
| คดีหย่า & อำนาจปกครองบุตร, ศาลชี้ขาดสิทธิเลี้ยงดูบุตร (ฎีกา 5535/2558)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ คดีนี้เป็นคดีครอบครัวที่น่าสนใจ เพราะนอกจากประเด็นเรื่องการหย่าแล้ว ยังมีประเด็นสำคัญที่ศาลต้องวินิจฉัยคือ “อำนาจปกครองบุตร” หลังจากคู่สมรสแตกแยกกัน ประเด็นนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของคดี เนื่องจากเกี่ยวพันกับสิทธิ หน้าที่ และอนาคตของผู้เยาว์โดยตรง เมื่อศาลได้วินิจฉัยว่าคู่สมรสต้องหย่าขาดจากกัน ปัญหาที่ตามมาคือ ใครควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงว่า ผู้เยาว์ทั้งสองอยู่กับโจทก์มาตลอดตั้งแต่จำเลยเริ่มมีพฤติการณ์ที่นำไปสู่การหย่า ฝ่ายจำเลยเองก็ไม่ได้แสดงเจตนาชัดเจนหรือสืบพยานเพื่อยืนยันความประสงค์ที่จะใช้อำนาจปกครองบุตร ศาลจึงเห็นว่า หากปล่อยไว้โดยไม่มีการกำหนดที่ชัดเจน อาจทำให้เกิดข้อพิพาทในอนาคต และอาจกระทบต่อการเลี้ยงดูบุตรอย่างต่อเนื่อง ตามหลักกฎหมายครอบครัว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยกำหนดได้ว่า ภายหลังการหย่า บุตรคนใดอยู่ในอำนาจปกครองของฝ่ายใด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของบุตรผู้เยาว์ และมาตรา 1522 วรรคสอง ก็ให้อำนาจศาลกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยคำนึงถึงฐานะของบิดามารดาและความจำเป็นของเด็ก (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม) การใช้ดุลพินิจของศาลในคดีนี้สะท้อนหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ 1. ศาลมีอำนาจกำหนดอำนาจปกครองบุตร แม้คู่ความจะไม่ร้องขอหรือไม่นำสืบโดยตรง ศาลไม่เพียงแต่เป็นผู้ชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างคู่สมรส แต่ยังมีบทบาทเชิงรุกในการคุ้มครองสิทธิเด็ก 2. ประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหลักการนำทาง ศาลมิได้พิจารณาเพียงข้อเรียกร้องของคู่ความ แต่เน้นความมั่นคง ความต่อเนื่อง และความปลอดภัยในการเลี้ยงดูเด็ก 3. การถ่วงดุลระหว่างฐานะผู้ปกครองและความต้องการของเด็ก ศาลกำหนดค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 4,000 บาทต่อคน ซึ่งไม่สูงจนเกินไปจนเป็นภาระฝ่ายจำเลย แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยแบ่งเบาภาระการเลี้ยงดูของโจทก์ แนววินิจฉัยนี้จึงเป็นบรรทัดฐานสำคัญในคดีครอบครัว เพราะชี้ให้เห็นว่า ศาลมิได้จำกัดการวินิจฉัยอยู่เฉพาะในกรอบข้อเรียกร้องที่คู่ความเสนอ แต่ศาลมีอำนาจและหน้าที่ในการแทรกแซงเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์โดยตรง แม้จะไม่มีการร้องขอจากฝ่ายใดก็ตาม หลักการนี้ยังสะท้อนถึงแนวทางกฎหมายไทยที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งให้ความสำคัญกับ “หลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก” (Best Interests of the Child) โดยถือเป็นหลักสากลที่ใช้ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปหรือเอเชีย รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีด้วย ดังนั้น คดีนี้จึงไม่ใช่เพียงการตัดสินว่าคู่สมรสจะหย่าขาดหรือไม่ แต่เป็นการยืนยันว่า เมื่อครอบครัวล่มสลาย ศาลจะก้าวเข้ามามีบทบาทในการสร้างความมั่นคงและความต่อเนื่องให้กับชีวิตของเด็ก ผ่านการกำหนดอำนาจปกครองและค่าอุปการะเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม กล่าวโดยสรุป แนวคำพิพากษานี้ยืนยันว่า “อำนาจปกครองบุตร” ไม่ใช่สิทธิที่คู่ความจะได้ตามอำเภอใจ แต่เป็นหน้าที่ที่ศาลต้องชี้ขาดโดยยึดผลประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์เป็นหลัก การกำหนดให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว พร้อมทั้งให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูบุตรอย่างเหมาะสม จึงถือเป็นการใช้ดุลพินิจที่ตอบโจทย์ทั้งในเชิงกฎหมายและในเชิงการคุ้มครองสิทธิเด็ก กฎหมายที่เป็นหัวใจของคดี • ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1): คู่สมรสฝ่ายใด ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา เป็นเหตุหย่าได้ • ป.พ.พ. มาตรา 1520 วรรคสอง: แม้คู่ความจะไม่ร้องขอ ศาลมีอำนาจกำหนดอำนาจปกครองบุตรเพื่อประโยชน์ของเด็ก • ป.พ.