
| อำนาจผู้จัดการมรดกร่วม & ฟ้องเรียกทรัพย์, มาตรา 1726, (ฎีกา 2628/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอำนาจของผู้จัดการมรดกร่วมในการจัดการทรัพย์มรดก โดยเฉพาะการฟ้องเรียกทรัพย์คืนเข้าสู่กองมรดก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจัดการโดยผู้จัดการมรดกหลายคนไม่จำเป็นต้องลงมือพร้อมกันทุกคน หากมีมติด้วยเสียงข้างมากหรือได้รับความยินยอมจากผู้จัดการมรดกฝ่ายอื่นแล้ว ถือว่าเป็นการจัดการร่วมกันตามกฎหมาย คดีนี้จึงยืนยันหลักการว่า ผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากสามารถใช้สิทธิฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากบุคคลภายนอกได้อย่างชอบด้วยกฎหมาย แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่เข้าร่วมหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม สรุปข้อเท็จจริง • นายวุฒิพลถึงแก่กรรม ทรัพย์สินที่มีอยู่ ได้แก่ เงินฝากหลายบัญชี หน่วยลงทุน และห้องชุด • ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งโจทก์ (คู่ชีวิตของผู้ตาย) และนางเบียว (น้องสาวผู้ตาย) เป็นผู้จัดการมรดกร่วม • มีการประชุมผู้จัดการมรดก โดยที่ประชุมมีมติให้ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย แม้ทายาทบางฝ่ายไม่เข้าร่วม • โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วม จึงฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนเข้าสู่กองมรดก คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาอ้าง ป.พ.พ. มาตรา 1726 และ มาตรา 1736 วรรคสอง ซึ่งกำหนดว่า หากมีผู้จัดการมรดกหลายคน การดำเนินการใด ๆ ต้องถือเสียงข้างมาก และผู้จัดการมรดกมีอำนาจฟ้องคดีหรือแก้คดีเพื่อประโยชน์ของกองมรดกได้ ศาลเห็นว่า แม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้จัดการมรดกคนหนึ่ง แต่เมื่อมีการประชุมผู้จัดการมรดกและมีมติให้ฟ้องเรียกทรัพย์คืน โดยผู้จัดการอีกฝ่ายรับรู้และยินยอม ถือว่าเป็นการจัดการโดยเสียงข้างมาก ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกคืนทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อจำเลยให้กลับคืนสู่กองมรดก ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้จำเลยคืนเงินรวมกว่า 8 ล้านบาท พร้อมโอนห้องชุดและที่ดินให้แก่โจทก์และกองมรดก วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. อำนาจผู้จัดการมรดกร่วม – ไม่จำเป็นต้องทำทุกการกระทำร่วมกันทุกคน หากมีมติจากเสียงข้างมาก หรือได้รับยินยอมก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย 2. มาตรา 1726 ป.พ.พ. – กำหนดหลักเสียงข้างมากเป็นตัวชี้ขาด หากเสียงเท่ากันศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย 3. มาตรา 1736 ป.พ.พ. – ให้อำนาจผู้จัดการมรดกฟ้องคดี แก้คดี หรือทำการอื่นที่จำเป็นต่อการจัดการมรดก 4. ผลของคดีนี้ – ยืนยันว่าผู้จัดการมรดกร่วมสามารถดำเนินการเพื่อปกป้องกองมรดกได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการลงชื่อร่วมกันทุกครั้ง IRAC Analysis Issue: ผู้จัดการมรดกร่วมคนหนึ่งมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินของผู้ตายคืนจากบุคคลภายนอกหรือไม่ หากผู้จัดการมรดกอีกฝ่ายไม่เข้าร่วมหรือไม่ลงชื่อร่วม Rule: • ป.