ถูกรถยนต์ขับชนทรัพย์สินเสียหาย | |
เรียนทนายลีนนท์, เหตุการณ์มีอยู่ว่า ได้มีรถยนต์ขับพุ่งเข้ามาชนร้านขายต้นไม้ได้รับความเสียหาย ผู้ขับขี่ได้เรียกตัวแทนบริษัทประกันภัยมาบันทึกเหตุการณ์และความเสียหาย พร้อมทั้งนำคนขับรถยนต์ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน โดยยอมรับสารภาพว่าขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหาย ตำรวจเปรียบเทียบปรับแล้วปล่อยตัวไป ภายหลังติดต่อกับบริษัทประกันภัยเพื่อเจรจาเรื่องค่าเสียหาย ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้ต่อประกันภัย บริษัทประกันภัยไม่รับผิดชอบค่าเสียหาย คนขับรถก็หลบหน้าไม่ยอมติดต่อกลับ ตำรวจก็ผลักภาระให้ไปฟ้องร้องเอาเอง จึงขอเรียนปรึกษาดังต่อไปนี้ 1.ต้องการให้ตำรวจติดตามคนขับรถมารับผิดฐานขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งเป็นความผิดอาญาได้หรือไม่ 2.หรือจะต้องให้ทนายฟ้องร้องทางแพ่งกับผู้ขับรถและเจ้าของรถให้รับผิดร่วมกัน 3.จุดประสงค์เพียงเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายเท่านั้น ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
| |
ผู้ตั้งกระทู้ ชานน :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-19 10:00:39 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2201612) | |
1.ต้องการให้ตำรวจติดตามคนขับรถมารับผิดฐานขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งเป็นความผิดอาญาได้หรือไม่ ตอบ ขับรถโดยประมาทตำรวจเปรียบเทียบปรับไปแล้ว เป็นคดีอาญาเหมือนกัน ไม่ใช่ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
ตอบ ต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดภายใน 1 ปี ถ้าเป็นลูกจ้างก็ฟ้องนายจ้างได้ด้วยเป็นจำเลยที่ 2 3.จุดประสงค์เพียงเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายเท่านั้น
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-01 22:12:12 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2201616) | |
ทำให้เสียทรัพย์ต้องมีเจตนาไม่ใช่ประมาท การที่จำเลยร่วมกันขับรถหลบหนีและพุ่งเข้าชนรถยนต์ของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยมีเจตนาที่จะกระทำขึ้นและได้กระทำในวาระเดียวกันอันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4045/2545
การที่จำเลยร่วมกันขับรถหลบหนีและพุ่งเข้าชนรถยนต์ของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยมีเจตนาที่จะกระทำขึ้นและได้กระทำในวาระเดียวกันอันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งสองร่วมกันให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าว สัญชาติลาวจำนวน 20 คน ซึ่งเป็นผู้มีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยจำเลยทั้งสองได้ช่วยซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวทั้งยี่สิบคนดังกล่าวด้วยการให้โดยสารรถยนต์จากตำบลนาตาล กิ่งอำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อพาไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว และได้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้จำเลยทั้งมีเจตนาที่จะช่วยคนต่างด้าวทั้งยี่สิบคนดังกล่าวให้พ้นจากการจับกุมภายหลังจากที่จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดแล้ว ร้อยตำรวจเอกปารเมศร์จันทรทิพย์ กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอตระการพืชผลพบเห็นการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นความผิดซึ่งหน้าและได้แสดงตัวเข้าจับกุมจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองได้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของร้อยตำรวจเอกปารเมศร์ กับพวก โดยการขับรถยนต์คันที่พาคนต่างด้าวมาดังกล่าวหลบหนีและขับพุ่งเข้าชนรถยนต์หมายเลขโล่ 27172 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาใช้ประโยชน์ในราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาใช้ประโยชน์ในราชการของร้อยตำรวจเอกปารเมศร์ ซึ่งจอดขวางทางป้องกันไม่ให้รถคันที่จำเลยทั้งสองขับหลบหนี ทำให้รถยนต์ของทางราชการดังกล่าวได้รับความเสียหายคิดเป็นจำนวนเงิน 45,350 บาท เพื่อขัดขวางไม่ให้ร้อยตำรวจเอกปารเมศร์กับพวก ปฏิบัติการตามหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยทั้งสอง เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลนาตาล กิ่งอำเภอนาตาล และตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 138, 358 จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาตรา 64 (ที่ถูกมาตรา 64 วรรคหนึ่ง) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,356 (ที่ถูกมาตรา 358 ประกอบมาตรา 83) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานช่วยคนต่างด้าวจำคุกคนละ 2 ปี ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 9 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานการสืบเสาะพินิจจำเลยแล้ว เห็นว่าไม่สมควรรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวให้ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 3 เดือน รวมโทษความผิดสองกระทง จำคุกคนละ 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกมีว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำคนต่างด้าวขึ้นรถยนต์แล้วพาหลบหนีจนเป็นเหตุทำให้รถที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขับพุ่งชนรถยนต์หมายเลขโล่ 27172 ได้รับความเสียหายและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนั้น เป็นการกระทำความผิดต่อเนื่องกันจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท เห็นว่า ความผิดตามมาตรา 64 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 นั้น เพียงแต่ผู้กระทำรู้ว่ามีคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 แล้ว ยังให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุมก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว คดีนี้ได้ความว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ให้คนต่างด้าวสัญชาติลาวจำนวน20 คน โดยสารรถยนต์จากตำบลนาตาล กิ่งอำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยรู้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนต่างด้าวและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามมาตรา 64 วรรคหนึ่งแล้ว ส่วนที่ต่อมาระหว่างทางเจ้าพนักงานตำรวจพบการกระทำผิดของจำเลยทั้งสองเข้าจับกุม แต่จำเลยทั้งสองได้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยขับรถยนต์คันที่พาคนต่างด้าวมาหลบหนีและพุ่งเข้ารถยนต์หมายเลขโล่ 27172 นั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ต่างกรรมต่างวาระกันอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขับรถหลบหนีและพุ่งเข้าชนรถยนต์ของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะกระทำขึ้นและได้กระทำในวาระเดียวกันอันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
( ทวีวัฒน์ แดงทองดี - พินิจ เพชรรุ่ง - โนรี จันทร์ทร )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-01 22:19:58 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2201626) | |
ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6235/2551(อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่)
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-01 22:42:51 |
[1] |