
| สินสมรส & ดอกผล มาตรา 148, คุ้มครองชั่วคราว,(ฎีกา 10361/2557)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีครอบครัวที่มีการฟ้องหย่าและการแบ่งสินสมรส โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่การตีความมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดว่า “ดอกผลแห่งสินสมรสเป็นสินสมรส” ศาลฎีกายืนยันว่าคู่สมรสมีสิทธิไม่เพียงในตัวทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส แต่รวมถึงดอกผลหรือรายได้ที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินนั้นด้วย แม้ในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด ศาลยังมีอำนาจออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อรักษาสิทธิของคู่สมรสฝ่ายหนึ่งไม่ให้เสียเปรียบ
สรุปข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ยื่นฟ้องขอหย่าจากจำเลย พร้อมขอแบ่งสินสมรสและอำนาจปกครองบุตร • ทรัพย์สินพิพาท: ที่ดินสวนยาง 60 ไร่, สวนปาล์ม 15 ไร่ และรถยนต์ 1 คัน • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่า, แบ่งสินสมรส, ให้อำนาจปกครองบุตรแก่โจทก์ และให้ค่าเลี้ยงดูรายเดือน • ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยนำรายได้จากสวนยางและสวนปาล์มครึ่งหนึ่งมาวางศาลทุกเดือน เพื่อคุ้มครองสิทธิในดอกผล • จำเลยคัดค้านว่าเป็น “นอกคำขอ” ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่เกินคำขอ เพราะดอกผลเป็นสินสมรสตามกฎหมาย
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาอ้างอิง มาตรา 148 ป.พ.พ. “ดอกผลแห่งสินสมรสเป็นสินสมรส” โดยวินิจฉัยว่า • เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรส สิทธิในดอกผลของทรัพย์สินพิพาทย่อมรวมอยู่ในคำขอแล้ว • ศาลจึงสามารถออกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวได้ เพื่อไม่ให้ฝ่ายที่ไม่ได้ครอบครองทรัพย์เสียสิทธิ • คำสั่งดังกล่าวไม่ถือว่าเกินคำขอหรือนอกประเด็น
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. ขอบเขตของมาตรา 148 มาตรา 148 ไม่ได้จำกัดเฉพาะตัวทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส แต่ยังครอบคลุม “ดอกผล” ไม่ว่าจะเป็น • ดอกผลธรรมดา: เช่น ผลผลิตจากสวนยาง สวนปาล์ม • ดอกผลนิตินัย: เช่น ค่าเช่า ดอกเบี้ยเงินฝาก รายได้จากสัญญาเช่า 2. อำนาจศาลในการออกคำสั่งคุ้มครอง การสั่งให้นำรายได้ครึ่งหนึ่งมาวางศาล ถือเป็นมาตรการคุ้มครองสิทธิชั่วคราว ไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาดล่วงหน้า แต่เป็นการรักษาสิทธิของคู่สมรสตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย 3. ความเสมอภาคของคู่สมรส คดีนี้เน้นย้ำหลักการว่า คู่สมรสทั้งสองฝ่ายมีสิทธิเท่าเทียมกันในสินสมรสและดอกผล แม้ฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้ทำงานหรือครอบครอง
ตัวอย่างคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง • ฎีกาที่ 1380/2549: ศาลวินิจฉัยว่ารายได้จากสวนผลไม้เป็นดอกผลแห่งสินสมรส • ฎีกาที่ 4862/2548: รายได้ค่าเช่าบ้านถือเป็นดอกผลแห่งสินสมรส คู่สมรสมีสิทธิร่วมกัน
IRAC (สำหรับ SEO และกฎหมาย) Issue (ประเด็น): สิทธิของคู่สมรสในดอกผลจากสินสมรสตามมาตรา 148 และอำนาจศาลในการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวถือว่าเกินคำขอหรือไม่ Rule (กฎหมาย): มาตรา 148 ป.พ.พ. “ดอกผลแห่งสินสมรสเป็นสินสมรส” Application (การวินิจฉัย): ศาลวินิจฉัยว่าเมื่อมีการฟ้องขอแบ่งสินสมรส ย่อมครอบคลุมถึงสิทธิในดอกผลด้วย ดังนั้นศาลมีอำนาจสั่งให้นำรายได้จากทรัพย์สินพิพาทมาวางศาล เพื่อรักษาความเสมอภาคของคู่สมรส Conclusion (ข้อสรุป): คำสั่งดังกล่าวไม่ใช่การเกินคำขอ แต่เป็นการคุ้มครองสิทธิในดอกผลของสินสมรสตามมาตรา 148