พ.พ. มาตรา 1726: ผู้จัดการมรดกหลายคนต้องใช้เสียงข้างมากในการดำเนินการ • ป.พ.พ. มาตรา 1736 วรรคสอง: ผู้จัดการมรดกมีสิทธิฟ้องคดีหรือแก้คดีเพื่อจัดการมรดกได้ Application: โจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับนางเบียว แม้นางเบียวไม่เข้าฟ้องด้วยตนเอง แต่ได้เข้าร่วมประชุมและรับทราบมติที่เห็นชอบให้ฟ้องเรียกทรัพย์คืน ถือเป็นการจัดการโดยเสียงข้างมากและได้รับความยินยอมจากผู้จัดการร่วมแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามกฎหมาย Conclusion: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนเข้าสู่กองมรดก การกระทำดังกล่าวเป็นการจัดการมรดกโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1726 และ 1736 ข้อคิดทางกฎหมาย คำพิพากษานี้ชี้ชัดว่า การจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกหลายคนไม่จำเป็นต้องลงนามหรือดำเนินการทุกขั้นตอนร่วมกัน หากมีมติด้วยเสียงข้างมากหรือได้รับความยินยอม ถือว่าเพียงพอแล้ว หลักการนี้ช่วยให้การบริหารจัดการมรดกมีความคล่องตัวและป้องกันไม่ให้ผู้จัดการมรดกเสียงส่วนน้อยขัดขวางการดำเนินงานที่จำเป็นต่อกองมรดก ✅ ประเด็นกฎหมายสำคัญที่สุด คดีนี้ศาลฎีกาใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 และมาตรา 1736 วรรคสอง เป็นแกนในการวินิจฉัยว่า • หากมีผู้จัดการมรดกหลายคน การจัดการทรัพย์มรดกต้องถือเอาเสียงข้างมาก • ผู้จัดการมรดกมีสิทธิฟ้องคดีหรือแก้คดีเพื่อประโยชน์ของกองมรดก 🔑 คำสำคัญที่สุด 5 ประเด็น (Key Words) 1. ผู้จัดการมรดกร่วม (Co-executors of an estate) o ประเด็นหลักคือ เมื่อศาลตั้งผู้จัดการมรดกหลายคน จะมีอำนาจและวิธีปฏิบัติร่วมกันอย่างไร 2. เสียงข้างมาก (Majority rule) o การตัดสินใจของผู้จัดการมรดกไม่จำเป็นต้องเป็นเอกฉันท์ หากเสียงข้างมากเห็นชอบก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย 3. อำนาจฟ้องคดี (Authority to sue) o ผู้จัดการมรดกที่ได้รับความยินยอมจากเสียงข้างมากมีสิทธิฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนทรัพย์สินของผู้ตาย 4. มาตรา 1726 ป.พ.พ. o กำหนดหลักว่าหากผู้จัดการมรดกหลายคน ต้องถือเสียงข้างมากในการทำหน้าที่ 5. มาตรา 1736 วรรคสอง ป.พ.พ. o ให้อำนาจผู้จัดการมรดกในการทำการที่จำเป็น เช่น ฟ้องคดีหรือแก้คดี เพื่อรวบรวมและปกป้องทรัพย์มรดก ✨ สรุปสั้น ๆ แก่นคดีนี้อยู่ที่การตีความ อำนาจผู้จัดการมรดกร่วม ว่าไม่จำเป็นต้องลงมือพร้อมกันทุกคน แต่การจัดการที่ได้มาจาก เสียงข้างมาก หรือได้รับ ความยินยอม ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย และผู้จัดการมรดกมีสิทธิ ฟ้องคดี เรียกทรัพย์สินเข้าสู่กองมรดกโดยตรง ตามหลักที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 1726 และ 1736 วรรคสอง ป.พ.พ.
