จดทะเบียนรับรองบุตร และสิทธิการเยี่ยมเยียนบุตร | |
ผมเป็นบิดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแม่ของลูก การแจ้งเกิดผมเป็นฝ่ายแจ้งเกิด ผมไปทำงานที่อื่นแล้วกลับมาแม่ของลูกหนีไปทำงานที่ต่างจังหวัด ผมไม่สามารถติดตามตัวได้ จนกระทั้งวันหนึ่งเธอกลับมาหาผมที่บ้านพร้อมแจ้งว่าโอนลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมของพี่สาวแล้วผมไม่ยินยอม ผมขอให้คนรู้จักไปเช็คที่เขตปรากฎว่าไม่พบชื่อของเด็ก ซึ่งอาจเปลี่ยนชื่อไปแล้ว(เอกสารต่างๆอยู่ที่มารดาเด็กหมด ขณะนี้บุตรผมอายุ 1 ปี 3 เดือน) ผมจะลองจดทะเบียนรับรองบุตรที่เขต โดยเขตอาจทำให้ แต่ติดที่มารดาไม่ยินยอม เพื่อให้แม่ของลูกตัดสินใจ หากวิธีแรกไม่ได้ผลอาจจะต้องร้องต่อศาลขอรับรองบุตร การรับรองบุตรผมไม่ได้ต้องการไปแย้งสิทธิการปกครอง แค่ขอต้องการเยียมลูกบางโอกาส และสิทธิประโยชน์ที่บุตรควรได้รับ ผมขอเรียนถามครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ จากคนมีลูกคนเดียว :: วันที่ลงประกาศ 2011-03-09 10:25:10 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2159761) | |
ผมยังเชื่อว่าบุตรยังไม่ได้ไปเป็นบุตรบุญธรรมผู้อื่น แต่อาจเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ทำให้ไม่ปรากฏทางทะเบียนที่สำนักงานเขต ทางออกตอนนี้คุณน่าจะลองขอตรวจค้นสำเนาทะเบียนบ้านเดิมของบุตรเพื่อหาเลขบัตรประจำตัวประชาชนของลูกแล้วนำไปตรวจสอบกับทางสำนักงานเขตอีกครั้งก็จะสามารถรู้ว่า บุตรของคุณเปลี่ยนชื่อเป็นอะไร และนำสกุลอะไร และมีฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของใครหรือไม่อย่างไร น่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมแล้วค่อยคิดขั้นตอนต่อไป หมายเหตุ แม้บุตรจะยังไม่มีบัตรประชาชน แต่จะมีเลข 13 หลักทุกคนครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-03-09 21:11:25 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2162527) | |
ดิฉันรับราชการและรับบุตรน้องชายมาเป็นบุตรบุญธรรม บุตรที่รับมาจดเป็นบุตรบุญธรรมโดยกฎหมายเรียบร้อยแล้วสามารถเบิกค่าเล่าเรียนได้หรือไม่โดยใช้สิทธิของดิฉัน ตอบ - สามารถเบิกได้ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปทิตตา วันที่ตอบ 2011-03-21 08:19:41 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2401006) | |
จดทะเบียนรับรองบุตร มีชื่อบิดาในสูติบัตรไม่เป็นการรับรองบุตร คำถาม กรณีในสูติบัตรบุตร มีชื่อของบิดาปรากฏอยู่ว่าเป็นบิดาของเด็กแสดงว่าตอนแจ้งเกิดบิดาได้เซ็นชื่อรับรองบุตรแล้วใช่ไหม | |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2013-08-15 21:43:07 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2401007) | |
สิทธิเยี่ยมบุตร หรือสิทธิที่จะติดต่อกับบุตร มาตรา 1584/1 บิดาหรือมารดาย่อมมีสิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามควรแก่พฤติการณ์ ไม่ว่าบุคคลใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองก็ตาม สิทธิที่จะติดต่อกับบุตร(เยี่ยมบุตร) เมื่อบิดาหรือมารดาเลิกกันหรือหย่าขาดจากกันไปแล้ว มีผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจปกครองบุตร และได้ประพฤติขัดขวางไม่ให้ผู้ที่ไม่มีอำนาจปกครองบุตรและบุตรได้พบกัน จนทำให้เกิดมีคดีต่าง ๆ ตามมาของคู่หย่าที่การสมรสสิ้นสุดไปแล้วได้ เช่น การเข้าไปหาบุตรในบ้านของอีกฝ่ายหนึ่งจนถูกแจ้งความว่าบุกรุก หรือบางครั้งเข้าไปแล้วมีการกีดกันเกิดการกระทบกระทั่ง