินเดือนละเจ็ดหมื่นบาท โดยนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบคืน จำเลยให้การปฏิเสธโดยยืนยันว่าการแบ่งมรดกที่ผู้จัดการมรดกจัดขึ้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะตนมิได้เข้าร่วมประชุม ไม่ได้ลงชื่อยินยอมในเอกสารใด ๆ และไม่ได้ยอมรับผลของการจับฉลาก การโอนที่ดินให้แก่โจทก์จึงไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ที่สมบูรณ์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้มีข้อเท็จจริงพอเพียง จึงสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่าการแบ่งมรดกไม่ชอบ จำเลยยังมีสิทธิร่วมในทรัพย์มรดกนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่ จำเลยจึงฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นสำคัญของคดีอยู่ที่ “ความชอบด้วยกฎหมายของการแบ่งมรดก” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า การแบ่งมรดกทำได้สามวิธี คือ (1) ทายาทเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามความยินยอม (2) ขายทรัพย์มรดกแล้วแบ่งเงินกัน (3) แบ่งโดยสัญญา แต่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้ต้องรับผิด มิฉะนั้นฟ้องบังคับไม่ได้ การแบ่งโดยจับฉลากที่โจทก์อ้างเป็นวิธีการตามข้อ 3 ซึ่งถือเป็น “การแบ่งโดยสัญญา” แต่เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งไม่ได้เข้าร่วมประชุม และไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อของจำเลย การแบ่งจึงขาดความชอบด้วยกฎหมายตามวรรคสองของมาตรา 1750 การโอนที่ดินให้แก่โจทก์โดยผู้จัดการมรดกภายหลังไม่อาจก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ได้ ศาลยังอ้างถึง มาตรา 1745 และ 1746 ซึ่งกำหนดว่าทายาททุกคนมีสิทธิในทรัพย์มรดกร่วมกันจนกว่าจะมีการแบ่งมรดกเสร็จสิ้น และให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทายาทมีส่วนเท่ากันในกองมรดก นอกจากนี้ มาตรา 1360 กำหนดว่าเจ้าของรวมมีสิทธิใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินได้แต่ต้องไม่ขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมอื่น ดังนั้น ที่ดินซึ่งแบ่งไม่ชอบยังถือเป็นทรัพย์มรดกร่วม จำเลยในฐานะทายาทย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่พิพาทได้ เมื่อโจทก์อ้างตนเป็นเจ้าของเด็ดขาดและฟ้องขับไล่จำเลย จึงถือว่าเป็นการฟ้องโดยไม่มีอำนาจ เพราะกรรมสิทธิ์ยังไม่ได้แบ่งอย่างถูกต้อง ศาลฎีกาจึงเห็นว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิในฐานะเจ้าของเพื่อขับไล่หรือเรียกค่าเสียหายได้ และการฟ้องในลักษณะนี้ยังเป็นการเกินไปกว่าคำฟ้องเดิม อันต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์ และให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์ โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมทุกชั้นศาลเป็นพับ คำพิพากษานี้มีความสำคัญต่อแนวทางการแบ่งมรดกและสิทธิของทายาท ศาลเน้นว่าการแบ่งมรดกต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายบัญญัติอย่างเคร่งครัด การตกลงโดยไม่ครบองค์ประกอบหรือไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือย่อมไม่ผูกพัน แม้จะมีการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินแล้วก็ตาม ผลคือทรัพย์นั้นยังคงเป็นมรดกร่วม และผู้ที่ได้รับโอนย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรืออ้างกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวได้ |