คำถาม: ผู้จัดการมรดกร่วมคนหนึ่งมีอำนาจฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินของผู้ตายจากบุคคลภายนอกได้หรือไม่ หากผู้จัดการมรดกร่วมอีกฝ่ายไม่เข้าร่วมดำเนินคดี? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 และมาตรา 1736 วรรคสอง หากมีผู้จัดการมรดกหลายคน การจัดการทรัพย์มรดกย่อมต้องถือเสียงข้างมาก และผู้จัดการมรดกมีอำนาจดำเนินการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของกองมรดก รวมถึงการฟ้องคดี แม้ผู้จัดการมรดกอีกฝ่ายจะไม่เข้าร่วมดำเนินคดี แต่เมื่อได้มีการประชุมผู้จัดการมรดกและมีมติให้ฟ้องเรียกคืนทรัพย์สิน อีกทั้งผู้จัดการมรดกร่วมได้รับทราบและยินยอมแล้ว การฟ้องคดีดังกล่าวถือเป็นการจัดการร่วมกันโดยเสียงข้างมาก โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมจึงมีอำนาจฟ้องเรียกคืนที่ดิน ห้องชุด และเงินฝากของผู้ตายคืนเข้าสู่กองมรดกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2567 ป.พ.พ. บรรพ 6 ลักษณะ 4 วิธีการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดก หมวด 1 ผู้จัดการมรดก ว่าด้วยการจัดตั้งผู้จัดการมรดกคนเดียวหรือหลายคน และวิธีการจัดการมรดกกรณีผู้จัดการมรดกหลายคนซึ่งต้องตกลงกันด้วยเสียงข้างมาก เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงดำเนินการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน ทำการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้กองมรดก กับการแบ่งปันทรัพย์มรดกในหมวด 2 ว่าด้วยการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน และการชำระหนี้กับแบ่งทรัพย์มรดก ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 วรรคสอง บัญญัติว่า ในระหว่างเวลาเช่นนั้น ผู้จัดการมรดกชอบที่จะกระทำการใด ๆ ในทางจัดการมรดกตามที่จำเป็น เช่นฟ้องคดีหรือแก้ฟ้องในศาลและอื่น ๆ ดังนี้ จะเห็นได้ว่าการกระทำในทางธรรมชาติของการจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกหลายคนนั้นไม่อาจกระทำได้ด้วยผู้จัดการมรดกพร้อมกันทุกคน ทั้งตามบทกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าการกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกหลายคนนั้น ต้องร่วมกันทำหรือร่วมกันลงชื่อในนิติกรรมพร้อมกันทุกคนทุกคราวไป เพียงแต่ต้องกระทำการด้วยตนเองเว้นแต่จะกระทำการโดยตัวแทนตามอำนาจที่ให้ไว้ชัดแจ้งหรือโดยปริยายในพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล เนื่องเพราะผู้จัดการมรดกทุกคนต้องร่วมรับผิดต่อทายาทและบุคคลภายนอกดังเช่นตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1720 และ 1723 ฉะนั้น การกระทำใดของผู้จัดการมรดกคนหนึ่งหรือหลายคนโดยมีผู้เห็นด้วยเป็นส่วนมากหรือได้รับความยินยอมของผู้จัดการมรดกคนอื่นแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมาก หาจำต้องให้ผู้จัดการมรดกเสียงส่วนข้างน้อยเข้าร่วมจัดการด้วยไม่ ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้ง บ. ซึ่งเป็นผู้ร้อง และโจทก์ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย บ. และโจทก์มีการนัดประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 บ. ทวงถามให้โจทก์ทำการแบ่งปันเงินสดหรือทรัพย์มรดก แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ทำหน้าที่จัดการมรดกของผู้ตาย การที่ บ. ได้ตั้งให้ อ. และ ป. เป็นผู้มีอำนาจเข้าประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 แทน บ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1723 ที่ประชุมพิจารณาและมีมติให้ดำเนินการฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยฝ่ายทายาทไม่ประสงค์จะเข้าร่วม โดยท้ายรายงานการประชุมดังกล่าวได้แนบบัญชีทรัพย์สินในกลุ่มที่ 3 ระบุชื่อจำเลยจำนวน 5 รายการ คือ อันดับที่ 14 ถึงอันดับที่ 20 ซึ่งตรงกับรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 15 แผ่นที่ 5 อันดับ 11, 13, 14, 20 และ 26 ซึ่งแสดงว่า บ. รู้เห็นและยินยอมการที่โจทก์จะฟ้องจำเลยโดยไม่โต้แย้งคัดค้าน ตามพฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่า บ. ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมรู้เห็นและยินยอมให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เพื่อรวบรวบทรัพย์สินของผู้ตายเข้าสู่กองมรดกนำไปแบ่งปันให้แก่ทายาทตามกฎหมาย อันเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมากตามความหมายแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1726 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกที่ดิน ห้องชุด และเงินพิพาทส่วนของผู้ตายคืนจากจำเลยได้ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินตามจำนวนหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดธนาคาร ก. ผู้ถือหน่วยลงทุนเลขที่ 888-478xxx-x เป็นเงิน 2,562,678.39 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 087-718xxx-x เป็นเงิน 4,902,448.20 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. บัญชีเลขที่ 206-247xxx-x เป็นเงิน 581,711.61 บาท รวมเป็นเงิน 8,046,838.02 บาท และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 ให้แก่โจทก์และกองมรดกของนายวุฒิพล หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 4,023,419.10 บาท และให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งของห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับนายวุฒิพล โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส นายวุฒิพลมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน จำเลยเป็นหลานของนายวุฒิพล เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2561 นายวุฒิพลถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 29 มกราคม 2562 ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งโจทก์และนางเบียว น้องสาวของนายวุฒิพล ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายวุฒิพล จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่ได้รับมาจากนายวุฒิพล ได้แก่ หน่วยลงทุนบัญชีกองทุนเปิด บัวหลวงตราสารหนี้ภาครัฐ บริษัทหลักทรัพย์ จ. เลขที่ผู้ถือหน่วยลงทุน 888-478xxx-x เป็นเงิน 2,562,678.39 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 087-718xxx-x เป็นเงิน 4,902,448.20 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. บัญชีเลขที่ 206-247xxx-x เป็นเงิน 581,711.61 บาท ห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 โจทก์และนางเบียวเข้าร่วมประชุมเพื่อปรึกษาการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายจากจำเลย กลุ่มที่ 3 ซึ่งอยู่ในชื่อตัวแทน 4 คน ที่ยังไม่สามารถเรียกคืนได้และอีกหนึ่งคนตกลงคืนแล้ว ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติให้ดำเนินการฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยฝ่ายทายาทไม่ประสงค์จะเข้าร่วม โดยในท้ายรายงานการประชุมดังกล่าวแนบบัญชีทรัพย์สินในกลุ่มที่ 3 ระบุชื่อจำเลยจำนวน 5 รายการ คือ อันดับที่ 14 ถึงอันดับที่ 20 และเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 15 แผ่นที่ 5 อันดับ 11, 13, 14, 20 และ 26 พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ตามที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวุฒิพล ผู้ตาย มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดิน ห้องชุด และเงินพิพาทส่วนของผู้ตายตามฟ้องคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ข้อนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 บัญญัติว่า ถ้าผู้จัดการมรดกมีหลายคน การทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกนั้นต้องถือเอาเสียงข้างมาก เว้นแต่จะมีข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น ถ้าเสียงเท่ากัน เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ ก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด มาตรา 1736 วรรคสอง บัญญัติว่า ในระหว่างเวลาเช่นนั้น ผู้จัดการมรดกชอบที่จะกระทำการใด ๆ ในทางจัดการมรดกตามที่จำเป็นเช่นฟ้องคดีหรือแก้ฟ้องในศาลและอื่น ๆ อนึ่งผู้จัดการมรดกต้องทำการทุกอย่างที่จำเป็น