จนถึงทะเลาะทุบตีทำร้ายกันในบ้านของเขาจนเกิดเป็นคดีทำร้ายร่างกาย หรือทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีหลายคดีที่อีกฝ่ายหนึ่งถูกลงโทษเป็นผู้บุกรุก ทั้ง ๆ ที่เข้าไปเพื่อหาบุตรผู้เยาว์ เพราะผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่ยินยอมให้เข้าไป หรือเข้าไปแล้วและเจ้าของบอกให้ออกไปแล้วไม่ยอมออก ดังนั้นหากผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรหรือผู้ปกครองบุตร ทำการขัดขวางมิให้บิดาหรือมารดาแล้วแต่กรณีซึ่งไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรหรือถูกถอนอำนาจปกครองบุตรติดต่อกับบุตรได้ อาจร้องขอให้หน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานภาคเอกชนซึ่งที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสิทธิเด็ก ช่วยเป็นสื่อกลางในการเจรจา เพื่อใช้สิทธิติดต่อกับบุตร หรือถ้าหากว่าเจรจาด้วยวิธีใดก็ไม่ได้ผล วิธีสุดท้ายคือการฟ้องหรือร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิ ในกรณีที่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรจะนำบุตรไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้คู่สมรสที่เลิกกันและไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ไม่อาจใช้สิทธิที่จะติดต่อเยี่ยมเยียนบุตรได้โดยสะดวกนั้น ในแนวทางที่ปฏิบัติกันมายังคงถือว่าการนำบุตรไปอยู่ต่างประเทศ ยังไม่ถือว่าเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ที่ไม่มีอำนาจปกครองบุตรได้พบปะกับบุตร เพราะบุตรผู้เยาว์ต้องถือภูมิลำเนาของผู้ใช้อำนาจปกครอง บิดาหรือมารดาซึ่งไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรจะมาร้องขอต่อศาล ให้มีคำสั่งห้ามมิให้นำบุตรออกนอกราชอาณาจักรไม่ได้ หนทางแก้ไขคือหากเห็นว่าเป็นการกีดกันและทำให้ตนและบุตรได้รับผลกระทบมาก ผู้ที่ถูกถอนอำนาจปกครองต้องร้องขอต่อศาลขอให้ศาลคืนอำนาจปกครองให้แก่ตนดังเดิม โดยให้ศาลถอนอำนาจปกครองของบิดาหรือมารดาที่ได้รับอำนาจปกครองบุตรเสีย ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ถูกถอนอำนาจปกครองบุตรไม่มีสิทธินำเด็กออกไปอยู่ต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การที่เด็กควรจะอยู่ในอำนาจปกครองของบิดาหรือมารดานั้น ต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นกันว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ดูแลเด็กได้มากกว่ากัน ซึ่งมิใช่พิจารณาแต่เพียงฐานะทางการเงินเท่านั้น เพราะบิดาหรือมารดาซึ่งไม่มีอำนาจปกครองบุตรยังมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องส่งเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้แก่บุตรจนกว่าเด็กจะบรรลุนิติภาวะเพราะการหย่าไม่ได้ทำให้อำนาจหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดาที่มีต่อบุตรผู้เยาว์หลุดพ้นไปด้วย ดังนั้นอาจจะต้องพิจารณาจาก เวลาหรือการดูและเอาใจใส่จะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อประกอบการพิจารณาว่าบุตรที่บิดามารดาเลิกกันนั้น ควรมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจปกครองบุตรจากที่ทั้งคู่เคยตกลงกันไว้หรือที่ศาลเคยวินิจฉัยไว้เดิมหรือไม่ อย่างไรก็ตามโดยสรุปการที่บิดามารดาเลิกหรือหย่ากันแม้จะไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรก็ตามยังมีสิทธิตามกฎหมายในอันที่จะติดต่อกับบุตรได้เสมอ . | |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2013-08-15 21:46:11 |
[1] |