แจ้งความ | |
เรียน คุณ ลีนนท์ ที่เคารพ ขอถามว่าการแจ้งความเช็ค เพื่อดำเนินคดีจนถึงที่สุด กับแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐาน แตกต่างอย่างไร เพราะเช็คเด้ง จากสัญญากู้ยืมเงิน ลูกหนี้จ่ายเช็คมา 12 ใบ เดือนละใบ 3ใบแรกแจ้งความกับตำรวจ เขียนว่าดำเนินคดี จนถึงที่สุด 3 ใบ ต่อมาตำรวจบอกแจ้งเพื่อเป็นหลักฐานไว้ ซึ่งตำรวจให้เหตุผลว่าพอเช็ค 3 ใบแรก ขึ้นศาล เช็คที่เหลืออีก 9 ใบ ที่ทยอยแจ้งความไว้เป็นหลักฐานก็จะไปรวมกันได้ ขอถามว่า เช็คที่แจ้งความว่าเพื่อเป็นหลักฐาน มีอายุความหรือไม่ ถ้ามีนานเท่าไร | |
ผู้ตั้งกระทู้ พงษ์ :: วันที่ลงประกาศ 2008-10-15 15:38:39 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1850950) | |
การแจ้งความไว้เป็นหลักฐานก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการการกระทำใดๆ เกิดขึ้นอย่างที่ได้แจ้งความไว้จริง แต่ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกกล่าวหา แต่การแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีจนถึงที่สุดคือ ผู้แจ้งประสงค์ที่จะให้เจ้าหน้าผู้รับแจ้งดำเนินการตามกฎหมายต่อไปครับ สำหรับอายุความในทางอาญาต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ส่วนในทางแพ่งเรื่องตั๋วเงินไม่ต้องแจ้งความแต่ต้องฟ้องภายในหนึ่งปีครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-10-16 13:07:32 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1850978) | |
เรียน คุณ ลีนนท์ ที่เคารพ ขอถามใหม่ คุณตอบไม่ตรงประเด็น ที่ตอบมาผมเข้าใจอยู่แล้ว แต่ที่ไม่เข้าใจคือและขอถามคือ 1.เช็ค 3 ใบ(3เดือน) แจ้งความดำเนินคดีถึงที่สุด ตำรวจทำเรื่องให้แล้ว เรียกผู้ต้องหามาพิมพ์ลายนิ้วมือมาสอบสวนแล้วก็ปล่อยตัวไป ตอนนี้เรื่องอยู่กับอัยการ ใครแพ้-ชนะ ก็รอศาลตัดสิน เท่ากับว่าเช็ค 3 ใบแรกไม่หมดอายุความ และเป็นคดีไปแล้ว 2.ที่ผมยังไม่เข้าใจก็คือ เช็ค อีก 3 ใบ ต่อมา ตำรวจบอกให้แจ้งเป็นหลักฐานเท่านั้น และลงบันทึกประจำวันไว้ ตำรวจบอกว่ารอศาลพิพากษา คดีแรกก่อน จะได้ไม่ต้องเรียกผู้ต้องหามาสอบ มาพิมพ์ลายนิ้วมือตำรวจไม่ต้องเดินทางไปธนาคารสอบ สมุห์บัญชี คือข้ออ้างของตำรวจบอกว่า คดีที่ร้ายแรงมีเยอะมาก คดีเช็คไม่ค่อยว่าง ผมต้องการถามคุณลีนนท์ว่า ข้อกฏหมายแจ้งความเป็นหลักฐานเท่านั้น จะมีผลให้เช็ค 3ใบ ต่อมา เป็นอย่างไรหรือผมควรนำเช็คไปแจ้งความใหม่ว่าดำเนินคดีถึงที่สุด ขอรบกวนคุณลีนนท์ ตอบด้วย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พงษ์ วันที่ตอบ 2008-10-16 14:01:23 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1851302) | |
เรียน คุณ ลีนนท์ ที่เคารพ ขอเพิ่มรายละเอียด คือเช็ค 3 ใบแรก ตำรวจขอค่าดำเนินการ ทางผมจ่ายไป 5 พัน ส่วนเช็คชุดที่ 2 อีก 3ใบ แจ้งความเป็นหลักฐานอย่างเดียวตำรวจไม่เอาเงิน ถามว่า เช็คชุดที่2 แจ้งเพื่อกันขาดอายุวามไว้ก่อนจะมีผลภายหน้าอย่างไร เพราะตอนนี้ลูกหนี้กำลังพยายามเคลียร์อยู่ ขอขอบคุณล่วงหน้า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พงษ์ วันที่ตอบ 2008-10-17 09:02:54 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1851964) | |
เรียน คุณลีนนท์ ที่เคารพ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปอยากขอทราบคำตอบด้วยครับ คำถามคือ ความเห็นที่ 2 และ 3 ด้านบน ขอขอบคุณมาก | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พงษ์ วันที่ตอบ 2008-10-18 19:40:52 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1852128) | |
ฎีกาแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชา/ มีปัญหาว่าเป็นคำร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๒(๗)หรือไม่? ความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ.มาตรา ๓๒๖ และ ๓๒๘ เป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ.มาตรา ๓๓๓ พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนได้ต่อเมื่อมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๑๒๑ วรรคสอง แต่ข้อความในรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน ระบุแต่เพียงว่าผู้เสียหายทั้งสามมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้นำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูงเพื่อพิจารณาต่อไป จึงมิใช่เป็นการมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เป็นคำร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๒(๗) เพราะขณะแจ้งยังมิได้มีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ การสอบสวนความผิดฐานนี้ต่อมาภายหลังจึงเป็นการไม่ชอบ พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๑๒๐ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕ (ฎ. ๖๖๔๔/๒๕๔๙ ล.๘ น.๑๐๗) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6644/2549 ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 326 และมาตรา 328 เป็นความผิดอันยอมความได้ ตาม ป.อ. มาตรา 333 พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนได้ต่อเมื่อมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 วรรคสอง แต่ปรากฏจากสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานในหน้าแรกว่า ผู้เสียหายทั้งสามรวมทั้งบุคคลอื่นอีก 7 คน ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งไว้เป็นหลักฐานว่าในวันเกิดเหตุจำเลยไปหา ส. และขอร้องให้ ส. ไปขอล่าลายมือชื่อชาวบ้านให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นหลักฐานร่วมกันขับไล่ผู้อำนวยการโรงเรียนและคณะครู ซึ่งมีผู้เสียหายทั้งสามรวมอยู่ด้วยให้ย้ายไปที่อื่นโดยบอกว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และผู้เสียหายทั้งสามได้นำเอกสารเป็นบันทึกข้อความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวมามอบให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบ และในหน้าที่สองระบุว่าจึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้นำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาต่อไป ซึ่งกรณีเชื่อได้ว่าผู้เสียหายทั้งสามไปแจ้งความเพียงครั้งเดียวตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานฉบับดังกล่าวเท่านั้น เมื่อข้อความในสำเนารายงานประจำวันดังกล่าวระบุแต่เพียงว่าผู้เสียหายทั้งสามมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้นำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาต่อไป จึงมิใช่เป็นการมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เป็นคำร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (7) เพราะขณะแจ้งยังมิได้มีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ การสอบสวนความผิดฐานนี้ต่อมาภายหลังจึงเป็นการไม่ชอบ พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 326, 328 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำคุก 2 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า? ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 เป็นความผิดอันยอมความได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 333 พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนได้ต่อเมื่อมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง แต่ปรากฏจากเอกสารในหน้าแรกสรุปความได้ว่า ผู้เสียหายทั้งสามรวมทั้งบุคคลอื่นอีก 7 คน ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งไว้เป็นหลักฐานว่าเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2544 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา จำเลยไปหานางสุจินตนาและขอร้องให้นางสุจินตนาไปขอล่าลายมือชื่อชาวบ้านให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นหลักฐานร่วมกันขับไล่ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลป่าแดดและคณะครูซึ่งมีผู้เสียหายทั้งสามรวมอยู่ด้วยให้ย้ายไปที่อื่น โดยบอกว่าคณะครูดังกล่าวมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และผู้เสียหายทั้งสามได้นำเอกสารเป็นบันทึกข้อความลงวันที่ 27 มีนาคม 2544 เรื่อง ขอให้โยกย้ายครูที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม มามอบให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบด้วย และในหน้าที่สองระบุว่าจึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้นำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาต่อไป ซึ่งกรณีเชื่อได้ว่าผู้เสียหายทั้งสามได้แจ้งความเพียงครั้งเดียวเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2544 เท่านั้น เมื่อข้อความในเอกสารระบุแต่เพียงว่าผู้เสียหายทั้งสามมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้นำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาต่อไป จึงมิใช่เป็นการมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7) เพราะขณะแจ้งยังมิได้มีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ การสอบสวนความผิดฐานนี้ต่อมาภายหลังจึงเป็นการไม่ชอบ พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยต่อไป พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง. ( นันทชัย เพียรสนอง - สุมิตร สุภาดุลย์ - คมวุฒ บุรีธนวัต ) ศาลจังหวัดเชียงราย - นางกฤษณา กลั่นนุรักษ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 - นายธีระพงศ์ จิระภาค
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-10-19 11:05:58 |
[1] |