ขอปรึกษาปัญหาเรื่องที่ดินหน่อยครับ | |
พี่ชายโดนป้าฟ้องเรื่องแบ่งที่ดินที่มีชื่อร่วมกัน โดยได้รับมาจากปู่ เป็นชื่อของ 2 คนในโฉนด | |
ผู้ตั้งกระทู้ กร :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-11 20:26:39 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2198196) | |
เมื่อไปศาลตามนัดศาลจะสอบถามว่าคุยกันบ้างหรือยัง ตกลงกันได้ไหม 2. ในกรณีจำเลยมีเจตนาที่จะแบ่งตามคำฟ้องอยู่แล้วต้องทำอย่างไร? ตอบ เมื่อไม่มีประเด็นที่จะต่อสู้คดี ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างทนายความ แต่ต้องไปศาลเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ 3. ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความผู้แพ้คดีต้องเสียให้กับผู้ชนะคดีใช่หรือไม่? ตอบ กฎหมายให้ผู้แพ้คดีเป็นผู้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษา แต่ไม่ใช่ค่าทนายความตามที่คู่ความได้ชำระไปจริง แต่อย่างไรก็ตามหากมีการตกลงกันได้โดยสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือการถอนฟ้องคู่ความอาจตกลงกันให้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตกเป็นพับก็ได้ และในกรณีที่โจทก์ถอนฟ้องก็จะได้รับค่าธรรมเนียมศาลคืนส่วนหนึ่งด้วย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-07-22 11:36:45 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2198254) | |
การแบ่งกรรมสิทธิ์รวม การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นการตกลงกันในระหว่างเจ้าของรวม การจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินเป็นการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ดังนั้น ในกรณีผู้มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของบุคคลดังกล่าวจึงต้องจดทะเบียนโอนมรดกหรือจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกในส่วนของผู้ถึงแก่ความตายในโฉนดที่ดินเสียก่อน จึงจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินนั้นต่อไปได้ หากทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วยังไม่จดทะเบียนรับโอนมรดก หรือไม่จดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกของผู้ถึงแก่ความตาย ย่อมทำการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ ประกอบกับคำพิพากษาตามยอมมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีที่ทำสัญญากันเท่านั้น หาได้มีผลผูกพันกองมรดกหรือทายาทของผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว รวมทั้งบุคคลภายนอก เช่น พนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด นาย ก. และทายาทบางคนของนาย ค. ที่เป็นโจทก์ จึงไม่อาจกล่าวอ้างคำพิพากษาตามยอมเพื่อขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่รังวัดและ จดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยใช้คำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาของ นาย ค. ผู้ตาย และทายาทอื่นของนาย ค. ผู้ตาย ที่มิได้เป็นคู่ความในคดีด้วยได้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-07-22 14:23:21 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2198258) | |
โจทก์มิได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8015/2543 คำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลยนั้น เป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินให้กระทำการหรือไม่กระทำการ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลย จึงขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง คำขอของโจทก์จึงไม่ชอบและไม่อาจบังคับได้ ________________________________ โจทก์ฟ้องว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน โจทก์จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว จำเลยนำแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1) เลขที่ 253 เนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา ซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของโจทก์ไปยื่นขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง เจ้าพนักงานที่ดินจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยเป็นเนื้อที่ 12 ไร่ โจทก์คัดค้านเจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนเปรียบเทียบแล้วมีคำสั่งให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลยตามจำนวนเนื้อที่ที่ได้นำรังวัดสอบสวนซึ่งจะทำให้โจทก์เสียที่ดินไปตามจำนวนเนื้อที่ที่ออกเกินไป ขอให้มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย และยกเลิกคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินกว่าเนื้อที่ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ทำให้โจทก์เสียที่ดินไปตามจำนวนที่ออกเกิน แต่คำขอบังคับของโจทก์ขอให้ศาลห้ามเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยทั้งหมด คำฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอด โจทก์ฟ้องเอาที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยเกินกว่า 1 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาตและเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะส่วนที่ยกฟ้องโจทก์ในประเด็นที่ขอให้ยกเลิกคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลย แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาในประเด็นดังกล่าวไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นคู่ความในคดี ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 253 หมู่ที่ 10 ตำบลสะเดาอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา ซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของโจทก์ ไปยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คิดเป็นเนื้อที่ 12 ไร่ ซึ่งเกินกว่าเนื้อที่ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)ทำให้โจทก์เสียที่ดินตามเนื้อที่ที่ออกเกิน โจทก์คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง ทำการสอบสวนเปรียบเทียบแล้ว มีคำสั่งให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลยตามเนื้อที่ที่ได้นำรังวัดสอบสวน การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย เป็นการฟ้องว่าจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายโดยไม่ชอบ ซึ่งการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายนั้น ผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินจะต้องนำหลักฐานที่แสดงว่าตนมีสิทธิครอบครองที่ดิน เช่น แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) หรือใบจอง เป็นต้น ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เจ้าพนักงานที่ดินจะทำการรังวัดสอบสวนสิทธิในที่ดินของผู้ยื่นคำขอนั้น แล้วพิจารณาว่าจะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ยื่นคำขอหรือไม่ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 56, 59 ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2537 ฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลยนั้น เป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินให้กระทำการหรือไม่กระทำการ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง เป็นจำเลยจึงขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง คำขอของโจทก์จึงไม่ชอบและไม่อาจบังคับได้ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิคัดค้านการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลย และผลแห่งคำพิพากษาเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิทธิย่อมผูกพันเจ้าพนักงานที่ดินในอันที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในทำนองว่าสามารถใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้นั้น ก็หาใช่เป็นเรื่องบังคับให้เจ้าพนักงานที่ดินกระทำการหรือไม่กระทำการแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
( รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ - พิชัย เตโชพิทยากูล - อภิชาต สุขัคคานนท์ )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-07-22 14:29:08 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2198264) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่1053/2539
จำเลยที่ 3 ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยครอบครองปรปักษ์จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่1 และที่2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่1 และที่2 จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่3 ศาลพิพากษาคดีไปตามยอมไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งที่ดินพิพาทจึงไม่ผูกพันหรือใช้ยันแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145(2)ศาลไม่จำต้องเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความหรือคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าว ________________________________
จำเลยที่1 และที่2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่าจำเลยที่1 และที่2 ขอรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทแต่จำเลยที่3 เจ้าของที่ดินซึ่งมีแนวเขตติดต่อคัดค้านการรังวัดและไม่รับรองแนวเขตโจทก์จึงขอให้จำเลยที่1 และที่2 ยกเลิกคำขอรังวัดและให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์เมื่อจำเลยที่1 และที่2 ยกเลิกคำขอรังวัดโจทก์กลับไม่รับโอนที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าหากจำเลยที่1 และที่2 เสียภาษีการโอนและภาษีรายได้ถูกจะทำให้โจทก์จำนองที่ดินพิพาทแก่ธนาคารได้เงินน้อยและโจทก์ก็มิได้เตรียมเงินมาชำระค่าที่ดินพิพาทจำเลยที่1 และที่2 จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 3 ครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยที่1 และที่2 บางส่วนโดยครอบครองปรปักษ์เกินกว่า10 ปีสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่3 กับจำเลยที่1 และที่2 จึงมีผลผูกพันตามกฎหมายโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าปรับขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่3ให้การว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทเนื้อที่300ตารางวาโจทก์ทราบมาก่อนโจทก์กับจำเลยที่1และที่2ทำสัญญาจะซื้อจะขายไม่สุจริตแต่สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่3กับจำเลยที่1และที่2กระทำโดยสุจริตขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่5187/2531 ของศาลชั้นต้นให้จำเลยที่1 และที่2 โอนที่ดินโฉนดเลขที่30545 ตำบลบางบอนอำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานครแก่โจทก์และรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ 2,063,500 บาทกับให้จำเลยที่1 และที่2 ชำระเบี้ยปรับ 300,000 บาทแก่โจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่1 และที่ 2 จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า"พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่13 มิถุนายน2531 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 30545 ตำบลบางบอนอำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานครเนื้อที่ 1ไร่ 1งาน 57 ตารางวาซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในราคาตารางวาละ 5,500 บาทรวมเป็นเงิน 3,063,500 บาทโจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญาเป็นเงิน 1,000,000 บาทมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทต้องขอรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทเพื่อคิดราคาตามเนื้อที่ที่รังวัดได้และเมื่อรังวัดเสร็จต้องแจ้งให้โจทก์ทราบก่อน 15 วันเพื่อรับโอนที่ดินพิพาทภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญากันดังกล่าวหากโจทก์ผิดสัญญายอมให้ริบมัดจำหากจำเลยที่1 และที่2 ผิดสัญญายอมให้ปรับ 1,000,000 บาทตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาวันที่ 14 เดือนเดียวกันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทและวันที่ 15 เดือนเดียวกันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาบางขุนเทียนช่างรังวัดได้ไปรังวัดที่ดินพิพาทครั้งที่1และที่2 ไม่แล้วเสร็จเนื่องจากจำเลยที่3 ไม่ไประวังแนวเขตและเมื่อวันที่ 21 กันยายน2531 ช่างรังวัดไปรังวัดที่ดินพิพาทครั้งที่ 3 ปรากฎว่าแนวรั้วโรงงานของจำเลยที่ 3 ล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทด้านตรงมุมหักของที่ดินพิพาทประมาณ 80 เซนติเมตรเป็นรูปชายธงช่างรังวัดได้ปักหลักเสาหินแสดงเขตที่ดินพิพาทเลยรั้วของจำเลยที่ 3 เข้าไปประมาณ 80 เซนติเมตรตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.39 จำเลยที่ 3 ไม่ยอมรับรองแนวเขตและยื่นหนังสือคัดค้านของจำเลยที่ 3 เอกสารหมาย จ.5 ต่อมาวันที่ 26 กันยายน 2531 จำเลยที่1 และที่ 2 ทำเรื่องขอยกเลิกคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.47 เมื่อวันที่18 ตุลาคม 2531 จำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องจำเลยที่1 และที่2 ต่อศาลชั้นต้นขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยอ้างว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทด้านติดกับรั้วโรงงานของจำเลยที่3เนื้อที่ 300 ตารางวา ต่อมาวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 จำเลยที่3กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยที่1 และที่ 2 จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ 300 ตารางวา ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 และศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีไปตามยอมแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5187/2531 ของศาลชั้นต้นคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสามว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5187/2531 