ค่าผ่านทางที่ดิน | |
แม่ดิฉันได้ซื้อที่ดินแถวตลิ่งชันเอาไว้ เมื่อประมาณ30ปีก่อนได้มีการเรี่ยไรเงินทำถนนประมาณหลักหมื่น ซึ่งแม่ดิฉันไม่ได้ร่วมด้วย เนื่องจากท่านค้าขายและพวกเราไม่ได้อาศัยอยู่ ณ ปัจจุบันแม่ดิฉันได้เสียชีวิตแล้ว พวกเรามีความจำเป็นต้องขายเพื่อนำเงินมารักษาพ่อ เกิดปัญหาขึ้นมาว่าเขาเรียกค่าผ่านทาง4แสนบาท ในความคิดว่าเขาเรียกร้องมากเกินไปและถนนไม่ใช่ถนนส่วนบุคคลเป็นสาธารณะ ดิฉันควรดำเนินขั้นตอนยังไง รบกวนด้วยค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ วรรณ :: วันที่ลงประกาศ 2013-04-25 21:27:05 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2357202) | |
ในกรณีที่ทางเดินตามอ้างเป็นทางสาธารณะแล้ว แม้เดิมมีการเรี่ยไรเงินเพื่อบำรุงรักษาถนนกันก็ตาม แต่ไม่ตัดสิทธิคุณที่จะใช้ทางสาธารณะนั้นด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ดังนั้นไปตรวจสอบให้ดีว่าเป็นถนนส่วนบุคคลหรือเป็นทางเดินสาธารณะครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2013-05-13 10:59:12 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2358756) | |
ทางสาธารณะเป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะ อันเป็น ที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้อง บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็น ที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใด เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้อง นำสืบในชั้นพิจารณาคดีเป็นฟ้องที่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5) แล้ว ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่า แต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่า ที่พิพาทยังคง เป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ ร่วมกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ ได้ จำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่าที่ดินตามฟ้องไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยอ้างว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยปิดกั้นทางสาธารณะอันเป็นที่ดินของรัฐที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น ไม่ได้บรรยายให้ทราบว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็นที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใด จึงไม่เพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ไม่จำต้องรรยายฟ้องว่าที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็นที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใดเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาคดีต่อไป ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่เคลือบคลุม จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ เพราะที่พิพาทเป็นที่ดินที่เคยให้เอกชนเช่าจึงไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันนั้น เห็นว่า แม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าที่พิพาทตามคำเบิกความของพยานโจทก์ก็ตาม แต่ตามคำพยานโจทก์ฟังได้ว่า เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่าและประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมา จึงถือได้ว่าที่พิพาทยังคงเป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2013-05-19 12:46:15 |
[1] |