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย 1. มาตรา 148 มีผลคุ้มครองไม่เพียงตัวทรัพย์ แต่รวมถึงดอกผลด้วย 2. ศาลมีอำนาจสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว เพื่อไม่ให้คู่สมรสฝ่ายใดเสียสิทธิ 3. หลักการนี้ตอกย้ำ ความเสมอภาคของคู่สมรส ในสินสมรสและดอกผล 4. แนวคำพิพากษานี้เป็นบรรทัดฐานสำคัญในคดีหย่าและการแบ่งสินสมรส
คดีครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องหย่าและการแบ่งสินสมรส ถือเป็นหนึ่งในคดีที่เกิดขึ้นบ่อยและสะท้อนให้เห็นถึงการตีความบทบัญญัติทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ของคู่สมรสอย่างชัดเจน โดยประเด็นสำคัญของคดีนี้อยู่ที่การใช้ มาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดว่า “ดอกผลแห่งสินสมรสเป็นสินสมรส” หลักกฎหมายดังกล่าวมีความหมายว่า นอกจากตัวทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสจะถือเป็นสินสมรสแล้ว ผลประโยชน์หรือรายได้ที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินนั้นก็เป็นสินสมรสด้วย ไม่ว่าจะเป็น ดอกผลธรรมดา เช่น ผลไม้ที่เกิดจากสวนยาง สวนปาล์ม ค่าเช่าบ้าน หรือผลผลิตทางการเกษตร รวมไปถึง ดอกผลนิตินัย เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก หรือรายได้จากสัญญาเช่า ทั้งหมดนี้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายต้องถือว่ามีสิทธิร่วมกันตามกฎหมาย ในคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นฟ้องขอหย่าขาดจากจำเลย พร้อมทั้งขอแบ่งสินสมรสและอำนาจปกครองบุตร โดยทรัพย์สินที่พิพาทคือที่ดินสวนยาง 60 ไร่ สวนปาล์ม 15 ไร่ และรถยนต์หนึ่งคัน ซึ่งเป็นสินสมรสที่ต้องแบ่งกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่า ให้แบ่งสินสมรส และให้อำนาจปกครองบุตรอยู่กับโจทก์ พร้อมทั้งกำหนดค่าเลี้ยงดูรายเดือน แต่สิ่งที่กลายเป็นประเด็นสำคัญเกิดขึ้นระหว่างการอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์เพื่อขอให้มีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว โดยขอให้จำเลยนำรายได้กึ่งหนึ่งจากผลผลิตสวนยางและสวนปาล์มมาวางศาลทุกเดือน เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยให้คดียังไม่ถึงที่สุด ผลผลิตทั้งหมดจะตกอยู่กับฝ่ายจำเลยเพียงฝ่ายเดียว ทำให้โจทก์อาจเสียสิทธิในส่วนดอกผลของสินสมรส จำเลยคัดค้านโดยอ้างว่าคำสั่งเช่นนี้เป็นการ “เกินคำขอ” หรือเป็น “นอกประเด็นฟ้อง” เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรื่องดอกผลโดยตรง แต่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า การสั่งเช่นนี้ไม่เกินคำขอ เนื่องจากดอกผลของสินสมรสย่อมเป็นส่วนหนึ่งของสินสมรสอยู่แล้วตามมาตรา 148 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรส ย่อมครอบคลุมถึงสิทธิในดอกผลด้วย ศาลจึงสามารถสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้คู่สมรสฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ หลักการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแนวทางการพิจารณาคดีครอบครัว เพราะหากศาลไม่อาจสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวได้ ฝ่ายที่ไม่ได้ครอบครองทรัพย์อาจถูกตัดสิทธิหรือเสียสิทธิไปโดยปริยาย