ลูกหนี้หนีไม่จ่าย | |
โจทก์ได้ฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยได้ยกลงทำสัญญาประณีประนอมยอมความในศาล ศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประณีประนอมยอมความแล้ว แต่จำเลยผิดนัด จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลย ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทจำเลยเป็นผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการรับขนส่ง ได้ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทอื่นโดยใช้ชื่อใกล้เคียงกับบริษัทจำเลย บริษัทใหม่และบริษัทเดิมก็มีกรรมการผู้จัดการเป็นคนเดียวกัน เดิมบริษัทจำเลยมีสัญญารับว่าจ้างขนส่งกับบริษัทผู้มีชื่อ ภายหลังเมื่อกรรมการของบริษัทจำเลยได้ไปจดทะเบียนบริษัทใหม่ ได้เอาบริษัทไปทำข้อตกลงสัญญาในการขนส่งกับลูกเดิมแทนบริษัทจำเลย คดีนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดี **ผมสุขภาพไม่ค่อยดี ขอรบกวนท่านลีนนท์ช่วยหาฎีกาว่าคดีนี้จะดำเนินคดีกับกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัททั้งสองบริษัทนี้ในข้อหาโกงเจ้าหนี้ได้หรือไม่ | |
ผู้ตั้งกระทู้ รอย :: วันที่ลงประกาศ 2009-12-24 10:49:12 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2019121) | |
ได้ใช้ความพยายามค้นหาแล้วครับไม่พบฎีกาที่มีเนื้อหาเทียบเคียงได้กับข้อเท็จจริงของท่านรอยเปื้อนเลยครับ ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ดังนี้ครับ มาตรา 350 ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระ หนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล ให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การที่นิติบุคคล 2 นิติบุคคลมีกรรมการผู้มีอำนาจชุดเดียวกัน (หรือเกือบเป็นชุดเดียวกัน) แต่นิติบุคคลทั้งสองก็เป็นบุคคลตามกฎหมายแยกจากกันต่างหาก หรือเสมือนเป็นบุคคลสองคนแยกจากกัน ดังนั้นหากจะฟ้องนิติบุคคลและกรรมการข้อหาโกงเจ้าหนี้ ก็ต้องพิสูจน์ให้เข้าข้อกฎหมาย มาตรา 350 ว่ามีการย้าย ซ่อนเร้น โอน แกล้งเป็นหนี้ เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระ ดูแล้วน่าจะยากนะครับ หากกรรมการชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว และทรัพย์สินของนิติบุคคลก็ยังอยู่ครบถ้วนตามบัญชีงบดุล เว้นเสียแต่ได้นำทรัพย์สินเงินทุนของนิติบุคคลแรกไปลงทุนในนิติบุคคลที่เปิดใหม่
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-12-24 20:37:59 |
[1] |