ช่วยด้วยค่ะ | |
ข้าพเจ้านําสค1ไปออกโฉนด (เนื้อที่ในสค1) ในสค1 ทิศเหนือจด ที่ดินว่างเปล่า ทิศใต้จด ที่ดินว่างเปล่า ทฺศตะวันออกจดนาย ไข่ ก ทิศตะวันตกจด ที่ดินว่างเปล่า ปัจุบันตาม (ข้อเท็จจริง) ช่างรังวัดได้รังวัดโดยเจ้าของที่ดินเเละเจ้าของที่ดินข้างเคียงบันทึกใน ทด16 บันทึกข้างเคียงเปลี่ยนเเปลง ทิศเหนือจด นส3ก เ ทิศใต้จด ที่มีการครอบครอง นายก ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทิศตะวันออกจด โฉนดเลขที่46888 ทิศตะวันตกจด ที่มีการครอบครอง นาย คไม่มีเอกสารสิทธิ์ มีการรับรองเเนวเขตทุกด้านเนื้อที่ในสค1มีเนื้อที่ 7 ไร่ ช่างรังวัดใหม่ได้ 12ไร่ 1งาน22ตารางวา ตามที่ได้ครอบครองเเละทําประโยชน์อยู่จริง สํานักงานที่ดินได้ออกประกาศครบ30วันไม่มีผู้ใดโต้เเย้งคัดค้านสิทธิในที่ดินเเต่อย่างใด เเละ คณะกรรมการตามกฏกระทรวง43(พศ2537) ได้ออกพิสูจน์เเล้ว สภาพที่ดินเป็นควนเขา ท๋าสวนผสม ปลูกทุเรียน สะตอ เดิมที่ดินเป็นสวนยางพารา ที่ดินอยู่นอกเขตป่าถาวร อยู่คาบเกี่ยวป่าสงวนเเห่งชาติ ป่าเขานาคเกิด ตณะกรรมการมีความเห็นว่าควรออกโฉนดให้ผู้ขอได้ทั้งเเปลง ต่อมามีหนังสือจากที่ดินจังหวัด มีความเห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่ 12 ข้อ 10 กําหนดให้ที่ดินด้านหนึ่งด้านใดจดที่ป่าหรือที่รกร้างว่าเปล่าเเละระยะที่วัดได้เกินกว่าระยะที่ปรากฎในหลักฐานเเจ้งการตรอบครองให้ถือระยะที่ปรากฎในหลักฐานการเเจ้งการครอบครองเป็นหลักในการออกโฉนด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินรายนี้ผู้ขอได้นําการรังวัดเกินระยะในสคมากเเละเดิมสคเเจ้งจดที่รกร้างว่างเปล่าถึงด้านตือด้านทิศเหนือ ทิศใต้ เเละทฺศตะวันตก จึงเป็นเหตุให้เนื้อที่เกินหลักฐานสค1เดิมมากด้วยเเละผู้ขอไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่รังวัดกันระยะตามสค1 ฉะนั้น เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่พศจึงเห็นควรกันระยะตามสค1 เเละเเจ้งให้ผู้ขอทราบ เพื่อให้โอกาศอุธรณ์คําสั่งต่อไป จึงเกิดคําถามว่าเเนวทางปฏิบัติว่าการออกโฉนดว่าจะ ขอถามความรู้ทางกฎหมายด้วยครับ ยึดเนื้อที่ตามสค1 หรือ ข้อเท็จจริง เพื่อเป็นเเนวทางในการปฏิบัติ ถ้ายึดตามสค1 ข้าพเจ้าได้เนื้อที่7ไร่ ถ้ายึดตามข้อเท็จจริงข้าพเจ้าได้12ไร่1งาน22ตารางวา | |
ผู้ตั้งกระทู้ ปราณี :: วันที่ลงประกาศ 2009-12-23 06:11:55 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2018749) | |
1. หากทุกด้านมีเขตติดต่อกับที่ดินแปลงอื่นและเจ้าของที่ดินทุกด้านรับรองแนวเขตให้ก็สามารถออกโฉนดได้ตามความเป็นจริง 2. แต่ตามหนังสือของที่ดินจังหวัดได้แจ้งว่าจะออกให้ตาม ส.ค. 1 นั้น ก็เป็นไปตามระเบียบ ซึ่งตามเหตุผลแล้วก็ถูกต้องครับ ดังนั้นหากเราไม่เห็นด้วยกับที่ดินจังหวัดก็ต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อไปครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-12-23 16:43:13 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2018786) | |
ฟ้องศาลอาญาหรือมีทางอึ่นช่วยเเนะนําด้วยค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปรานี วันที่ตอบ 2009-12-23 19:50:20 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2018789) | |
ขอรบกวนค่ะ มีขอ้กฎหมายมาฟ้องค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปรานี วันที่ตอบ 2009-12-23 20:07:08 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2018863) | |
ต้องอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดผู้ทำคำสั่งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดครับ ลองอ่านคำวินิจฉัยดูครับเป็นเรื่องคล้าย ๆ กัน เลขเสร็จ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2009-12-24 00:36:38 |
ความคิดเห็นที่ 5 (2018872) | |
หลักในการปฏิบัติมีเเนวทางปฎิบัติที่คุณลีนนท์ชี้ให้เห็นว่าอํานาจที่สุดคือผู้ว่า คําสั่งทางปกครองถ้านอกกรอบก็มีกฏหมายรองรับทั้งวินัย อาญาเเต่ก็ขึ้นกับข้อเท็จจริง ถ้ากรณีที่คุณปราณีเล่ามานั้นเเนวทางปฎิบัติของกรมที่ดินมีเเนวทาง กรณีข้างเคียงเปลี่ยนเเปลง เพราะในสค1จะเขียนไว้เป็นการประมาณการ ต้องมาดูข้อเท็จจริง เเละ ข้อมูลข้างต้น สมบูรณ์เเล้ว ทั้งการรับรองเเนวเขตรอบด้าน คณะกรรมการตามกฎ43ซึ้งเป็นคณะกรรมการร่วม ประกาศครบ30วันไม่มีผู้โต้เเย้ง ที่ดินมีหน้าที่สรุปความเห็นของคณะกรรมการตามกฎ43เสนอผู้ว่า งานเเผ่นดินมีขั้นตอนที่มีเเนวทางปฏิบัติมีหลายคดีที่เจ้าหน้าที่อาจเจอมาตรา157 อดบํานาญก็เห็นมา ฟ้องศาลปกครองหรือ ศาลอาญา ไม่ต้องดูอะไรไห้วุ่นวาย มีเอกสารสารเป็นหลักฐานโต้ตอบ ความผิดสําเร็จเเล้ว ลองไปยื่นให้ชมรมผู้สือข่าวที่รัฐสภา คงเห็นกระจ่างขึ้น จะได้เปิดเผยข้อมูลเพื่อเป็นเเนวทางให้ประชาชนทั้งประเทศไดรู้ถึงสิทธิตามกฎหมายหลังจากนั้นค่อยคิดจะฟ้องศาลใหน ขอให้ได้สิทธิอันพึงได้ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนสันจร วันที่ตอบ 2009-12-24 02:24:50 |
