
| คดีหย่าต่างชาติ & ค่าเลี้ยงดู, สิทธิเลี้ยงดูสิ้นสุดเมื่อการสมรสสิ้นสุด
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ คดีนี้เป็นคดีครอบครัวที่มีความซับซ้อน เนื่องจากคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นชาวต่างชาติ แต่เข้ามามีถิ่นฐานและประกอบอาชีพอยู่ในประเทศไทย ทำให้เกิดปัญหาสำคัญว่าศาลไทยมีอำนาจในการพิจารณาคดีหย่าหรือไม่ เนื่องจากตามหลักทั่วไปเรื่องการสมรสและการหย่ามักผูกพันกับกฎหมายสัญชาติของคู่สมรส ข้อเท็จจริงในคดีนี้คือ โจทก์เป็นบุคคลสัญชาติไอร์แลนด์เหนือ ส่วนจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติสก๊อตแลนด์ ทั้งสองสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2530 และมีบุตรด้วยกันสามคน ต่อมาทั้งคู่ได้เข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาโดยตลอด กระทั่งเกิดปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ความสัมพันธ์เริ่มแตกร้าว มีการส่งข้อความทางโทรศัพท์ที่มีถ้อยคำหยาบคายและเหยียดหยามกัน เช่น ข้อความที่จำเลยส่งถึงโจทก์ว่า “You cold hearted bastard. Just like your father” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “คนไร้น้ำใจ คนสารเลว เหมือนพ่อแก” ซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทและดูหมิ่นอย่างร้ายแรงต่อทั้งตนเองและบุพการี โจทก์จึงยื่นฟ้องหย่าในประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) ซึ่งกำหนดว่า คู่สมรสมีสิทธิหย่าได้หากอีกฝ่ายได้กระทำการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือหมิ่นประมาทตนอย่างร้ายแรง ส่วนจำเลยได้ยื่นฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูตนเองปีละ 3,000,000 บาทจนกว่าจะสมรสใหม่ และขอให้จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรปีละ 1,500,000 บาทจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนคำฟ้องหย่า แต่ให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงดูแก่จำเลยเดือนละ 110,000 บาทจนกว่าจะสมรสใหม่หรือจนกว่าการสมรสสิ้นสุด และให้จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 100,000 บาทจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ ส่วนคำขออื่นของจำเลยให้ยก ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณาแล้วเห็นว่า ประเด็นแรกต้องวินิจฉัยก่อนว่าศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดีหย่าของคู่สมรสต่างชาติหรือไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 24 บัญญัติว่า “ศาลสยามจะไม่พิพากษาให้หย่ากัน เว้นแต่กฎหมายสัญชาติแห่งสามีภริยาทั้งสองฝ่ายยอมให้กระทำได้ และเหตุหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า” เมื่อได้ความว่ากฎหมายของไอร์แลนด์เหนือและสก๊อตแลนด์อนุญาตให้หย่าได้ ศาลไทยจึงมีอำนาจวินิจฉัยคดีนี้ จากนั้นจึงเข้าสู่ประเด็นเหตุหย่า ศาลเห็นว่าข้อความที่จำเลยส่งถึงโจทก์มีลักษณะดูหมิ่นและเหยียดหยามจริง ซึ่งอาจเป็นเหตุหย่าตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 (3) ได้ อีกประเด็นสำคัญคือเรื่องค่าเลี้ยงดู ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่จำเลยจนกว่าจะสมรสใหม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคสอง และมาตรา 1501 ระบุชัดเจนว่าหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการสมรสจะสิ้นสุดเมื่อการสมรสสิ้นสุดลง ดังนั้นจึงไม่อาจตีความว่าโจทก์ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูต่อไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่ เพราะเป็นการขยายภาระเกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ ประเด็นนี้ศาลฎีกาถือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และมาตรา 247 ศาลจึงแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างให้ถูกต้อง โดยกำหนดใหม่ว่าโจทก์ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้จำเลยเพียงจนกว่าการสมรสจะสิ้นสุดลงเท่านั้น ไม่ใช่จนกว่าจะสมรสใหม่ สรุปได้ว่า คดีนี้ศาลฎีกาวางหลักสำคัญไว้ 3 ประการคือ 1. ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดีหย่าของคู่สมรสต่างชาติ หากกฎหมายสัญชาติของทั้งสองฝ่ายอนุญาตให้หย่าได้ 2. การกระทำที่เป็นการดูหมิ่นหรือเหยียดหยามอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นด้วยวาจาหรือข้อความ สามารถถือเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) 3. สิทธิและหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูคู่สมรสสิ้นสุดลงทันทีเมื่อการสมรสสิ้นสุด ไม่อาจขยายความไปถึง “จนกว่าจะสมรสใหม่” ได้ คดีนี้จึงเป็นบรรทัดฐานสำคัญของการใช้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลควบคู่กับกฎหมายครอบครัวของไทย และเป็นตัวอย่างของการที่ศาลฎีกาเข้ามาแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและหลักความสงบเรียบร้อยของประชาชน (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม)
ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6499/2557 กฎหมายที่ใช้หลักในการอธิบายคดี 1. พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 24 – กำหนดว่า ศาลไทยจะพิพากษาให้หย่าได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายสัญชาติของคู่สมรสอนุญาต และต้องพิจารณาตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) – กำหนดเหตุหย่ากรณีที่คู่สมรสถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือถูกหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง 3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคสอง – กำหนดว่าสิทธิและหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูของคู่สมรสจะหมดไปเมื่อการสมรสสิ้นสุดลง 4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 – ยืนยันหลักการเรื่องการสิ้นสุดของสิทธิหน้าที่ทางสมรสเมื่อมีการหย่า 5. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และมาตรา 247 – ให้อำนาจศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาเพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
Keywords สำคัญ 1. ขัดกันกฎหมายระหว่างประเทศ (Conflict of Laws) – ศาลต้องตรวจสอบก่อนว่ากฎหมายสัญชาติของคู่สมรสอนุญาตให้หย่าหรือไม่ จึงจะมีอำนาจพิจารณาในศาลไทย 2. เหตุหย่าจากการหมิ่นประมาทร้ายแรง (Defamation as Ground for Divorce) – การส่งข้อความเหยียดหยามและดูหมิ่นคู่สมรส ถือเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (3) 3. ค่าอุปการะเลี้ยงดูคู่สมรส (Spousal Maintenance) – ศาลฎีกาวางหลักว่า ค่าเลี้ยงดูสิ้นสุดเมื่อการสมรสสิ้นสุด ไม่ใช่ “จนกว่าจะสมรสใหม่” อย่างที่ศาลล่างกำหนด 4. สิทธิหน้าที่ของคู่สมรส (Marital Duties) – ย้ำหลักการว่าหน้าที่การอุปการะเลี้ยงดูเป็นผลของการสมรส แต่จะหมดไปทันทีเมื่อการสมรสสิ้นสุด 5. ความสงบเรียบร้อยของประชาชน (Public Order) – ศาลฎีกาใช้อำนาจตาม ป.วิ.พ. เพื่อแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างให้สอดคล้องกับกฎหมาย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับระบบครอบครัวซึ่งเป็นเรื่องของประโยชน์สาธารณะ
หลักกฎหมายพร้อมตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา 1. พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 24 หลักการ: มาตรานี้กำหนดว่า ศาลไทยจะไม่พิพากษาให้หย่าคู่สมรส เว้นแต่กฎหมายสัญชาติของคู่สมรสทั้งสองฝ่ายอนุญาตให้ทำได้ และต้องใช้กฎหมายของถิ่นที่ยื่นฟ้องเป็นเกณฑ์พิจารณาเหตุหย่า ความสำคัญ: – เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Conflict of Laws) – ใช้ในกรณีที่คู่สมรสเป็นต่างชาติหรือมีสัญชาติต่างกัน – ศาลต้องตรวจสอบกฎหมายสัญชาติของคู่สมรสว่ามีบทบัญญัติรองรับสิทธิในการหย่าหรือไม่ ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้อง: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4867/2545 : ศาลวินิจฉัยว่าคู่สมรสที่มีสัญชาติเดียวกันแต่ต่างจากไทย หากกฎหมายสัญชาติของทั้งสองไม่อนุญาตให้หย่า ศาลไทยก็ไม่มีอำนาจพิพากษาให้หย่าได้
