แม่เราถูกลูกเขยขโมยบัญชี+บัตรประชาชาไปเบิกเงินจะทำไงดีค่ะ | |
ช่วยแนะนำด้วยค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า พ่อกับแม่อยู่บ้านกัน2ตายาย เนื่องจากไม่ปลื้มลูกเขยคนนี้ เพราะมีเหตุเงินหายอยู่บ่อยๆ และจนสุดท้ายสร้อยทองหายไป1บาท พ่อแม่จึงให้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ซึ่งพี่สาวกับพี่เขยก็ไปซึ้อบ้านอยู่ห่างกันเป็น10กิโลเมตร แต่เหตุการณ์เงินแม่หายบ่อยๆก็ยังมีอยู่ และสัญนิฐานว่าเป็นพี่เขยเอาไป แต่ไม่เคยมีหลักฐานจับได้คาหนังคาเขา ล่าสุดสมุดเงินฝากกับบัตรประชาชนแม่หายไป เมื่อไปสอบถามที่ธนาคารได้ความว่าพี่เขยเป็นคนลงชื่อเบิกเงิน จำนวน 60,000 บาท แม่ก็ขอหลักฐานใบเบิกเงินนั้นมา พี่เขยถึงยอมจำนนด้วยหลักฐาน จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบ2สัปดาห์ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เอาเงินมาคืนเลย จะทำอย่างไรต่อไปดีค่ะช่วยแนะนำด้วย ขอบคุณมากค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ สุ :: วันที่ลงประกาศ 2012-09-20 13:01:04 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2307196) | |
การที่พี่เขยนำบัตรประชาชนของแม่ไปเบิกเงิน ทางธนาคารไม่น่าจะยอมให้เบิกถอนได้นะครับ เรื่องนี้ให้ข้อเท็จจริงมายังไม่มากพอ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการลงชื่อแม่โดยแม่ไม่รู้เห็นในการกระทำนั้นถือเป็นการปลอมเอกสารมีโทษทางอาญา และฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ด้วย แนะนำให้ไปแจ้งความดำเนินคดีโดยเร็วก่อนที่เงินจะถูกยักย้ายถ่ายเทไปยังบุคคลอื่นครับ มาตรา 264 ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-10-11 17:27:40 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2307202) | |
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกค้าจำเลยสาขาสมุทรสงคราม ประเภทบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 709-2-23876-5 โดยโจทก์ขอเปิดบัญชีกับจำเลยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2540 ยินยอมที่จะปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยและได้มอบตัวอย่างลายมือชื่อในการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าว ระบุเงื่อนไขในการสั่งจ่ายว่า เจ้าของบัญชีลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแต่เพียงผู้เดียวให้ไว้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 มีบุคคลนำสมุดคู่ฝากของโจทก์พร้อมด้วยใบถอนเงินฝากซึ่งระบุชื่อโจทก์ เลขที่บัญชีและจำนวนเงินที่ถอน 400,000 บาท มีลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้รับเงินและช่องเจ้าของบัญชีมาขอถอนเงินจากจำเลยสาขาสมุทรสงคราม 400,000 บาท จำเลยโดยสุจริตได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบการจ่ายเงินให้แก่บุคคลผู้นำสมุดคู่ฝากและใบสำคัญในการถอนเงินมาเบิกเงินจากจำเลยได้ตรวจดูลายมือชื่อในใบถอนเงินเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อที่โจทก์ได้มอบไว้ ปรากฏว่ามีลักษณะลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน จำเลยเชื่อโดยสุจริตเชื่อว่าบุคคลนั้นเป็นตัวโจทก์จริงจึงจ่ายเงิน 400,000 บาท ตามที่ขอถอนให้แก่บุคคลนั้นไปซึ่งเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติงานของจำเลยโจทก์ร่วมกับบุคคลภายนอกฉ้อฉลจำเลยโดยให้บุคคลภายนอกนำสมุดคู่ฝากของโจทก์พร้อมด้วยใบถอนเงินซึ่งโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ และนำมาถอนเงิน 400,000 บาท จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2543 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 กรกฎาคม 2543) ต้องไม่เกิน 8,824 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-11 17:44:28 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2307227) | |
ปลอมและใช้ใบถอนเงินฝากปลอม ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ , ๒๖๘ , ๓๕๒ วรรคแรก จำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานใช้ใบถอนเงินฝากปลอม จำคุก ๑ ปี ฐานใช้สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากปลอม จำคุก ๑ ปี ฐานยักยอก จำคุก ๑ ปี รวมจำคุก ๓ ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยปลอมใบถอนเงินฝากแล้วนำไปใช้แสดงต่อธนาคารเพื่อถอนเงินเกินกว่าที่ตนได้รับมอบฉันทะ แล้วยักยอกเอาเงินของผู้เสียหายส่วนที่เกินไปนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรง แม้จะปรากฏว่าจำเลยชดใช้เงินให้ผู้เสียหายเต็มจำนวนที่ยักยอกไปก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้ ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง การที่จำเลยปลอมและใช้ใบถอนเงินฝากปลอม กับปลอมและใช้สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากปลอมก็เพื่อเจตนาที่จะยักยอกเงินจำนวน ๑๗๐,๐๐๐ บาท ของผู้เสียหายนั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยมา ๓ กระทงนั้น ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและบางบทมีโทษเท่ากัน เห็นสมควรลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๕ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุก ๑ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘. | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-11 20:14:28 |
[1] |