กรณีเช่นนี้จะทำให้ความเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของมาตรา 148 ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง สิ่งที่ควรเน้นคือ มาตรา 148 ไม่ได้เพียงแต่กำหนดสิทธิในทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส แต่ยังขยายความไปถึงผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากทรัพย์นั้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม การที่ศาลฎีกายืนยันหลักการนี้ ทำให้เกิดความมั่นคงและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนว่า ดอกผลจากสินสมรสคือสิทธิร่วมของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าคู่สมรสฝ่ายใดจะเป็นผู้ครอบครองหรือเป็นผู้ทำให้เกิดรายได้ก็ตาม ดังนั้น คดีนี้ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างของการใช้มาตรา 148 ในการคุ้มครองสิทธิของคู่สมรสเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการวินิจฉัยคดีครอบครัวอื่น ๆ ที่มีประเด็นเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสและสิทธิในดอกผล ถือเป็นการตีความบทกฎหมายที่ทำให้หลักการ “ความเสมอภาคของคู่สมรส” มีความชัดเจนและใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ สรุปได้ว่า คดีนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องมือปกป้องสิทธิของคู่สมรสอย่างแท้จริง ทั้งในด้านการได้มาซึ่งทรัพย์สินร่วม และการได้รับผลประโยชน์จากทรัพย์นั้น ศาลสามารถออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อรักษาความยุติธรรมระหว่างพิจารณาคดีได้ และหลักการนี้เองที่ช่วยสร้างความมั่นใจว่าคู่สมรสทั้งสองฝ่ายจะได้รับสิทธิในสินสมรสและดอกผลร่วมกันอย่างเสมอภาค
✅ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ • คดีนี้ศาลฎีกาใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง เป็นแกนหลักในการวินิจฉัย มาตรา 148 วรรคหนึ่ง: คู่สมรสมีสิทธิในดอกผลของสินสมรส
✅ Keywords ที่สำคัญที่สุด 1. สินสมรส (Marital Property) o ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส ถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของคู่สมรส ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน สวน หรือรถยนต์ o ในคดีนี้ ศาลต้องพิจารณาการแบ่งที่ดินสวนยาง 60 ไร่ สวนปาล์ม 15 ไร่ และรถยนต์ 2. ดอกผลของทรัพย์ (Fruits of Property) o ไม่ใช่แค่ตัวทรัพย์เท่านั้น แต่ดอกผล เช่น รายได้จากผลผลิตสวน ก็เป็นสินสมรสร่วมกัน o ศาลใช้หลักนี้ในการสั่งให้แบ่งรายได้ระหว่างพิจารณาคดี 3. การคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว (Interim Protection) o ศาลอุทธรณ์สั่งให้สามีนำรายได้กึ่งหนึ่งจากทรัพย์พิพาทมาวางศาลทุกเดือน o เป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้คู่สมรสฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด 4. อำนาจศาลและขอบเขตคำขอ (Scope of Claim) o ประเด็นที่จำเลยอ้างว่าเป็น “นอกฟ้อง” หรือ “เกินคำขอ” o ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวพันโดยตรงกับสิทธิในสินสมรส ไม่ใช่นอกประเด็น 5. สิทธิของคู่สมรส (Spousal Rights) o คดีนี้ตอกย้ำว่า คู่สมรสมีสิทธิไม่เพียงในตัวทรัพย์สิน แต่รวมถึงดอกผลที่เกิดขึ้นระหว่างสมรสด้วย o ศาลจึงยืนยันว่าฝ่ายภรรยามีสิทธิได้รับการคุ้มครองในรายได้จากทรัพย์สินร่วม 👉 กล่าวโดยสรุป แกนของคดีนี้คือการตีความมาตรา 148 ป.พ.