เพื่อเรียกเก็บหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกภายในเวลาอันเร็วที่สุดที่จะทำได้ และเมื่อเจ้าหนี้กองมรดกได้รับชำระหนี้แล้วผู้จัดการมรดกต้องทำการแบ่งปันมรดก เช่นนี้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ลักษณะ 4 วิธีการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดก หมวด 1 ผู้จัดการมรดก ว่าด้วยการจัดตั้งผู้จัดการมรดกคนเดียวหรือหลายคน และวิธีการจัดการมรดกกรณีผู้จัดการมรดกหลายคนซึ่งต้องตกลงกันด้วยเสียงข้างมาก เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงดำเนินการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน ทำการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้กองมรดก กับการแบ่งปันทรัพย์มรดกในหมวด 2 ว่าด้วยการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน และการชำระหนี้กับแบ่งทรัพย์มรดก ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 วรรคสอง บัญญัติว่า ในระหว่างเวลาเช่นนั้น ผู้จัดการมรดกชอบที่จะกระทำการใด ๆ ในทางจัดการมรดกตามที่จำเป็น เช่นฟ้องคดีหรือแก้ฟ้องในศาลและอื่น ๆ ดังนี้ จะเห็นได้ว่าการกระทำในทางธรรมชาติของการจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกหลายคนนั้นไม่อาจกระทำได้ด้วยผู้จัดการมรดกพร้อมกันทุกคน เช่น การครอบครองทรัพย์มรดก การจัดทำบัญชีทรัพย์มรดก การขอถอนผู้จัดการมรดก และไม่จำต้องกระทำการพร้อมกันทุกคน เช่น การทำนิติกรรม การรับชำระหนี้จากลูกหนี้ การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ การฟ้องร้องและการต่อสู้คดี เป็นต้น ทั้งตามบทกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าการกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกหลายคนนั้น ต้องร่วมกันทำหรือร่วมกันลงชื่อในนิติกรรมพร้อมกันทุกคนทุกคราวไป เพียงแต่ต้องกระทำการด้วยตนเองเว้นแต่จะกระทำการโดยตัวแทนตามอำนาจที่ให้ไว้ชัดแจ้งหรือโดยปริยายในพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล เนื่องเพราะผู้จัดการมรดกทุกคนต้องร่วมรับผิดต่อทายาทและบุคคลภายนอกดังเช่นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1720 และ 1723 ฉะนั้น การกระทำใดของผู้จัดการมรดกคนหนึ่งหรือหลายคนโดยมีผู้เห็นด้วยเป็นส่วนมากหรือได้รับความยินยอมของผู้จัดการมรดกคนอื่นแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมาก หาจำต้องให้ผู้จัดการมรดกเสียงส่วนข้างน้อยเข้าร่วมจัดการด้วยไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งนางเบียวซึ่งเป็นผู้ร้อง และโจทก์ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมานางเบียวยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และฝ่ายโจทก์ยื่นคำคัดค้านและขอให้ศาลมีคำสั่งถอนนางเบียวออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกเช่นกัน ตามคดีหมายแดงที่ พ.364/2562 ของศาลแพ่ง เมื่อพิจารณาตามสำเนาคำสั่งศาลแพ่ง ในส่วนทางไต่สวนของนางเบียวซึ่งเป็นผู้ร้องนำสืบว่า โจทก์ผู้คัดค้านปฏิเสธไม่ทำหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ทายาทของผู้ตาย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 มีการนัดประชุมผู้จัดการมรดก นางเบียวทวงถามขอให้โจทก์ทำการแบ่งปันเงินสดหรือทรัพย์มรดกอื่นซึ่งสามารถจัดการแบ่งปันมรดกให้แก่ทายาทของผู้ตาย แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดก ทั้งส่วนข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ระบุว่า นางเบียวและโจทก์มีการนัดประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 ส่วนที่วินิจฉัยมีการกล่าวถึงว่า นางเบียวอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 มีการประชุมผู้จัดการมรดกนางเบียวทวงถามให้โจทก์ทำการแบ่งปันเงินสดหรือทรัพย์มรดก แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ทำหน้าที่จัดการมรดกของผู้ตาย โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ทนายความนางเบียวแจ้งโจทก์จัดทำบัญชีทรัพย์และขอให้เรียกประชุม เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 มีการเรียกประชุม