2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) หลักการ: กำหนดว่า สามีหรือภริยามีสิทธิฟ้องหย่าได้ หากอีกฝ่าย “ได้ประพฤติหรือได้กระทำการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือหมิ่นประมาทตนอย่างร้ายแรง” ความสำคัญ: – ครอบคลุมการกระทำที่ทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติยศของคู่สมรส – ไม่จำกัดเฉพาะการกระทำต่อหน้า แต่รวมถึงการใช้คำพูด การเขียนข้อความ หรือการกระทำในที่สาธารณะ – ต้องเป็นการกระทำที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้การครองเรือนต่อไปลำบาก ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้อง: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4155/2530 : ศาลถือว่าการที่สามีใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามภรรยาอย่างร้ายแรงต่อหน้าผู้อื่น และกระทำซ้ำ ๆ เข้าข่ายเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (3)
3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคสอง หลักการ: สิทธิและหน้าที่ของสามีภริยาในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน จะหมดไปเมื่อการสมรสสิ้นสุดลง ความสำคัญ: – ยืนยันว่าการเลี้ยงดูคู่สมรสเป็นผลโดยตรงจากการสมรส – เมื่อหย่าขาดจากกันแล้ว หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูจึงสิ้นสุด เว้นแต่มีการกำหนดค่าเลี้ยงดูไว้เป็นการเฉพาะในการหย่า ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้อง: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4569/2551 : ศาลวินิจฉัยว่าหลังการหย่า สิทธิและหน้าที่ในการเลี้ยงดูซึ่งกันและกันสิ้นสุดลงทันที ไม่อาจฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูย้อนหลังได้
4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 หลักการ: บัญญัติว่า เมื่อมีการหย่า สิทธิและหน้าที่ทางสมรสทั้งหมดจะสิ้นสุดลง ความสำคัญ: – เป็นการย้ำหลักการเดียวกับมาตรา 1461 แต่ครอบคลุมสิทธิหน้าที่ทุกประเภท ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องการเลี้ยงดู – ใช้เป็นฐานกฎหมายสำหรับการตัดขาดความสัมพันธ์ทางกฎหมายของคู่สมรส ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้อง: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1655/2526 : ศาลวินิจฉัยว่าหลังจากมีการหย่าแล้ว ภริยาไม่มีสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินที่สามีได้มาใหม่ภายหลังการหย่า เพราะสิทธิหน้าที่ทางสมรสสิ้นสุดลงแล้ว
5. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และมาตรา 247 หลักการ: • มาตรา 142 (5): หากคำพิพากษาศาลล่างมีเนื้อหาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ แม้คู่ความไม่ได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกา • มาตรา 247: ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยและแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างเพื่อความถูกต้องตามกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความสำคัญ: – ทำให้ศาลฎีกาสามารถเข้ามาแก้ไขคำพิพากษาศาลล่าง แม้คู่ความไม่ยกประเด็น – เป็นหลักการที่รักษาความถูกต้องของคำพิพากษาและหลักประโยชน์สาธารณะ ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้อง: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8084/2560 : ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สิน เนื่องจากขัดต่อหลักความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกฎีกาในประเด็นดังกล่าว
✨ ดังนั้น เมื่อรวมกันแล้ว หลักกฎหมายทั้ง 5 ข้อสะท้อนว่า คดีนี้มิได้เป็นเพียงคดีหย่าทั่วไป แต่ยังเป็นบรรทัดฐานเกี่ยวกับอำนาจศาลไทยในการพิจารณาคดีที่คู่สมรสเป็นต่างชาติ การตีความเหตุหย่าในเชิงศักดิ์ศรี และการยืนยันว่า สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรสจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อการสมรสสิ้นสุด อีกทั้งยังแสดงให้เห็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะเข้ามาแก้ไขคำพิพากษาเพื่อประโยชน์สาธารณะ |




.jpg)