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ปัญหาประการแรกนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่1 และที่2 เป็นผู้ขอยกเลิกคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทเองโจทก์หาได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยไม่จำเลยที่1 และที่2 จึงไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบโดยวิธีการรังวัดตามวิธีการของกรมที่ดินตามข้อ 3.1 ในหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1 ให้เป็นที่เรียบร้อยและต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังทำสัญญาประนีประนอมยอมความจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ 300 ตารางวาให้แก่จำเลยที่ 3 ตามที่จำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องอีกซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีไปตามยอมแล้วทั้งๆที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังมีหนี้ที่จะต้องจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมายจ.1 จำเลยที่1 และที่2 จึงผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทฎีกาจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาประการสุดท้ายนั้นเห็นว่าที่จำเลยที่3กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่1 และที่ 2 ว่าจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ 300 ตารางวาให้แก่จำเลยที่ 3 ตามที่จำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 300 ตารางวา ดังกล่าวโดยอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีไปตามยอมแล้วนั้นไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งที่ดินพิพาทจำนวนเนื้อที่ 300 ตารางวา ดังกล่าวจึงไม่อาจใช้ยันแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ศาลจึงไม่จำต้องเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความหรือคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวที่ศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีไปตามยอมแล้วนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแต่คำฟ้องของโจทก์เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลแสดงว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมบังคับแก่โจทก์ไม่ได้และไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และที่2ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องฎีกาจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน" พิพากษาแก้เป็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความ และคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5187/2531 ของศาลชั้นต้นไม่ผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) กับไม่เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ไพศาลรางชางกูร-อร่ามหุตางกูร-สมพลสัตยาอภิธาน) หมายเหตุ 1.ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131บัญญัติว่า"คดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลนั้นให้ศาลปฏิบัติดังนี้(2)ในเรื่องประเด็นแห่งคดีให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดโดยทำเป็นคำพิพากษาหรือว่าคำสั่งหรือให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะนี้"และมาตรา138บัญญัติว่า"ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้นและข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายให้ศาลจดรายงานพิจารณาแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้แล้วพิพากษาไปตามนั้น"นอกจากนี้มาตรา141บัญญัติว่า"คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดง(5)คำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดีตลอดทั้งค่าฤชาธรรมเนียม" จากบทบัญญัติทั้งสามมาตราจะเห็นได้ว่าคดีที่มีคำพิพากษาตามยอมก็ถือว่าศาลได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีเหมือนคำพิพากษาคดีอื่นๆเช่นกัน นอกจากนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145บัญญัติให้คำพิพากษาผูกพันแต่เฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้นเว้นแต่จะเป็นกรณีตามมาตรา145วรรคสอง(2)ที่ว่า"คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใดๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า"ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่าในคดีที่มีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใดๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแม้ศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดด้วยการมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตามก็ถือได้ว่าเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใดๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามมาตรา145วรรคสอง(2)แล้วเช่นกัน 2.เคยมีคดีพิพาทกันว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้อ.แต่จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ด้วยและจำเลยผิดสัญญาทั้งสองรายโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีหนึ่งให้โอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาหลังจากนั้นอ.ก็ฟ้องให้จำเลยโอนที่ดินให้อ.ตามสัญญาอีกคดีหนึ่งแต่จำเลยกับอ.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมโอนที่ดินให้อ.และศาลได้ทำสัญญายอมให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลฎีกาที่1311/2504ว่าคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวเป็นเรื่องที่ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้อ.ตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้นไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่าเป็นของอ.แต่อย่างใดอันจะมีผลผูกพันถึงโจทก์ในอีกคดีหนึ่งด้วย ข้อสังเกตคดีที่มีคำพิพากษาตามยอมมีประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายหรือไม่ไม่ใช่มีประเด็นแห่งคดีว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นของอ.หรือไม่ดังนั้นคำพิพากษาศาลฎีกานี้จึงวินิจฉัยว่าคำพิพากษาในคดีที่มีการทำยอมไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่าเป็นของอ.ดังกล่าว 3.ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่1053/2539นี้คดีที่จำเลยที่3ฟ้องจำเลยที่1และที่2ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยอ้างว่าได้ครอบครองปรปักษ์นั้นมีประเด็นแห่งคดีว่ากรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่3หรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมว่าจำเลยที่1และที่2จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่3ผู้เขียนจึงเห็นว่าน่าที่จะเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยที่3อันสามารถใช้ยันแก่บุคคลภายนอกรวมทั้งโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคสอง(2) ทวีประจวบลาภ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-07-22 14:49:57 |
[1] |