
| ศาลฎีกา 7072/2559: สิทธิขอค่าเลี้ยงชีพ-อำนาจปกครองบุตรหลังหย่าในบริบทสามีใหม่
🔹 สรุปนำบทความ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิขอค่าเลี้ยงชีพตามมาตรา 1526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดในเหตุแห่งการหย่า แต่ศาลจะกำหนดค่าเลี้ยงชีพได้เฉพาะเมื่ออีกฝ่ายยากจนลง ทั้งยังวินิจฉัยเรื่องอำนาจปกครองบุตรโดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมที่ผู้ปกครองสามารถดูแลผู้เยาว์ได้อย่างเหมาะสม โดยศาลเห็นสมควรมอบอำนาจให้บิดาเป็นผู้ปกครองบุตร เนื่องจากภริยามีสามีใหม่และสถานะไม่มั่นคงพอจะเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้อย่างปลอดภัย
🔹 สาระสำคัญของคดี ⚖️ ข้อเท็จจริงของคดี •โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรส และมีบุตรหญิง 1 คน •ต่อมาโจทก์ฟ้องหย่า พร้อมเรียกร้องแบ่งสินสมรส, ค่าเลี้ยงชีพ, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร และอำนาจปกครองบุตร •จำเลยฟ้องแย้ง ขอเป็นผู้ปกครองบุตร และเรียกร้องให้โจทก์ร่วมรับผิดหนี้เงินกู้ •ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้หย่าและให้แบ่งสินสมรส, กำหนดค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ และให้ทดลองปกครองบุตร •ต่อมา จำเลยฎีกา ขอให้พิจารณาใหม่เรื่องค่าเลี้ยงชีพ, อำนาจปกครองบุตร และค่าอุปการะเลี้ยงดู
สรุปย่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7072/2559 ศาลฎีกาเห็นว่า แม้การหย่าเป็นความผิดของจำเลย แต่การเรียกค่าเลี้ยงชีพตาม ป.พ.พ. มาตรา 1526 จะต้องพิสูจน์ว่าอีกฝ่าย “ยากจนลง” ด้วย ซึ่งในคดีนี้โจทก์มีรายได้เพียงเล็กน้อยและต้องกลับไปอาศัยกับบิดามารดาหลังหย่า จึงถือว่าเข้าเงื่อนไขดังกล่าว อย่างไรก็ตาม โจทก์ได้อยู่กินกับสามีใหม่ตั้งแต่กลางปี 2557 ศาลจึงกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์เพียงถึงเดือนมิถุนายน 2557 เท่านั้น ในประเด็นอำนาจปกครองบุตร ศาลพิจารณาว่าบ้านพักของโจทก์ไม่เหมาะสมต่อความปลอดภัยของผู้เยาว์ เนื่องจากพักอาศัยกับสามีใหม่ซึ่งมีบุตรชายติดมาด้วยและเคยทำร้ายจำเลย อีกทั้งสถานะทางการเงินและความเป็นอยู่ไม่เอื้อต่อการดูแลผู้เยาว์ ศาลจึงให้จำเลย (บิดา) เป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียว และไม่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์อีก
🔹 ประเด็นข้อกฎหมายและการวินิจฉัยของศาลฎีกา ✅ 1. การเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ (มาตรา 1526) ศาลฎีกาเห็นว่า: •แม้จำเลยเป็นฝ่ายผิดในเหตุหย่า แต่การจะให้ค่าเลี้ยงชีพได้ ต้องพิสูจน์ว่าอีกฝ่าย “ยากจนลง” •โจทก์มีรายได้ต่ำ ต้องกลับไปอาศัยกับบิดามารดาหลังแยกทาง และต้องช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน ถือว่า "ยากจนลง" •อย่างไรก็ตาม โจทก์อยู่กินกับสามีใหม่ตั้งแต่ปี 2557 จึงมีผลต่อการพิจารณาค่าเลี้ยงชีพ 📌 สรุป: ศาลกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพเดือนละ 3,000 บาท ตั้งแต่วันฟ้อง ถึงเดือนมิถุนายน 2557 เท่านั้น
✅ 2. อำนาจปกครองผู้เยาว์ •โจทก์อยู่กับสามีใหม่ และมีบุตรใหม่เพิ่มอีก 1 คน •นำบุตรหญิงวัย 7 ปีไปนอนห้องเดียวกับสามีใหม่ และบุตรชายติดของสามีใหม่ •บ้านพักคับแคบ สถานการณ์ไม่เหมาะสมต่อสวัสดิภาพของผู้เยาว์ •คู่ครองใหม่ของโจทก์เคยทำร้ายร่างกายจำเลย และถูกพิพากษาลงโทษมาแล้ว 📌 สรุป: ศาลเห็นว่า จำเลย (บิดา) มีความสามารถในการเล็งเห็นความเสี่ยงและดูแลผู้เยาว์ได้ดีกว่า จึงให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์เพียงผู้เดียว
✅ 3. ค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ •เนื่องจากจำเลยได้อำนาจปกครองบุตรแล้วตามคำพิพากษา •ตามกฎหมาย ผู้ที่มีอำนาจปกครองต้องเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู ไม่ใช่จ่ายให้ฝ่ายตรงข้าม 📌 สรุป: ยกคำขอให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์
🔹 ตัวอย่างกรณีศึกษาและแนวปฏิบัติของทนายความ ตัวอย่าง: ในคดีที่ฝ่ายภริยาเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังหย่าและขออำนาจปกครองบุตร หากภริยาอยู่กินกับสามีใหม่ หรือสถานะทางเศรษฐกิจและสภาพความเป็นอยู่ไม่มั่นคง ทนายความฝ่ายสามีสามารถนำข้อเท็จจริงนี้มาใช้ประกอบการโต้แย้งได้ โดยอ้างว่าเงื่อนไขตามมาตรา 1526 ไม่ครบถ้วน และสวัสดิภาพบุตรเสี่ยงอันตราย แนวปฏิบัติ: •ทนายควรรวบรวมรายงานผลการทดลองเลี้ยงดูจากสถานพินิจ •ใช้พฤติกรรมหรือประวัติของบุคคลรอบข้างผู้เยาว์มาแสดงเหตุแห่งความไม่เหมาะสมในการเลี้ยงดู •พิจารณาขอให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งเรื่องอำนาจปกครองหากมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลง
🔹 สรุปข้อคิดทางกฎหมาย 1.การขอค่าเลี้ยงชีพหลังหย่าต้องมี "การยากจนลง" ประกอบ แม้อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม 2.การอยู่กินกับคู่ครองใหม่มีผลต่อสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ แม้ไม่จดทะเบียนสมรส 3.ศาลจะพิจารณา "สวัสดิภาพของผู้เยาว์" เป็นหลัก ไม่ใช่เพียงบทบาทพ่อแม่ตามเพศ 4.บุคคลรอบข้างผู้เยาว์ และสภาพความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันมีน้ำหนักต่อการวินิจฉัยอำนาจปกครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7072/2559 ในคดีหย่า ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่าจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง อีกฝ่ายหนึ่งจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1526 วรรคหนึ่ง แต่แม้จะได้ความว่าการหย่าเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นความผิดของฝ่ายจำเลยก็ตาม แต่ศาลจะกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงว่าอีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงด้วย โจทก์มีอาชีพรับจ้างตัดต่อภาพทางคอมพิวเตอร์ มีรายได้ประมาณเดือนละ 5,000 บาท โจทก์เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา บิดารับราชการแต่เกษียณอายุแล้ว มารดาเป็นแม่บ้าน เมื่อแยกทางกับจำเลยแล้วโจทก์ต้องกลับไปพักอาศัยกับบิดามารดา ต้องช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าการหย่าเป็นเหตุให้โจทก์ยากจนลง แต่เมื่อปรากฏจากรายงานผลการกำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ครั้งที่ 1 ของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 โจทก์ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับ อ. ซึ่งเป็นคู่ครองใหม่ของโจทก์แล้ว แม้จะไม่ปรากฏว่าเป็นการอยู่กินฉันสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นพฤติการณ์ที่ศาลสามารถนำมาพิจารณาประกอบการกำหนดค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ได้ ศาลฎีกาสมควรกำหนดให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2557 และเมื่อปรากฏว่าโจทก์อยู่กินกันกับคู่ครองคนใหม่ซึ่งมีบุตรชายที่มีอายุมากกว่าบุตรสาวจำเลย 1 คน เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และพักอาศัยอยู่ร่วมกันโดยโจทก์นำบุตรพักนอนอยู่ห้องเดียวกับสามีใหม่ เป็นการไม่เหมาะสม และอาจเกิดอันตรายแก่บุตรสาวของจำเลยได้ ทั้ง อ. เคยทำร้ายร่างกายจำเลยจนถูกศาลชั้นต้นพิจารณาลงโทษไปแล้ว และโจทก์ก็มีบุตรกับสามีใหม่แล้ว โจทก์ยังไม่ได้ประกอบอาชีพเพราะมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรใหม่ สำหรับผู้เยาว์ โจทก์พาไปฝากบิดามารดาของโจทก์เลี้ยงบ้าง ทั้งโจทก์ยังนำผู้เยาว์ซึ่งอายุ 7 ปีแล้ว ไปนอนรวมห้องเดียวกับสามีใหม่ แสดงว่าบ้านพักอาศัยคับแคบ และสามีใหม่ของโจทก์มีบุตรชายติดมาด้วย 1 คน แสดงว่ารายได้ของโจทก์และสถานที่พักอาศัยของโจทก์ไม่เอื้ออำนวยให้โจทก์อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้ได้เหมาะสมตลอดจนปลอดภัยต่ออนาคตและสวัสดิภาพของผู้เยาว์ได้ จำเลยในฐานะบิดาย่อมเล็งเห็นสภาพข้อเท็จจริงที่โจทก์เลี้ยงดูผู้เยาว์รวมทั้งสภาพแวดล้อมและความประพฤติอุปนิสัยของบุคคลรอบข้างผู้เยาว์และหาหนทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เยาว์ได้ดี เพื่อสวัสดิภาพและอนาคตของผู้เยาว์ จึงเห็นสมควรให้ผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลย เมื่อศาลฎีกากำหนดให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวแล้ว จำเลยย่อมต้องเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์แก่โจทก์อีก
