โดนหลอกให้ออกรถ(เช่าซื้อ) | |
ขอปรึกษาหน่อยค่ะว่าควรทำอย่างไร คือเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นหนูอายุ 20 ปีและอาศัยอยู่บ้านป้าเพราะพ่อแม่แยกทางกัน ป้าให้หนูเป็นผู้ออกรถให้ 1 คัน และให้หลานเขาเป็นผู้ค้ำ เงินที่ออกเป็นของเขา แล้วป้าบอกว่าเขาจะผ่อนเอง เขาออกรถเองไม่ได้ เพราะก่อนหน้านั้นเขาออกไปแล้ว และยังผ่อนไม่หมด ส่วนรถที่หนูออกให้ เขาได้เอาไปขายแล้ว และผ่อนเพียงงวดเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ผ่อนอีกเลย จนตอนนี้ทางบริษิท ใกล้จะฟ้องร้องแล้ว เพราะมันหมดสัญญาไปนานแล้ว หนูไม่รู้ว่าจะเอาผิดป้าได้อย่างไร และให้เขาชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าจะหาพยานและหลักฐานอะไรไปเอาผิดเขา ทำงานก็ได้เพียงเดือนละ 4000-5000 บาทเอง ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้ทางบริษัท ช่วยหาทางออกให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ หนูเมย์ :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-28 02:02:47 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2208978) | |
ในกรณีของคุณขอแสดงความเห็นไว้ดังนี้ 1. เมื่อคุณถูกฟ้อง ควรติดต่อทนายความต่อสู้คดีและร้องสอดโดยเรียกให้ป้ามาเป็นจำเลยร่วม ในฐานะตัวการไม่เปิดเผยชื่อ 2. ปล่อยให้เขาฟ้องและศาลมีคำพิพากษา เมื่อคุณไม่มีอะไรให้เจ้าหนี้บังคับคดี 10 ปี ก็จบเพราะเจ้าหนี้ต้องบังคับคดีภายใน 10 ปี
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-24 14:16:59 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2209014) | |
ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ตัวแทนเชิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4446/2545 ขณะที่จำเลยที่ 2 ครอบครองรถยนต์และเสนอขายให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองตกลงกันไว้ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของจำเลยที่ 1 จนกว่าจำเลยที่ 2 จะได้รับชำระเงินค่ารถยนต์จากโจทก์และนำมาชำระค่ารถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้วจำเลยที่ 1 จึงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อและยอมให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนทำการออกหน้าเป็นตัวการว่าเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิขายรถยนต์ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้สุจริตมิให้ต้องเสื่อมเสียสิทธิอันเนื่องมาจากข้อตกลงของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และจำเลยที่ 1 ไม่อาจอ้างว่าหากโจทก์ตรวจสอบพบชื่อของจำเลยที่ 1 ในสมุดรับประกันและสอบถามไปก็จะทราบถึงข้อตกลงระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระค่ารถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 2 ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์แก่โจทก์การที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้รับเงินค่ารถยนต์จากจำเลยที่ 2 ไม่เป็นข้ออ้างที่จะปฏิเสธไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ เพราะสิทธิหน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวการกับตัวแทนเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะต้องว่ากล่าวเอาเองอีกส่วนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับความรับผิดที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ ตามที่จำเลยที่ 1 มอบหมายหรือสั่งการ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2539 โจทก์ซื้อรถยนต์กระบะซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ในราคา 280,500 บาท โดยในวันดังกล่าวโจทก์วางเงินจองไว้ 10,000 บาท ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2539 โจทก์ชำระราคาที่เหลืออีกจำนวน270,500 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยทั้งสองได้ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์ครอบครอง โดยจำเลยที่ 1 ออกสมุดรับประกันและคูปองตรวจสภาพรถยนต์อันเป็นบริการหลังการขายให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบสมุดคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์ โจทก์ติดตามทวงถาม แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในรถยนต์คันดังกล่าวได้ ซึ่งโจทก์อาจนำออกให้ผู้อื่นเช่าได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 30,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทพร้อมส่งมอบสมุดคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่โจทก์ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้เงินจำนวน 280,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ให้โจทก์ในอัตราเดือนละ30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 1 จะดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบสมุดคู่มือการจดทะเบียนหรือใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์และไม่เคยแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการจำหน่ายและรับเงินค่าซื้อขายรถยนต์ แต่จำเลยที่ 1จำหน่ายรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ชำระราคารถยนต์พิพาทครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 รับรถยนต์พิพาทพร้อมเอกสารจากจำเลยที่ 1 แล้วไม่ชำระราคาจำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทหรือชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ฎีกา พิพากษายืน ( อัธยา ดิษยบุตร - ปรีดี รุ่งวิสัย - สมศักดิ์ เนตรมัย ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-24 15:35:48 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2209024) | |
ตัวการต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่ตัวแทนโดยปริยายได้กระทำไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1664/2548 จำเลยที่ 1 เป็นบุตรเขยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 รับราชการ มีอายุมากแล้ว จำเลยที่ 1 ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ลงบนที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขออนุญาตทำการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ดังกล่าวต่อเทศบาลด้วยตนเอง เมื่อก่อสร้างเสร็จ นางสาว ท. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์ยังตกลงซื้ออาคารพาณิชย์จากจำเลยที่ 2 จำนวน 1 ห้อง โดยจำเลยที่ 2 ก็เป็นผู้ลงลายมือชื่อผู้จะขายในสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำ นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ก็อ้างว่าหนี้ตามฟ้องคดีนี้ไม่ถูกต้อง เพราะต้องหักเงินค่ามัดจำและค่าหินขัดออกก่อน ซึ่งหากจำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวข้องกับการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับโจทก์แล้วเหตุใดจึงจะยอมให้มีการหักเงินกันได้ เพราะไม่ใช่หนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิด ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนหน้านี้จำเลยที่ 2 เคยติดต่อว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 มาทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์กับโจทก์ กรณีดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนโดยปริยายของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เรื่องตัวแทนเชิด โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 752,356 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 700,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ฎีกา พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์. ( พีรพล พิชยวัฒน์ - ธาดา กษิตินนท์ - องอาจ โรจนสุพจน์ ) ศาลจังหวัดแม่สอด - นางสาวนันทิยา สิริวรการวณิชย์
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-24 16:12:24 |
[1] |