และได้กล่าวถึงว่านางเบียวได้แต่งตัวนางสาวอัมพรเป็นทนายความ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงพฤติการณ์ของนางเบียวที่แต่งตั้งนางสาวอัมพรเป็นทนายความในคดีดังกล่าว และยังให้นางสาวอัมพรแจ้งให้โจทก์จัดทำบัญชีและขอให้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น และที่ปรากฏชื่อนายปรารถนา ในบันทึกการประชุมผู้จัดการมรดก ระบุว่าเป็นตัวแทนของนางเบียวด้วย รวมทั้งที่นางเบียวรับทราบถึงการประชุมผู้จัดการมรดกวันที่ 14 กันยายน 2562 อย่างช้าวันที่ 19 กันยายน 2562 ที่นางเบียวเรียกร้องสิทธิให้โจทก์แบ่งทรัพย์มรดกตามที่ได้มีการประชุมผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 จึงฟังได้ว่า นางเบียวได้ตั้งให้นางสาวอัมพร และนายปรารถนา เป็นผู้มีอำนาจเข้าประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 แทนนางเบียว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1723 ดังนี้ เมื่อได้ความตามสำเนาการประชุมผู้จัดการมรดกว่า เป็นการประชุมเพื่อปรึกษาการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตาย กลุ่มที่ 3 ซึ่งอยู่ในชื่อตัวแทน 4 คน ที่ยังไม่สามารถเรียกคืนได้และอีกหนึ่งคนตกลงคืนแล้ว ที่ประชุมพิจารณาและมีมติให้ดำเนินการฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยฝ่ายทายาทไม่ประสงค์จะเข้าร่วม โดยท้ายรายงานการประชุมดังกล่าวได้แนบบัญชีทรัพย์สินในกลุ่มที่ 3 ระบุชื่อจำเลยจำนวน 5 รายการ คือ อันดับที่ 14 ถึงอันดับที่ 20 ซึ่งตรงกับรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 15 แผ่นที่ 5 อันดับ 11, 13, 14, 20 และ 26 ซึ่งแสดงว่านางเบียวรู้เห็นและยินยอมการที่โจทก์จะฟ้องจำเลยโดยไม่โต้แย้งคัดค้าน เยี่ยงนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่านางเบียวในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมรู้เห็นและยินยอมให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เพื่อรวบรวบทรัพย์สินของผู้ตายเข้าสู่กองมรดกนำไปแบ่งปันให้แก่ทายาทตามกฎหมาย อันเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมากตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 ข้างต้นแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกที่ดิน ห้องชุด และเงินพิพาทส่วนของผู้ตายคืนจากจำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อนึ่ง โจทก์ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวุฒิพล ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยรวมเป็นเงิน 13,732,838.02 บาท เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ 1 (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าสิบล้าน คิดอัตราร้อยละ 2 แต่ไม่เกินสองแสนบาท เมื่อโจทก์ชำระค่าขึ้นศาล 200,000 บาท แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มวันที่ 9 เมษายน 2564 จำนวน 74,656 บาท จึงเป็นการชำระค่าขึ้นศาลเกินมา 74,656 บาท ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินตามจำนวนหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดธนาคาร ก. ผู้ถือหน่วยลงทุนเลขที่ 888-478xxx-x เป็นเงิน 2,562,678.39 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 087-718xxx-x เป็นเงิน 4,902,448.20 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. บัญชีเลขที่ 206-247xxx-x เป็นเงิน 581,711.61 บาท รวมเป็นเงิน 8,046,838.02 บาท และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 1076/846 ชั้นที่ 29 ชื่ออาคารชุด อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 455 และที่ดินโฉนดเลขที่ 55474 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง และให้กองมรดกของนายวุฒิพล ผู้ตายกึ่งหนึ่ง หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นส่วนที่เสียเกินมา 74,656 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นทั้งสามชั้นศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
