
| สิทธิเลี้ยงดูบุตร & สวัสดิภาพเด็ก, ศาลชี้ขาดสิทธิอำนาจปกครองบุตร
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ คดีนี้มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสมรสที่ไม่แท้จริงและสิทธิของบุตรที่เกิดจากความสัมพันธ์ดังกล่าว โจทก์กับจำเลยมีการตกลงว่าจ้างกันเพื่อให้จำเลยตั้งครรภ์บุตรโดยวิธีการผสมเทียม มิได้มีความตั้งใจที่จะอยู่กินฉันสามีภริยาอย่างแท้จริง ทั้งคู่เพียงไปจดทะเบียนสมรสเพื่อให้กระบวนการทางการแพทย์ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้นจำเลยตั้งครรภ์และคลอดบุตร ต่อมาเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลี้ยงดูและอำนาจปกครองบุตร ศาลต้องวินิจฉัยทั้งเรื่องความสมบูรณ์ของการสมรสและสิทธิของเด็ก ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า การสมรสที่เกิดขึ้นไม่มีเจตนาอยู่กินฉันสามีภริยา จึงเป็นการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 ที่กำหนดให้การสมรสต้องมีความยินยอมของคู่สมรสที่จะอยู่กินร่วมกันอย่างแท้จริง หากปราศจากเจตนานี้ การสมรสย่อมตกเป็นโมฆะโดยผลของกฎหมาย และศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาได้ แม้คู่ความจะมิได้ร้องขอโดยตรง เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่จำเลยต่อสู้ในคดีว่าการสมรสเป็นโมฆะยิ่งทำให้ศาลสามารถนำมาวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน แม้การสมรสจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะ แต่กฎหมายยังคงคุ้มครองสิทธิของบุตรที่เกิดขึ้นระหว่างการสมรส โดยเฉพาะตามมาตรา 1536 วรรคสอง ที่บัญญัติให้บุตรที่คลอดก่อนศาลมีคำพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ ยังคงถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย ดังนั้น บุตรในคดีนี้จึงมีสถานะทางกฎหมายที่มั่นคง ได้รับสิทธิและความคุ้มครองเสมือนบุตรที่เกิดจากการสมรสโดยชอบธรรม ในส่วนของอำนาจปกครองบุตร ศาลวินิจฉัยว่าตามหลักแล้ว บิดามารดามีอำนาจร่วมกัน แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรมาตั้งแต่แรกเกิดเพียงฝ่ายเดียว และมิได้ปรากฏว่ามีพฤติการณ์ใดที่เป็นอันตรายต่อสวัสดิภาพของผู้เยาว์ ขณะที่โจทก์มิได้กลับมาดูแลหรือมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในชีวิตของบุตร ศาลจึงเห็นสมควรกำหนดให้อำนาจการปกครองในส่วนสำคัญ โดยเฉพาะสิทธิในการกำหนดที่อยู่ของผู้เยาว์ เป็นของจำเลยฝ่ายเดียว เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กตามหลักการใหญ่ในกฎหมายครอบครัว (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม)
คำพิพากษานี้สะท้อนหลักกฎหมายที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ 1. หลักเรื่องโมฆะสมรส – หากการสมรสขาดเงื่อนไขพื้นฐาน เช่น การยินยอมที่จะอยู่กินฉันสามีภริยา แม้มีการจดทะเบียน ก็ถือว่าเป็นโมฆะ 2. สิทธิของบุตรโดยชอบ – แม้สมรสเป็นโมฆะ แต่บุตรที่เกิดก่อนการพิพากษายังคงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้รับสิทธิเท่าเทียมกับบุตรทั่วไป 3. อำนาจศาลในการวินิจฉัย – ศาลสามารถพิพากษาได้ แม้ไม่มีการร้องขอ หากเป็นข้อกฎหมายที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย 4. หลักประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ – การตัดสินเรื่องสิทธิอำนาจปกครองบุตร ไม่ยึดเพียงสถานะของพ่อแม่ แต่พิจารณาจากสภาพความเป็นจริงและความมั่นคงของเด็ก 5. การแบ่งอำนาจปกครอง – ศาลกำหนดให้พ่อแม่ยังคงมีสิทธิร่วมกัน แต่ให้อำนาจในการกำหนดที่อยู่และการดูแลหลักตกแก่ฝ่ายที่มีความเหมาะสมและเลี้ยงดูมาตลอด ในภาพรวม คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญของการตีความกฎหมายครอบครัวที่เคร่งครัดต่อการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังคงความยืดหยุ่นเพื่อคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของบุตรผู้เยาว์ การพิจารณาไม่ได้ยึดติดเพียงรูปแบบของความสัมพันธ์ แต่ให้ความสำคัญกับความจริงและผลประโยชน์ของเด็กเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นหลักการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านสิทธิเด็ก และเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการพิจารณาคดีลักษณะเดียวกันในอนาคต คดีนี้แก่นสำคัญอยู่ที่ “สมรสเป็นโมฆะ + สิทธิของบุตรที่เกิดระหว่างการสมรส” ซึ่งศาลฎีกาใช้บทบัญญัติกฎหมายหลายมาตรามาอธิบาย 📌 กฎหมายที่เป็นหัวใจสำคัญในคดีนี้ 1. ป.พ.พ. มาตรา 1458 – การสมรสต้องมีความยินยอมที่จะอยู่กินฉันสามีภริยา หากไม่มี ถือว่าไม่ใช่สมรสที่แท้จริง 2. ป.พ.พ. มาตรา 1496 – การสมรสที่ผิดเงื่อนไขเป็นโมฆะ และศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีการร้องขอโดยตรง หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย 3. ป.พ.พ. มาตรา 1536 วรรคสอง – แม้สมรสถูกพิพากษาเป็นโมฆะ แต่บุตรที่เกิดระหว่างการสมรสยังถือเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย 4. ป.พ.