พ. ว่าสิทธิในสินสมรสรวมถึง “ดอกผล” และศาลสามารถออกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวได้โดยไม่ถือว่าเป็นการเกินคำขอ หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง พร้อมตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง “ดอกผลแห่งสินสมรสเป็นสินสมรส” อธิบายความหมาย 1. สินสมรส หมายถึงทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ เงินเดือน หรือรายได้จากการประกอบอาชีพ 2. ดอกผล ครอบคลุมทั้ง ดอกผลธรรมดา เช่น ผลไม้จากสวนยาง ผลผลิตจากสวนปาล์ม ค่าเช่าบ้าน และ ดอกผลนิติกรรม เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก หรือดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม 3. เมื่อกฎหมายบัญญัติว่า “ดอกผลแห่งสินสมรสเป็นสินสมรส” หมายความว่า ไม่เพียงแต่ตัวทรัพย์สินต้นทุนเท่านั้นที่เป็นสินสมรส แต่ผลตอบแทนหรือรายได้ที่เกิดขึ้นก็เป็นสินสมรสด้วย 4. การตีความมาตรา 148 นี้ จึงทำให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายมีสิทธิในดอกผลร่วมกันในฐานะเจ้าของสินสมรสโดยปริยาย
ความสำคัญในเชิงคดีความ • มาตรา 148 เป็นหลักที่ศาลใช้บ่อยใน คดีหย่าและแบ่งสินสมรส เพื่อพิจารณาว่า คู่สมรสอีกฝ่ายมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในรายได้จากทรัพย์สินที่พิพาทหรือไม่ • หากไม่มีคำสั่งคุ้มครอง คู่สมรสฝ่ายที่ไม่ได้ถือครองทรัพย์อาจเสียสิทธิในรายได้ระหว่างคดียังดำเนินอยู่ • ศาลสามารถออกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว โดยให้ฝ่ายครอบครองทรัพย์นำรายได้กึ่งหนึ่งมาวางศาล เพื่อให้สิทธิของอีกฝ่ายไม่ถูกละเมิด
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 📌 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1380/2549 • ข้อเท็จจริง: คู่สมรสมีที่ดินซึ่งใช้ปลูกพืชผล ฝ่ายสามีเป็นผู้ครอบครองและได้รับรายได้จากการขายผลผลิตเพียงฝ่ายเดียว ภรรยาฟ้องขอแบ่งสินสมรสพร้อมทั้งดอกผลที่เกิดขึ้น • คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รายได้จากผลผลิตที่เกิดขึ้นในระหว่างสมรสเป็นดอกผลแห่งสินสมรสตามมาตรา 148 ภรรยามีสิทธิได้รับส่วนแบ่งด้วย แม้จะไม่ได้เป็นผู้ทำการเพาะปลูกเอง • หลักกฎหมาย: ตอกย้ำว่าดอกผลจากสินสมรส เช่น รายได้เกษตรกรรม ถือเป็นสินสมรสโดยตรง
📌 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4862/2548 • ข้อเท็จจริง: ภรรยาฟ้องหย่าขอแบ่งสินสมรส และขอแบ่งดอกผลที่เกิดจากการให้เช่าบ้านและที่ดินที่ถือเป็นสินสมรส • คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่าเช่าที่ได้รับในระหว่างสมรสเป็นดอกผลนิติกรรมของสินสมรสตามมาตรา 148 ซึ่งคู่สมรสทั้งสองฝ่ายมีสิทธิร่วมกัน • หลักกฎหมาย: ขยายความว่าดอกผลไม่จำกัดเฉพาะผลผลิตจากธรรมชาติ แต่รวมถึงผลประโยชน์จากสัญญาเช่าหรือธุรกรรมทางการเงิน
บทสรุปสำหรับบทความ
มาตรา 148 วรรคหนึ่ง มีบทบาทสำคัญในคดีครอบครัว โดยเฉพาะการหย่าและแบ่งสินสมรส เพราะไม่เพียงแต่ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสเป็นสินสมรสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงดอกผลหรือรายได้ที่เกิดขึ้นด้วย ไม่ว่าดอกผลนั้นจะเกิดจากธรรมชาติหรือจากนิติกรรม ศาลฎีกาได้ยืนยันหลักนี้ในหลายคำพิพากษา เช่น ฎีกาที่ 1380/2549 และฎีกาที่ 4862/2548 ซึ่งตอกย้ำว่า คู่สมรสมีสิทธิเท่าเทียมกันในดอกผลของสินสมรส แม้คดียังไม่สิ้นสุด ศาลก็มีอำนาจออกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวเพื่อรักษาสิทธิของคู่สมรส
|





.jpg)