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยแบ่งเงิน 450,000 บาท แก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 225,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเป็นเวลา 10 ปี ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ เดือนละ 7,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะจบการศึกษาระดับปริญญาตรี กับให้โจทก์แต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ กับให้โจทก์ร่วมรับผิดกึ่งหนึ่งในหนี้เงินกู้ 433,000 บาท เป็นเงิน 216,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้จำเลยแบ่งสินสมรสคือเงิน 450,000 บาท แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้โจทก์ร่วมรับผิดกับจำเลยในหนี้เงินกู้ 433,000 บาท กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ 6,000 บาท ต่อเดือน นับแต่เดือนสิงหาคม 2556 เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ ให้โจทก์ทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาหกเดือนนับแต่มีคำพิพากษา โดยให้ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้กำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์แล้วรายงานให้ศาลทราบทุกสามเดือน ระหว่างนี้ให้จำเลยมีสิทธิติดต่อเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามควรแก่พฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584/1 ยกคำขอค่าเลี้ยงชีพ ยกฟ้องแย้งในเรื่องหย่า ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพ 3,000 บาทต่อเดือน แก่โจทก์นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 สิงหาคม 2556) เป็นต้นไปเป็นเวลา 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพจากจำเลยหรือไม่ เพียงใด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 บัญญัติว่า "..การหย่านั้นทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง.. จะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้" เห็นว่า แม้จะได้ความว่าการหย่าเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นความผิดฝ่ายจำเลยก็ตาม แต่ศาลจะกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงว่าอีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงด้วย โจทก์เบิกความว่า โจทก์มีอาชีพรับจ้างตัดต่อภาพทางคอมพิวเตอร์ มีรายได้ประมาณเดือนละ 5,000 บาท โจทก์เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา บิดารับราชการแต่เกษียณอายุแล้ว มารดาเป็นแม่บ้าน เมื่อแยกทางกับจำเลยแล้วโจทก์ต้องกลับไปพักอาศัยกับบิดามารดา ต้องช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย จำเลยไม่โต้แย้ง ในชั้นฎีกาจำเลยอ้างว่า โจทก์มีสามีใหม่ และตั้งครรภ์กับสามีใหม่แล้ว ไม่โต้แย้งข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบจึงต้องถือว่าการหย่าเป็นเหตุให้โจทก์ยากจนลง อย่างไรก็ตามแม้ข้อเท็จจริงที่ว่า โจทก์มีคู่ครองคนใหม่แล้ว ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยอมรับก็ตาม แต่ได้ความจากรายงานผลการกำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ครั้งที่ 1 ของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 โจทก์ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนาย อ. ซึ่งเป็นคู่ครองใหม่ของโจทก์แล้ว แม้ไม่ปรากฏว่าจะเป็นการอยู่กินฉันสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นพฤติการณ์ที่ศาลสามารถนำมาพิจารณาประกอบการกำหนดค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเป็นเวลา 5 ปี นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ยังไม่เหมาะสม สมควรให้จำเลยชำระถึงเดือนมิถุนายน 2557 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า สมควรให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากรายงานผลการกำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ครั้งที่ 1 ของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 และครั้งที่ 2 ลงวันที่ 16 มกราคม 2558 ว่า โจทก์อยู่กินกับคู่ครองคนใหม่ ซึ่งมีบุตรชายที่มีอายุมากกว่าบุตรสาวจำเลย 1 คน เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และพักอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยโจทก์นำบุตรนอนอยู่ห้องเดียวกับสามีใหม่ เป็นการไม่เหมาะสมและอาจเกิดอันตรายแก่บุตรสาวของจำเลยได้ นอกจากนี้ นาย อ. คู่ครองใหม่ของโจทก์มีนิสัยเกเร เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 นาย อ. ทำร้ายร่างกายจำเลย ต่อมาพนักงานอัยการฟ้องนาย อ. นาย อ. ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนาย อ. ไปแล้ว ตามสำเนาคำฟ้องและสำเนาคำพิพากษาเอกสารแนบท้ายฎีกา เห็นว่า ในรายงานดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์ว่า โจทก์มีสามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่แล้ว โจทก์ยังไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นเพราะมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรใหม่ สำหรับผู้เยาว์โจทก์พาไปฝากบิดามารดาของโจทก์เลี้ยงบ้าง ประกอบกับได้ความว่า โจทก์นำผู้เยาว์ซึ่งเป็นเด็กหญิงและมีอายุ 7 ปีแล้ว ไปนอนรวมห้องเดียวกับสามีใหม่ แสดงว่าบ้านพักอาศัยคับแคบ และสามีใหม่ของโจทก์มีบุตรชายติดมาด้วย 1 คน แสดงว่ารายได้ของโจทก์และสถานที่พักอาศัยของโจทก์ไม่เอื้ออำนวยให้โจทก์อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้เหมาะสมตลอดจนปลอดภัยต่ออนาคตและสวัสดิภาพของผู้เยาว์ได้ จำเลยในฐานะบิดาย่อมเล็งเห็นสภาพข้อเท็จจริงที่โจทก์เลี้ยงดูผู้เยาว์รวมทั้งสภาพแวดล้อมและความประพฤติอุปนิสัยของบุคคลรอบข้างผู้เยาว์และหาหนทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เยาว์ได้ดี เพื่อสวัสดิภาพและอนาคตของผู้เยาว์ จึงเห็นสมควรให้ผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเพียงว่า ให้เป็นพับ โดยไม่ได้ระบุว่า หมายความรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องเดิมและฟ้องแย้ง จึงไม่ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นควรสั่งใหม่ให้ชัดเจน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองและเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ โดยให้ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้กำกับการปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์และรายงานให้ศาลทราบทุกสามเดือน ให้โจทก์มีสิทธิติดต่อเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584/1 ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง ถึงเดือนมิถุนายน 2557 แก่โจทก์ ยกคำขอค่าอุปการะเลี้ยงดู นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งทั้งสามชั้นศาลให้เป็นพับ
🔹 IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) •Issue (ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย): คดีนี้มีประเด็นสำคัญ 2 ประการ คือ 1.โจทก์มีสิทธิเรียกร้อง “ค่าเลี้ยงชีพ” จากจำเลยหลังการหย่าหรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย 2.การที่โจทก์มีสามีใหม่และมีสถานะไม่มั่นคงส่งผลต่อ “อำนาจปกครองบุตร” อย่างไร •Rule (หลักกฎหมายที่ใช้): • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 กำหนดว่า หากการหย่าทำให้อีกฝ่ายยากจนลง และอีกฝ่ายเป็นผู้ผิด จะสามารถเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ • มาตรา 1585 และ 1584/1 ว่าด้วยการใช้อำนาจปกครองบุตร และการคำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้เยาว์เป็นสำคัญ •Application (การปรับใช้ข้อเท็จจริงกับกฎหมาย): จากข้อเท็จจริง ศาลรับฟังได้ว่า โจทก์มีรายได้น้อยและต้องกลับไปอยู่กับบิดามารดาหลังหย่า จึงเข้าเงื่อนไข “ยากจนลง” ตามมาตรา 1526 อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์ไปอยู่กินกับสามีใหม่ตั้งแต่กลางปี 2557 ศาลจึงเห็นว่า ไม่สมควรกำหนดค่าเลี้ยงชีพต่อไปอีก ส่วนการดูแลบุตร ศาลพบว่า สถานะของโจทก์ไม่มีความมั่นคงเพียงพอ อีกทั้งคู่ครองใหม่ของโจทก์เคยทำร้ายร่างกายจำเลย และสภาพแวดล้อมในบ้านพักไม่เหมาะกับการดูแลผู้เยาว์ โดยเฉพาะเมื่อเด็กหญิงต้องนอนรวมกับชายอื่นที่ไม่ใช่บิดา •Conclusion (บทสรุปของศาล): ศาลฎีกาให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เพียงถึงเดือนมิถุนายน 2557 เท่านั้น และให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็ก โดยไม่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์อีก
🔹 สรุปย่อเป็นภาษาอังกฤษ Supreme Court Judgment No. 7072/2559 Summary: The Thai Supreme Court ruled on spousal support and child custody following a divorce. While the wife was entitled to some alimony due to financial hardship, her later cohabitation with a new partner affected the duration of payments. The Court also found that the mother’s living situation was unsafe for the minor child, granting sole custody to the father. As the father gained full parental authority, he was no longer required to pay child support to the mother.
|