พ. มาตรา 1499/1 – ศาลสามารถกำหนดอำนาจปกครองบุตรโดยคำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้เยาว์ 5. ป.พ.พ. มาตรา 1567 – อธิบายขอบเขตอำนาจปกครองบุตร เช่น การกำหนดที่อยู่ การเลี้ยงดู การให้การศึกษา 🔑 Keywords สำคัญที่สุดของคดี 1. “โมฆะสมรส” – การจดทะเบียนสมรสที่ไม่มีเจตนาอยู่กินฉันสามีภริยา ไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย ต้องถือเป็นโมฆะ 2. “ขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1458” – การสมรสที่ผิดเงื่อนไขขั้นพื้นฐาน เช่น ไม่มีความยินยอมที่แท้จริง ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3. “บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย” – แม้สมรสเป็นโมฆะ แต่บุตรที่เกิดก่อนศาลพิพากษายังคงสถานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของทั้งพ่อแม่ 4. “สิทธิอำนาจปกครองบุตร” – ศาลให้ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิร่วมกัน แต่ให้อำนาจปกครองในการกำหนดที่อยู่แก่ฝ่ายแม่ เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก 5. “ประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์” – หลักการใหญ่ที่ศาลใช้พิจารณา โดยไม่ยึดติดเพียงสถานะทางกฎหมายของบิดามารดา แต่คำนึงถึงสภาพความจริงและสวัสดิภาพของเด็ก 👉 แก่นสำคัญที่สุดของคดีนี้ก็คือ: “ศาลฎีกาวินิจฉัยให้การสมรสที่ปราศจากเจตนาอยู่กินฉันสามีภริยาเป็นโมฆะ (มาตรา 1458, 1496) แต่บุตรที่เกิดจากสมรสยังเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 1536) และให้อำนาจปกครองบุตรโดยยึดประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ (มาตรา 1499/1, 1567)” 📌 หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องพร้อมตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 หลักการ: การสมรสต้องเกิดจากความยินยอมของชายและหญิงที่จะอยู่กินฉันสามีภริยา หากไม่มีความยินยอมที่แท้จริง แม้จะมีการจดทะเบียนสมรส ก็ถือว่าไม่ใช่สมรสที่แท้จริง และย่อมเป็น “โมฆะ” ไม่ก่อให้เกิดสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2552 ศาลวินิจฉัยว่า แม้มีการจดทะเบียนสมรส แต่หากพิสูจน์ได้ว่าไม่มีเจตนาจะอยู่กินฉันสามีภริยา สมรสนั้นเป็นโมฆะตามมาตรา 1458
2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 หลักการ: หากการสมรสขัดต่อเงื่อนไขตามกฎหมาย เช่น ไม่มีเจตนาอยู่กิน หรือขัดต่อข้อห้ามสมรส การสมรสย่อมเป็นโมฆะ ศาลสามารถมีคำพิพากษาได้เอง แม้คู่ความไม่ได้ร้องขอโดยตรง เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1471/2549 ศาลเห็นว่าการสมรสที่ทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง โดยไม่มีการอยู่กินร่วมกัน ถือเป็นโมฆะ และศาลสามารถพิพากษาให้เป็นโมฆะได้แม้ไม่มีคำขอโดยตรง
3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 วรรคสอง หลักการ: แม้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ แต่บุตรที่เกิดระหว่างการสมรสนั้นยังถือเป็น “บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย” เพื่อคุ้มครองสิทธิและสถานะของเด็ก ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7096/2546 ศาลวินิจฉัยว่า แม้การสมรสถูกพิพากษาเป็นโมฆะ แต่บุตรที่เกิดระหว่างนั้นยังมีสิทธิเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของทั้งบิดาและมารดา
4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499/1 หลักการ: ในกรณีมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองบุตร ศาลมีอำนาจกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยต้องยึดหลัก “สวัสดิภาพและประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์” เป็นสำคัญ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4420/2548 ศาลกำหนดให้ฝ่ายมารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรเพียงฝ่ายเดียว เพราะบิดามีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมต่อการเลี้ยงดู และไม่เป็นผลดีต่อผู้เยาว์
5. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 หลักการ: มาตรานี้บัญญัติถึง ขอบเขตอำนาจปกครองบุตร เช่น การกำหนดที่อยู่ของบุตร การอบรมเลี้ยงดู การให้การศึกษา และการจัดการทรัพย์สินของบุตร ผู้ใช้อำนาจปกครองต้องกระทำเพื่อประโยชน์ของบุตรเป็นหลัก ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3085/2550 ศาลตัดสินว่าบิดามีสิทธิย้ายที่อยู่ของบุตรได้ตามมาตรา 1567 แต่การย้ายที่อยู่นั้นต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สวัสดิภาพและอนาคตของบุตร 📌 สรุป
หลักกฎหมายเหล่านี้สะท้อนว่า “แม้สมรสเป็นโมฆะ แต่สิทธิของบุตรยังคงได้รับการคุ้มครอง” และเมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครอง ศาลจะตัดสินโดยยึด ประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ เป็นสำคัญ การสมรสไม่ใช่เพียงพิธีการทางทะเบียน แต่ต้องมีเจตนาและความยินยอมแท้จริง หากปราศจากเจตนาดังกล่าว การสมรสย่อมไม่อาจก่อผลทางกฎหมายได้ |




.jpg)