พ. มาตรา 1522 วรรคสอง: ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูตามฐานะของบิดามารดาและความจำเป็นของบุตร Keywords สำคัญที่สุด 1. “ยกย่องฉันภริยา” (มาตรา 1516 (1)) o ประเด็นหลักของคดีนี้คือ การที่จำเลยที่ 1 แสดงออกต่อสาธารณะ เช่น อยู่ค้างคืน ใช้ชีวิตร่วมกับจำเลยที่ 2 และเปิดธุรกิจร่วมกัน ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเพียงพอที่จะถือว่า ยกย่องฉันภริยา เป็นเหตุหย่า 2. “เหตุหย่าโดยพฤติการณ์” o แม้ไม่มีหลักฐานการร่วมประเวณี แต่พฤติกรรมที่ต่อเนื่องและเปิดเผยก็ถือเป็นพฤติการณ์ที่เข้าลักษณะเหตุหย่าได้ ศาลไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานทางเพศสัมพันธ์ 3. “อำนาจปกครองบุตร” (มาตรา 1520) o แม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบ ศาลก็มีอำนาจตัดสินให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก 4. “ค่าอุปการะเลี้ยงดู” (มาตรา 1522) o ศาลกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเลี้ยงดูบุตรคนละ 4,000 บาท/เดือน ซึ่งพิจารณาจากทั้งฐานะทางการเงินของจำเลยและความจำเป็นของเด็ก ถือว่าเป็นการถ่วงดุลที่เหมาะสม 5. “หลักประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์” o คดีนี้สะท้อนหลักการสำคัญของกฎหมายครอบครัวว่า ศาลต้องคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นอันดับแรก แม้คู่ความจะไม่ร้องขอหรือไม่มีการนำสืบ ศาลยังคงมีอำนาจชี้ขาดเพื่อปกป้องเด็ก 📌 สรุปสั้น ๆ: หัวใจของคดีนี้คือ การยกย่องฉันภริยาเป็นเหตุหย่า (มาตรา 1516) และ อำนาจศาลในการกำหนดอำนาจปกครองบุตรและค่าเลี้ยงดูแม้ไม่มีการร้องขอ (มาตรา 1520, 1522) โดยมีหลักการใหญ่คือ ประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1): การยกย่องผู้อื่นฉันภริยา บัญญัติให้ “คู่สมรสฝ่ายใด ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา หรือฉันสามี” เป็นเหตุหย่าได้ โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามีการร่วมประเวณีจริง เพียงแค่มีพฤติการณ์เปิดเผยต่อสังคม เช่น อยู่กินหรือใช้ชีวิตประหนึ่งคู่สมรส ก็เพียงพอให้คู่สมรสอีกฝ่ายใช้สิทธิฟ้องหย่าได้ 2. ป.พ.พ. มาตรา 1520 วรรคสอง: อำนาจศาลกำหนดการปกครองบุตร แม้คู่ความจะไม่ร้องขอ ศาลมีอำนาจกำหนดว่าเมื่อหย่าแล้วบุตรคนใดอยู่ในอำนาจปกครองของฝ่ายใด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก หลักการนี้ทำให้ศาลสามารถแทรกแซงได้เอง ไม่ผูกพันกับคำขอของคู่ความ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กถูกทอดทิ้งหรือกลายเป็นเครื่องมือต่อรอง 3. ป.พ.พ. มาตรา 1522 วรรคสอง: ค่าอุปการะเลี้ยงดู ศาลมีอำนาจกำหนดให้ฝ่ายที่ไม่ได้เลี้ยงดูบุตรต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่ผู้เลี้ยงดู โดยพิจารณาจาก ฐานะทางเศรษฐกิจของบิดามารดา และ ความจำเป็นของเด็ก เพื่อให้เด็กมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมาะสมและต่อเนื่อง ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9224/2559 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยไปอยู่กินกับหญิงอื่นอย่างเปิดเผยในสังคม ถือเป็นการ “ยกย่องฉันภริยา” ตามมาตรา 1516 (1) จึงเป็นเหตุให้คู่สมรสอีกฝ่ายฟ้องหย่าได้ แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นก็ตาม 📖 แหล่งอ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกา 9224/2559, คดีครอบครัว, ศูนย์ข้อมูลคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม 🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7415/2556 ศาลฎีกาอธิบายว่า แม้คู่ความจะไม่ได้ร้องขอให้ศาลกำหนดอำนาจปกครองบุตร แต่เมื่อหย่าแล้ว ศาลย่อมต้องมีคำสั่งกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจปกครองบุตรเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก ตามมาตรา 1520 วรรคสอง 📖 แหล่งอ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกา 7415/2556, คดีครอบครัว, ศูนย์ข้อมูลคำพิพากษาศาลฎีกา 🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8084/2560 ในกรณีที่บิดาเป็นฝ่ายผิด ศาลกำหนดให้มารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงฝ่ายเดียว และให้บิดาชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามสมควร ศาลวินิจฉัยว่า จำนวนเงินต้องพิจารณาทั้งรายได้และความจำเป็นของเด็ก อันเป็นการใช้มาตรา 1522 โดยตรง 📖 แหล่งอ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกา 8084/2560, คดีเยาวชนและครอบครัว, สำนักงานศาลยุติธรรม สรุป • มาตรา 1457 เป็นฐานสำคัญทำให้การสมรสชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อมีข้อพิพาท จึงนำไปสู่การบังคับใช้มาตรา 1516, 1520 และ 1522 • มาตรา 1516 (1) กำหนดเหตุหย่าชัดเจนในกรณี “ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา” แม้ไม่มีการจดทะเบียนสมรสใหม่ก็ตาม • มาตรา 1520 และ 1522 แสดงถึงบทบาทของศาลในการคุ้มครองประโยชน์สูงสุดของเด็ก ศาลมีอำนาจตัดสินเรื่องการปกครองและค่าเลี้ยงดู แม้คู่ความไม่ร้องขอ
ดังนั้น บทเรียนจากแนวคำพิพากษาคือ ศาลไม่จำกัดเพียงข้อที่คู่ความนำสืบ แต่มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิเด็กและโครงสร้างครอบครัวภายหลังการหย่าให้สมบูรณ์ที่สุด
|




.jpg)