📌 คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องคำหลักกฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยในคดีนี้คือ 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5647/2553 • ประเด็น: ผู้จัดการมรดกมีสิทธิฟ้องคดีในนามกองมรดก • เนื้อหา: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้จัดการมรดกมีอำนาจฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนทรัพย์สินที่เป็นของกองมรดกได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับมอบหมายจากทายาทแต่ละคน เพราะอำนาจดังกล่าวเป็นหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 1736 ป.พ.พ. • อ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5647/2553 (ประชุมใหญ่) 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2711/2549 • ประเด็น: การฟ้องร้องของผู้จัดการมรดกเป็นการจัดการเพื่อกองมรดก • เนื้อหา: ศาลฎีกาตีความว่า เมื่อศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้จัดการมรดกย่อมมีสิทธิใช้สิทธิตามกฎหมายในการฟ้องร้องบุคคลภายนอกเพื่อให้ทรัพย์สินกลับคืนสู่กองมรดก โดยไม่ต้องรอให้ทายาททั้งหมดมีมติร่วมกัน • อ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2711/2549
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4968/2551 • ประเด็น: ผู้จัดการมรดกหลายคนและการจัดการตามเสียงข้างมาก • เนื้อหา: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในกรณีที่มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกหลายคน หากผู้จัดการบางคนไม่เข้าร่วม แต่การจัดการได้ทำโดยเสียงข้างมาก ก็ถือว่ามีผลผูกพันกองมรดกทั้งหมดตามมาตรา 1726 ป.พ.พ. • อ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4968/2551 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2548 • ประเด็น: ขอบเขตอำนาจผู้จัดการมรดก • เนื้อหา: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อำนาจของผู้จัดการมรดกครอบคลุมถึงการรวบรวมทรัพย์ การชำระหนี้ และการดำเนินการฟ้องร้องเพื่อปกป้องสิทธิของกองมรดก โดยไม่ต้องให้ทายาทยื่นคำร้องแทน • อ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2548
5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1891/2533 • ประเด็น: การจัดการทรัพย์มรดกต้องทำเพื่อประโยชน์ของกองมรดก • เนื้อหา: ศาลฎีกาอธิบายว่า ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ต้องดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเรียกเก็บหนี้และรักษาทรัพย์สินของกองมรดก การไม่ดำเนินการถือเป็นการบกพร่องในหน้าที่ • อ้างอิง: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1891/2533 ✅ สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการตีความ มาตรา 1726 และมาตรา 1736 ป.พ.พ. อย่างต่อเนื่องว่า ผู้จัดการมรดกมี อำนาจตามกฎหมายในการฟ้องคดีและจัดการทรัพย์มรดก โดยอาศัยหลักเสียงข้างมาก ไม่จำเป็นต้องมีความเห็นเป็นเอกฉันท์จากผู้จัดการมรดกทุกคน ภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมาย 1. co-executors • เป็นคำกลาง ๆ หมายถึง ผู้จัดการมรดกร่วม หรือ ผู้ทำหน้าที่ executor มากกว่าหนึ่งคน โดยทั่วไปแล้ว executor คือผู้ที่ศาลแต่งตั้งตามพินัยกรรมให้ทำหน้าที่จัดการทรัพย์สินของผู้ตาย (ในกฎหมายไทยจะใช้คำว่า "ผู้จัดการมรดก") • เมื่อเติม “co-” เข้าไป หมายความว่า มีผู้จัดการมรดกมากกว่าหนึ่งคนทำหน้าที่ร่วมกัน แปลไทย: ผู้จัดการมรดกร่วม 2. co-executors of an estate • เป็นการขยายความให้เจาะจงว่า ผู้จัดการมรดกร่วม ของกองมรดกนั้น โดยตรง • “of an estate” ชี้ชัดถึงบริบทว่าหน้าที่ผู้จัดการนั้นเกี่ยวกับ กองมรดกของผู้ตาย โดยไม่ใช่ผู้จัดการเรื่องอื่น แปลไทย: ผู้จัดการมรดกร่วมแห่งกองมรดก สรุปความแตกต่าง • co-executors → เน้นไปที่จำนวนคน (ผู้จัดการมากกว่าหนึ่งคนที่ทำงานร่วมกัน) • co-executors of an estate → เน้นทั้งจำนวนและบริบท (เป็นผู้จัดการมรดกร่วมที่ทำหน้าที่จัดการ “กองมรดก”)
📌 ในเชิงกฎหมาย ทั้งสองคำมีความหมายเดียวกันในทางปฏิบัติ แต่เวลาเขียนทางการหรือในคำพิพากษา มักใช้ “co-executors of an estate” เพื่อให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของ “การจัดการมรดก” ไม่ใช่การเป็น executor ในความหมายอื่น |