ความคิดเห็นที่ 6 (2019733) | |
ส่งสําเนาให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น มทเก่า วันที่ตอบ 2009-12-26 21:45:37 |
ความคิดเห็นที่ 7 (2019830) | |
การยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายในระยะเวลาเท่าไร การยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ในกรณีที่เป็นคำสั่งที่อาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ผู้ออกคำสั่งจะต้องระบุระยะ การพิจารณาอุทธรณ์ 2. การฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง หรือการกระทำละเมิดทางปกครอง ทั้งนี้ หากเป็นการยื่นฟ้องคดีปกครองเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีดังกล่าว แต่ถ้าเป็นการฟ้องคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เช่น การฟ้อง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2009-12-27 13:48:50 |
ความคิดเห็นที่ 8 (2019843) | |
การฟ้องศาลปกครองเจ้าหน้าที่พันผิดเสมอตัว ฟ้องสื่อมวลชน ให้ฝ่ายค้านซักถามในสภา หาข้อมูลที่เเปลงอึ่นดูครับผมว่าทําเพื่อคนทั้งประเทศ จะได้บุญ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ตนไทย วันที่ตอบ 2009-12-27 14:34:03 |
ความคิดเห็นที่ 9 (2019969) | |
ความเห็นที่ 4 (2018863)เรืองเเจ้งการครอบครองไม่ชอบ ประเด็นผมว่าไม่คล้ายกันเลยครับ กรณีคุณปราณีที่ดินมีความเห็นให้กันระยะตามสค1 ประเด็นเรื่องมาตรา 59 ตรี ในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ถ้าปรากฏว่าเนื้อที่ที่ทำการรังวัดใหม่แตกต่างไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้ได้เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ดังนั้นการออกระเบียบวิธีปฏิบัติกรมควรคำนึงถึงหลักกฎหมายบังคับไว้แค่ใหนก็ควรวางไว้แค่นั้นไม่ควรจะขยายแนวทางปฏิบัติให้เกิดความสับสนในความสำคัญระหว่างระเบียบกับกฏหมาย เลขเสร็จ
เรื่อง บันทึก เรื่อง หลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามมาตรา 59 ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เนื้อหา กรมที่ดินได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ มท 0711/19879 ลงวันที่ 27 กันยายน 2533 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ถ้าปรากฏว่า เนื้อที่ที่ทำการรังวัดใหม่แตกต่างไปจากเนื้อที่ตาม ใบแจ้งการครอบครองตามมาตรา 5*(1) แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย ที่ดิน พ.ศ. 2497 แล้ว ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 59 ตรี*(2) ได้บัญญัติให้พนักงาน เจ้าหน้าที่พิจารณาออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้ได้เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่งคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้กำหนด ระเบียบไว้แล้วในฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2532) ว่าด้วยเงื่อนไขการออกโฉนดที่ดินหรือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ *(1) _พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497_ มาตรา 5 ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการ ครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ แก่ผู้แจ้งแต่ประการใด *(2) _ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ_ _ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515_ มาตรา 59 ตรี ในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ถ้าปรากฏว่าเนื้อที่ที่ทำการรังวัดใหม่แตกต่างไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้งการครอบครอง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่พิจารณาออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้ได้เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
