ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าค่าศึกษาเล่าเรียน ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าค่าศึกษาเล่าเรียน โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนสำหรับบุตรทั้งสองเป็นเดือนละ 30,000 บาท(จากเดิมเดือนละ 8,000 บาท) เนื่องจากบุตรทั้งสองมีการศึกษาสูงขึ้นและโจทก์มีรายได้ไม่พอกับภาวะค่าครองชีพขณะนั้น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนสำหรับบุตรทั้งสองแก่โจทก์เพิ่มเป็นเดือนละ 16,000 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลย ขอให้ศาลวินิจฉัยคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนสำหรับบุตรทั้งสองจนกว่าบุตรทั้งสองศึกษาสำเร็จชั้นปริญญาตรีหรือเพียงแค่บุตรทั้งสองบรรลุนิติภาวะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3618/2543 สัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลมีคำพิพากษาตามยอมมีข้อความว่า "จำเลยยอมรับผิดชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดู และค่าศึกษาเล่าเรียนให้แก่บุตรทั้งสองคือ เด็กชาย อ. และเด็กชาย พ. เป็นเงินจำนวนเดือนละ 16,000 บาท โดยจำเลยยินยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งสองคนจนกว่าจะเรียนจบชั้นปริญญาตรีหรือบรรลุนิติภาวะ" ดังนี้ เมื่อสัญญาใช้คำว่า "หรือ" จำเลยต้องชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนสำหรับบุตรทั้งสองคนละ8,000 บาท ต่อเดือน จนกว่าบุตรคนใดคนหนึ่งจะจบชั้นปริญญาตรีหรือบรรลุนิติภาวะในกรณีหนึ่งกรณีใดที่มาถึงก่อนแก่โจทก์จึงจะเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุตร โดยให้คิดคำนวณสำหรับบุตรเป็นรายบุคคลไป มาตรา 171 ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร มาตรา 368 สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย มาตรา 850 อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนสำหรับบุตรทั้งสองจนกว่าบุตรทั้งสองจะเรียนจบชั้นปริญญาตรีหรือบรรลุนิติภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งที่มาถึงก่อน เฉพาะค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนสำหรับนายอาทิตย์ นั้น จำเลยต้องรับผิดชำระเพียงแค่เท่าที่นายอาทิตย์ บรรลุนิติภาวะเท่านั้นเนื่องจากเวลาที่นายอาทิตย์บรรลุนิติภาวะถึงกำหนดก่อนเวลาที่นายอาทิตย์จะศึกษาสำเร็จชั้นปริญญาตรี โจทก์อุทธรณ์ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมในข้อ 1. มีข้อความว่า "จำเลยยอมรับผิดชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนให้แก่บุตรทั้งสอง คือ เด็กชายอาทิตย์ และเด็กชายอิทธิพล เป็นเงินจำนวนเดือนละ 8,000 บาท (ต่อมาได้แก้ไขเป็นเดือนละ 16,000 บาท แล้ว)โดยจำเลยยินยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งสองคนจนกว่าจะเรียนจบชั้นปริญญาตรีหรือบรรลุนิติภาวะ" เห็นได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกำหนดให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดมีสองกรณี กล่าวคือ กรณีแรกเมื่อบุตรทั้งสองเรียนจบปริญญาตรี กรณีที่สองเมื่อบุตรทั้งสองบรรลุนิติภาวะ โดยใช้คำว่า"หรือ" ซึ่งหมายความถึงกรณีหนึ่งกรณีใดก็ได้ที่มาถึงก่อน อีกทั้งตามสัญญาก็น่าจะแปลว่าจำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนแก่บุตรแต่ละคนแยกจากกันคนละครึ่ง แล้วแต่ว่าบุตรคนใดเรียนจบชั้นปริญญาตรีหรือบรรลุนิติภาวะ จำเลยก็หลุดพ้นความรับผิดต่อบุตรคนนั้นเป็นคน ๆ ไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยมีความรับผิดไปจนกว่าบุตรทั้งสองจะสำเร็จปริญญาตรีนั้นยังไม่ถูกต้องเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้อง อนึ่ง ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้มีคำพิพากษาแก้ไข เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าศึกษาเล่าเรียนสำหรับบุตรทั้งสองคนละ 8,000 บาท ต่อเดือนจนกว่าบุตรคนใดคนหนึ่งจะจบชั้นปริญญาตรีหรือบรรลุนิติภาวะในกรณีหนึ่งกรณีใดที่มาถึงก่อนแก่โจทก์ โดยให้คิดคำนวณสำหรับบุตรเป็นรายบุคคลไป ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ มาตรา 138 ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น |