การขายทอดตลาดขาดทุน | |
เนื่องจากดิฉันเป็นผู้ค้ำประกันการซื้อรถยนต์ ปรากฎว่าเมื่อผู้เช่าซื้อส่งค่างวดไปประมาณ 5 งวด ก็หยุดส่งแล้วนำรถไปคืนให้บริษัทไฟแนนซ์ หลังจาก นั้นบริษัทได้มีหนังสือแจ้งผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำว่าจะดำเนินการนำรถขายทอดตลาด (ประมาณวันที่ 6 พ.ย. 51) และประมาณวันที่ 27 ธ.ค. 51 ดิฉันได้สอบถามผลการขายทอดตลาดไปยังฝ่ายกฎหมายของบริษัทไฟแนนซ์ ได้รับคำตอบว่าผลการขายทอดตลาดเป็นเงิน 104,000 บาท แล้วทางบริษัทจะมีหนังสือแจ้งให้ดำเนินการต่อไป และเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 52 ดิฉันได้รับหนังสือแจ้งจากบริษัทไฟแนนซ์ว่าให้นำเงินมาชำระค่าขายทอดตลาดขาดทุน เป็นเงิน 197,000 บาท รวมทั้งค่าเสียเวลาจากการขาดส่งค่างวด จำนวน 3 งวด (งวดละ 9,400 บาท) เป็นเงิน28,200 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นที่ต้องชำระ 225,200 บาท โดยให้ชำระเงินภายใน 15 วัน ดิฉันจึงได้ติดต่อไปยังผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อบอกว่าไม่มีเงินจะชำระให้คงต้องไปให้บริษัทฯ ฟ้องดำเนินคดี ดิฉันจึงติดต่อไปยังบริษัทฯ ๆ บอกว่าต้องให้ผู้เช่าซื้อมาตกลงว่าจะชำระหนี้หรือไม่อย่างไร และหากบริษัทฯ ไม่มียอดการชำระหนี้เข้าบัญชี จึงจะดำเนินการฟ้องดำเนินคดี ดิฉันจึงแจ้งไปยังผู้เช่าซื้อให้ไปเจรจากับฝ่ายกฎหมายของบริษัทฯ ซึ่งผู้เช่าซื้อก็ทำตามแต่ผลการเจรจาปรากฎว่าผู้เช่าซื้อก็ยังยืนยันกับบริษัทฯว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ และผู้เช่าซื้อยังบอกกับดิฉันด้วยว่าถ้าบริษัทจะดำเนินคดี ก็ปล่อยให้ฟ้องไป เพราะไม่มีทรัพย์สินอะไรจะให้ยึด แถมยังบอกดิฉันด้วยว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ดิฉันทราบดีว่าการเป็นผู้ค้ำประกันมีแต่เสียกับเสีย ซึ่งดูแล้วผู้เช่าซื้อคงจะไม่ทำอะไรเลย แล้วปล่อยให้ฟ้องไป ในส่วนของดิฉันควรจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง และดิฉันมีคำถาม ดังนี้ 1. อีกนานไหมกว่าจะมีหมายศาลมา (เพราะถึงอย่างไรผู้เช่าซื้อก็ไม่ชำระเงิน) 2. ต้องมีทนายหรือไม่ 3. ทราบมาว่าคดีแบบนี้เป็นคดีมะโนสาเร่ ศาลนัดแค่ครั้งเดียว แล้วตัดสินเลย ใช่หรือไม่ หลังจากศาลตัดสินแล้วสามารถเจรจาประนอมหนี้ได้อีกหรือไม่ 4. เมื่อศาลตัดสินแล้ว ดิฉันในฐานะผู้ค้ำจะต้องชำระหนี้คนเดียวทั้งหมด หรือแบ่งหนี้เป็นสองส่วน ให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำฯ ชำระใช่หรือไม่ หนึ้ที่ชำระควรจะอยู่ที่ประมาณเท่าใด (หลังจากเจรจาแล้ว) | |
ผู้ตั้งกระทู้ แบน (benjamas2509-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2009-01-27 11:51:29 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1893542) | |
1. ระยะเวลาเท่าใดคงตอบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของผู้ให้เช่าซื้อที่เขาอ้างว่าเขาได้รับความเสียหายอะไรบ้าง หรือเขาอาจไม่ฟ้องเลยก็ได้ถ้าเขาพอใจแล้ว ดังนั้นจึงตอบไม่ได้ว่านานแค่ไหน 2. ถ้าต่อสู้คดีก็ต้องมีทนายความทำคำให้การให้ แต่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าการต่อสู้คดีต้องมีทนายความ หากตัวความสามารถเรียบเรียงคำคู่ความและเอกสารอื่น ๆ ได้ ก็สามารถดำเนินการเองได้ 3. คดีมโนสาเร่ คือคดีที่มีทุนทรัพย์ที่ฟ้องร้องมาไม่เกิน 300.000 บาท หากเขาฟ้องมาไม่เกินนี้ก็เป็นคดีมโนสาเร่ สามารถดูที่หมายเรียกจะมีระบุไว้ว่าเป็นหมายเรียกคดีอะไร สำหรับเรื่องการไปศาลกี่ครั้งนั้นตอบไม่ได้ เพราะคดีมโนสาเร่บางคดีก็ไปศาลมากกว่า 1 ครั้งและอาจมีการกำหนดนัดสืบพยานนานห่างจากการไปศาลครั้งแรกถึง 5 เดือน หรืออานมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับงานศาลแต่ละศาลในขณะนัดนั้น การประนีประนอมสามารถทำได้ตั้งแต่ก่อนมีคำพิพากษาหรือหลังมีคำพิพากษาแล้ว 4. เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอากับลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันก็ได้ แล้วแต่ว่าเมื่อดำเนินการบังคับคดีแล้ว บังคับเอากับใครได้เงินเร็วกว่า เพราะเจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยที่ 1 และผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยที่ 2 ดังนั้นจำเลยทั้งสองจะเป็นลูกหนี้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้กับเจ้าหนี้ แต่ผู้ค้ำประกันมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าซื้อได้เมื่อผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้ว สำหรับยอดหนี้ควรจะเป็นเท่าไรนั้นก็อยู่ที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เท่าใด ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-01-27 15:48:50 |
[1] |