ในทางปฏิบัติตามนัยมาตราดังกล่าวเจ้าหน้าที่มีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย ดังนี้ ฝ่ายที่หนึ่งเห็นว่า (1) มาตรา 59 ตรี เป็นเรื่องการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการ ทำประโยชน์เฉพาะรายตามมาตรา 59*(3) และมาตรา 59 ทวิ*(4) แห่งประมวล *(3) _ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ _ _ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515_ มาตรา 59 ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรี ตามมาตรา 58 แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร ให้ ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ได้ตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามวรรคหนึ่งให้ หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากผู้ซึ่งมี หลักฐานการแจ้งการครอบครองด้วย *(4) _ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ _ _ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515_ มาตรา 59 ทวิ ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวล กฎหมายนี้ใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและมิได้แจ้งการครอบครอง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 แต่ไม่รวมถึง ผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี ถ้ามีความจำเป็นจะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร ให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณีได้ตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด แต่ต้องไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม วรรคหนึ่ง ให้ความหมายรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมา จากบุคคลดังกล่าวด้วย
กฎหมายที่ดิน เพราะมาตรา 59 ตรี เป็นบทบัญญัติที่สืบเนื่องมาจากมาตรา 59 และ มาตรา 59 ทวิ ดังนั้น จึงไม่อาจนำมาตรา 59 ตรี ไปใช้บังคับเกี่ยวกับการออกโฉนด ที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามมาตรา 58*(5) และมาตรา 58 ทวิ*(6) เรื่องการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ *(5) ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2528 มาตรา 58 เมื่อรัฐมนตรีเห็นสมควรจะให้มีการออกโฉนดที่ดินหรือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในจังหวัดใดในปีใด ให้รัฐมนตรีประกาศใน ราชกิจจานุเบกษากำหนดจังหวัดที่จะทำการสำรวจรังวัดทำแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวน การทำประโยชน์สำหรับปีนั้น เขตจังหวัดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไม่รวมท้องที่ ที่ทางราชการได้จำแนกให้เป็นเขตป่าไม้ถาวร เมื่อได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด กำหนดท้องที่และวันเริ่มต้นของการเดินสำรวจรังวัดในท้องที่นั้นโดยปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานที่ดิน ที่ว่าการอำเภอ ที่ว่าการกิ่งอำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่ทำการ ผู้ใหญ่บ้านแห่งท้องที่ก่อนวันเริ่มต้นสำรวจไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เมื่อได้มีประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดตามวรรคสอง ให้บุคคลตาม มาตรา 58 ทวิ วรรคสอง หรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าวนำพนักงานเจ้าหน้าที่หรือ ผู้ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่มอบหมายเพื่อทำการสำรวจรังวัดทำแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวน การทำประโยชน์ในที่ดินของตนตามวันและเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้นัดหมาย ฯลฯ ฯลฯ *(6) _ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม_ _ประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2528_ มาตรา 58 ทวิ เมื่อได้สำรวจรังวัดทำแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวนการทำ ประโยชน์ในที่ดินตามมาตรา 58 แล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในวรรคสอง เมื่อปรากฏว่า ที่ดินที่บุคคลนั้นครอบครองเป็นที่ดินที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ได้ตามประมวลกฎหมายนี้ (2) มาตรา 59 ตรี มิได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติในมาตรา 58 และ มาตรา 58 ทวิ มาใช้บังคับทำนองเดียวกับมาตรา 59 จัตวา*(7) และมาตรา 59 เบญจ*(8) กล่าวคือ ถ้ามาตรา 59 ตรี ประสงค์จะให้นำหลักเกณฑ์ตามมาตรา 59 ตรี ไปใช้บังคับเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยวิธีเดิน สำรวจตามมาตรา 58 และมาตรา 58 ทวิ ด้วยแล้ว ก็น่าจะได้บัญญัติไว้ให้ชัดแจ้ง ทำนองเดียวกับมาตรา 59 จัตวา และมาตรา 59 เบญจ บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำ ประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้ คือ (1) ผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดิน มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" หรือเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ (2) ผู้ซึ่งได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี (3) ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวล กฎหมายนี้ใช้บังคับ และไม่มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตาม กฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ ฯลฯ ฯลฯ *(7) ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2528 มาตรา 59 จัตวา การออกโฉนดที่ดินตามมาตรา 58 ทวิ มาตรา 58 ตรี และมาตรา 59 ถ้าหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเดิมมีรายการภาระ ผูกพัน หรือมีรายการเปลี่ยนแปลงผู้มีสิทธิในที่ดินในระหว่างดำเนินการออกโฉนดที่ดิน ให้ยกรายการดังกล่าวมาจดแจ้งไว้ในโฉนดที่ดินด้วย *(8) ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2528 มาตรา 59 เบญจ การออกโฉนดที่ดินตามมาตรา 58 ทวิ และมาตรา 59 ให้ถือว่าหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเดิมเป็นอันยกเลิก และให้ส่งหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ที่ยกเลิกแล้วนั้นคืนแก่เจ้าพนักงานที่ดิน เว้นแต่กรณีสูญหาย ฝ่ายที่สองเห็นว่า (1) หลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามมาตรา 59 ตรี จะต้องนำไปใช้บังคับเกี่ยวกับเรื่องการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ ทั้งวิธีการเดินสำรวจตามมาตรา 58 และมาตรา 58 ทวิ และวิธีการออกเฉพาะรายตามมาตรา 59 และมาตรา 59 ทวิ เพราะความใน มาตรา 59 ตรี มิได้บัญญัติแยกวิธีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ไว้ว่าให้ใช้บังคับได้เฉพาะกรณีใดกรณีหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องนำมาตรา 59 ตรี ไปใช้บังคับกับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ทั้งสองวิธี (2) ถ้ามาตรา 59 ตรี ไม่ประสงค์จะให้ใช้บังคับแก่การออกโฉนดที่ดิน วิธีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะแล้ว ก็น่าจะบัญญัติยกเว้นไว้โดยชัดแจ้ง เมื่อมิได้บัญญัติยกเว้นไว้ ก็ต้องนำมาตรา 59 ตรี ไปใช้บังคับกับวิธีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำ ประโยชน์ทั้งสองวิธี ตามนัยดังกล่าวแล้วข้างต้น กรมที่ดินพิจารณาแล้วเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เพื่อ ความถูกต้องในทางปฏิบัติจึงขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาวินิจฉัย คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 7) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวโดยรับฟังคำชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) แล้วเห็นว่า หลักเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดเนื้อที่เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ในกรณีที่มีปัญหาว่าเนื้อที่ที่ทำการรังวัดใหม่แตกต่างไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้งการครอบครอง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 นั้น มาตรา 59 ตรี บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้เท่าจำนวน เนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนด ซึ่งตาม ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2532) ว่าด้วยเงื่อนไข การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ข้อ 8*(9) กำหนดว่า ถ้าที่ดิน *(9) ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2532) ว่าด้วยเงื่อนไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ข้อ 8 ในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ถ้าปรากฏ ว่าที่ดินมีอาณาเขต ระยะของแนวเขตและที่ดินข้างเคียงทุกด้านถูกต้องตรงกับหลักฐาน มีอาณาเขต ระยะของแนวเขตและที่ดินข้างเคียงทุกด้านถูกต้องตรงกับหลักฐานการ แจ้งการครอบครอง เชื่อได้ว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่เนื้อที่ที่คำนวณได้แตกต่างกัน ให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ แล้วแต่ไม่เกินเนื้อที่ที่คำนวณได้ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า กรณีที่จะใช้บังคับมาตรา 59 ตรี ได้จะต้องปรากฏว่าผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และเนื้อที่ที่รังวัดใหม่แตกต่าง ไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้งการครอบครองดังกล่าว และเมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59*(10) ซึ่งบัญญัติว่า ที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นการเฉพาะรายนั้น แม้ว่าเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตที่รัฐมนตรีประกาศเป็นเขตเดินสำรวจ รังวัดตามมาตรา 58*(11) ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินก็ยังขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ดังนั้น เมื่อนำมาตรา 59 ตรี*(12) ซึ่งเป็นเรื่องการคำนวณเนื้อที่เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์มา ใช้บังคับกับที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย การแจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย ที่ดิน พ.ศ. 2497 เชื่อได้ว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่เนื้อที่ที่คำนวณได้แตกต่างไป จากเนื้อที่ตามหลักฐานการแจ้งการครองครองดังกล่าว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออก โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์แล้ว แต่ไม่เกินเนื้อที่ที่คำนวณได้ ในกรณีที่ระยะของแนวเขตที่ดินผิดพลาดคลาดเคลื่อน ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำ ประโยชน์แล้วเมื่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงได้ลงชื่อรับรองแนวเขตไว้เป็นการถูกต้อง ครบถ้วนทุกด้าน *(10) โปรดดูเชิงอรรถ (3) *(11) โปรดดูเชิงอรรถ (5) *(12) โปรดดูเชิงอรรถ (2) ตามมาตรา 59 แล้ว หากไม่นำหลักเกณฑ์ตามมาตรา 59 ตรี มาใช้บังคับกับ ที่ดินแปลงอื่น ๆ ที่รัฐมนตรีประกาศเป็นเขตเดินสำรวจรังวัดตามมาตรา 58 และ มาตรา 58 ทวิ ซึ่งผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมิได้ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรอง การทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย ผลที่เกิดขึ้นก็คือจะเป็นการใช้บังคับกฎหมาย ไม่เหมือนกันทั้ง ๆ ที่เป็นที่ดินที่อยู่ในเขตที่รัฐมนตรีประกาศเป็นเขตเดินสำรวจ รังวัดเหมือนกัน อีกทั้งเมื่อมีปัญหาในการคำนวณเนื้อที่ผิดไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้ง การครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ก็จะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ว่าจะกำหนดเนื้อที่โดยใช้ หลักเกณฑ์อะไร อนึ่ง การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยวิธี การเดินสำรวจรังวัดตามมาตรา 58 และมาตรา 58 ทวิ นั้น ถ้าผู้ซึ่งครอบครอง ที่ดินอยู่ภายในจังหวัดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ ได้แจ้งการครอบครองไว้โดยชอบตามมาตรา 5 แห่ง พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ดังที่บัญญัติไว้ตาม มาตรา 58 ทวิ วรรคสอง (1)*(13) เมื่อทางราชการเดินสำรวจรังวัดเพื่อ ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากปรากฏว่าเนื้อที่ตามใบแจ้ง การครอบครองไม่ตรงกับเนื้อที่ที่รังวัดใหม่ ย่อมต้องนำหลักเกณฑ์ในการคำนวณ เนื้อที่ดินที่แตกต่างไปตามมาตรา 59 ตรี มาใช้บังคับ ส่วนกรณีการออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยวิธีการออกเฉพาะรายตามมาตรา 59 ทวิ นั้น เป็นกรณีที่ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินมิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่ง พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 จึงไม่มีกรณีที่จะใช้ มาตรา 59 ตรี บังคับได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 7) จึงเห็นว่า หลักเกณฑ์การกำหนดเนื้อที่เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ตามมาตรา 59 ตรี ใช้บังคับกับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ ทั้งวิธีการเดินสำรวจรังวัดตามมาตรา 58 และมาตรา 58 ทวิ และวิธีการขอออกเฉพาะรายตามมาตรา 59 หาใช่บัญญัติไว้เพื่อใช้กับกรณีตาม มาตรา 59 และมาตรา 59 ทวิ โดยเฉพาะไม่ (ลงชื่อ) ม. ตันเต็มทรัพย์ (นายไมตรี ตันเต็มทรัพย์) รองเลขาธิการฯ ปฏิบัติราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการ มีนาคม 2534. _ไพบูลย์ - คัด/ทาน__ ผมว่ายกข้อต่อสู้ที่กฤษฎีกามีความเห็นข้างต้น ซึ่งต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นละเว้นมาตรา157 ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ตนไทย วันที่ตอบ 2009-12-28 05:53:30 |
[1] |