ทอมฟ้องทวงเงินที่เคยใช้ด้วยกัน? ได้มั้ยครับ... | |
สวัสดีครับพี่ทนาย ผมมีเรื่องอยากจะขอคำปรึกษาครับคือว่ามันเป็นเรื่องของแฟนผมครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ภาคภูมิ เกียงภา :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-31 23:27:33 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2223263) | |
ผมอ่านจบแล้วยังไม่รู้ว่าจะปรึกษาเรื่องอะไรครับ ไม่เห็นมีคำถามเลยครับ แต่พอสรุปได้ว่า สัญญารับสภาพหนี้ฟ้องร้องได้หรือไม่ ตอบว่าฟ้องได้ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-10-06 17:36:13 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2223269) | |
ฟ้องให้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ ทั้งได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชำระหนี้แก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด หากจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระนี้จำเลยที่ 2 ยอมโอนที่ดินพร้อมบ้านให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองบิดพลิ้วก็ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดิน ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาที่โจทก์อ้างในคำฟ้องเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ แม้จะมีคำขอบังคับให้ขับไล่ก็มิใช่คดีฟ้องขับไล่บุคคลใดออกจากอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงมีจำนวนเพียง 200,000 บาท ส่วนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จเป็นค่าเสียหายในอนาคต ซึ่งไม่อาจนำมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ได้ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำหนังสือรับสภาพหนี้ในมูลหนี้กู้ยืมที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์จำนวน 1,500,000 บาท หากจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้จำเลยที่ 2 ยอมโอนที่ดินพร้อมบ้านให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำสัญญากู้และไม่ได้รับเงินกู้จากโจทก์ จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้เนื่องจากถูกข่มขู่ หนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่มีมูลหนี้เพราะจำเลยทั้งสองไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ ทั้งได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชำระหนี้แก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด หากจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้จำเลยที่ 2 ยอมโอนที่ดินพร้อมบ้านให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองบิดพลิ้วก็ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยทั้งสองต่างให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำสัญญากู้และไม่เคยรับเงินกู้จากโจทก์ ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาที่โจทก์อ้างในคำฟ้องเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ แม้จะมีคำขอบังคับให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินก็มิใช่คดีฟ้องขับไล่บุคคลใดออกจากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง แต่เป็นเรื่องที่คู่ความมีข้อพิพาทโต้เถียงกันเกี่ยวกับมูลหนี้ตามสัญญากู้และตามหนังสือรับสภาพหนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงมีจำนวนเพียง 200,000 บาท ส่วนดอกเบี้ยนัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จเป็นค่าเสียหายในอนาคตซึ่งไม่อาจนำมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ได้ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า แม้สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์กับจำเลยท่ 1 มีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์และรับเงินไปแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับเงินกู้จากโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้และหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ล้วนเป็นการโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองมาก็เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้” พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ ( กำพล ภู่สุดแสวง - สถิตย์ ทาวุฒิ - พงษ์ศักดิ์ วีระเสถียร ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-10-06 17:41:57 |
[1] |