ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สรุปคดีมรดก & เพิกถอนโอนที่ดิน,เพิกถอนนิติกรรม,(ฎีกา 1028/2564)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1028/2564, สิทธิทายาทตามธรรมในมรดก, อายุความ 5 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733, การเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในมรดก, มรดกสินสมรสระหว่างสามีภริยา, มาตรา 1533 เรื่องการแบ่งทรัพย์สินเมื่อการสมรสสิ้นสุด, มาตรา 1625 เรื่องการแบ่งทรัพย์สินสามีภริยา, มาตรา 1639 เรื่องสิทธิผู้สืบสันดานรับมรดกแทน, มาตรา 1612 เรื่องการสละมรดก, มาตรา 1300 เรื่องเพิกถอนนิติกรรม, วิเคราะห์แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับมรดกและโอนที่ดิน

ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเก้าแปลง ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนาย จวง ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้โอนให้แก่จำเลยที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ถึงที่ 11 โดยโจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนาย ซิ้มเหงียน (บิดาของนาย จวง) ได้ยื่นฟ้องภายในอายุความห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1733 วรรคสอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าอายุความยังไม่ขาด ส่วนศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยผิดโดยอ้างอายุความตามมาตรา 1754 วรรคสี่ ซึ่งเป็นประเด็นนอกอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงยกคำอุทธรณ์ในประเด็นนั้น และต่อมาวินิจฉัยถึงสิทธิทายาทและอำนาจฟ้องของโจทก์ รวมถึงเพิกถอนนิติกรรมในส่วนที่เหมาะสมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ส่งผลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องจดทะเบียนโอนชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ซิ้มเหงียน ในส่วนที่เป็น 1 ใน 24 ส่วนของที่ดินพิพาท

ข้อเท็จจริง

1. คู่สมรส ซ. กับ ฟ. อยู่กินฉันสามีภริยาตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งกฎหมายลักษณะผัวเมียมิได้จำกัดเฉพาะบุคคลผู้มีสัญชาติไทย และตาม พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ. พ.ศ. 2477 มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งบรรพนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการสมรสซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมาย…” ซึ่งหมายความว่า การสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมียยังคงชอบด้วยกฎหมาย.

2. ซ. เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของ จ. เมื่อ จ. ถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกของ จ. ส่วนหนึ่งตกแก่ ซ. ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม แม้ ซ. ไม่ได้เรียกร้องแบ่งปันมรดกของตน และไม่ได้สละมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612.

3. เมื่อ จ. ถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่าง จ. กับ ค. สิ้นสุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1501 การคิดส่วนแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยามีผลตั้งแต่การสิ้นสุดการสมรส ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1625. ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงจึงถูกแบ่งเป็นสินสมรสและส่วนมรดก โดยแบ่งให้ ค. คู่สมรสคนละครึ่งตามมาตรา 1533. ส่วนที่เป็นมรดกของ จ. (อีกครึ่งหนึ่ง) ตกแก่ผู้สืบสันดานของ จ. (จำเลยที่ 1, 2, 4-11) ทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1 และ ซ. ทายาทโดยธรรมลำดับที่ 2 มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนทายาทชั้นบุตร ตามมาตรา 1599 วรรคหนึ่ง, 1629 (1)(2), 1630 วรรคสอง, 1635 (1)

4. ต่อมา ซ. ถึงแก่ความตายก่อนการจัดการทรัพย์มรดกของ จ. มรดกในส่วนของ ซ. ตกได้แก่ผู้สืบสันดานทั้งเก้าคน ได้แก่ โจทก์ในฐานะหนึ่งในผู้สืบสันดาน.

5. โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งเก้าแปลงที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 (ผู้จัดการมรดกของ จ.) โอนให้แก่จำเลยที่ 1, 3, 4-11 ขอให้ถอนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และตั้งโจทก์แทน. จำเลยทั้งหมดยื่นขอให้ยกฟ้อง.

6. ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยกำหนดค่าทนายความให้กับจำเลย 10,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ตกเป็นพับ. โจทก์ฎีกาได้รับอนุญาต.

7. ศาลฎีกาได้พิจารณาเบื้องต้นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยได้ว่า “คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มีอายุความห้าปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุด” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง และจำเลยไม่อุทธรณ์ว่าโจทก์ขาดอายุความ ประเด็นอายุความจึงหมดไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น. การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าขาดอายุความตาม มาตรา 1754 วรรคสี่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และการที่โจทก์และจำเลยต่างฎีกาเรื่องอายุความก็เป็นฎีกาที่ห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252. 

8. ต่อมา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีฐานะเป็นทายาทของ ซ. ซึ่งเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของ จ. เนื่องจาก ซ. กับ ฟ. อยู่กินฉันสามีภริยาก่อนใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 พ.ศ. 2477 และมีบุตรร่วม 9 คน จึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย และ พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติฯ มาตรา 4 (1) รับรองว่าการสมรสดังกล่าวยังชอบด้วยกฎหมาย

9. กรณีโอนที่ดินเก้าแปลง: ผู้จัดการมรดกของ จ. (จำเลยที่ 1 & 2) ได้จดทะเบียนโอนหลายโฉนดให้แก่จำเลยต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ได้รับโอนที่ดินสี่แปลง ผู้รับโอนจ่ายค่าตอบแทนสูง (ประมาณ 545 ล้านบาท) และจดทะเบียนเรียบร้อย ผู้รับโอนจึงถือว่า “ผู้รับโอนโดยสุจริต” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 และตามมาตรา 1300 ที่ห้ามเพิกถอนนิติกรรมในกรณีผู้รับโอนโดยสุจริต. โจทก์จึงฟ้องเพิกถอนนิติกรรมต่อจำเลยที่ 3 ไม่ได้

10. ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทบางโฉนด (โฉนดเลขที่ 41677, 42978, 42977, 42979, 42980) จำนวน 1 ใน 24 ส่วนของที่ดินพิพาท ให้จำเลยที่ 1 & 2 จดทะเบียนโอนชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ซ. สำหรับส่วนนั้น หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยที่ 1, 2 & 4-11 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท. 

วินิจฉัยประเด็นทางกฎหมาย

ประเด็นเรื่องอายุความ

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกมีอายุความห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง.

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยได้ถูกต้องว่าโจทก์ฟ้องภายในอายุความ และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ประเด็นอายุความ จึงยุติประเด็นนี้.

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยใช้ มาตรา 1754 วรรคสี่ (ซึ่งเกี่ยวข้องกับอายุความของคดีเพิกถอนนิติกรรมทั่วไป) ชี้ว่าไม่อยู่ในประเด็นอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง.

การที่จำเลยและโจทก์ฎีกาเรื่องอายุความเป็นฎีกาที่ห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252.

→ สรุปได้ว่า “ไม่ขาดอายุความ” และประเด็นอายุความไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาของศาลฎีกา

ประเด็นเรื่องสิทธิทายาทและฐานะผู้จัดการมรดก

ซ. กับ ฟ. อยู่กินฉันสามีภริยาก่อนใช้บังคับป.พ.พ. บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ดังนั้นการสมรสดังกล่าวจัดว่าเป็นการอยู่กินตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งมิได้จำกัดเฉพาะผู้มีสัญชาติไทย.

พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติฯ มาตรา 4 (1) รับรองว่า การสมรสที่มีอยู่ก่อนใช้บังคับป.พ.พ. บรรพ 5 ยังคงชอบด้วยกฎหมาย.

ซ. จึงถือเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของ จ. และเมื่อ จ. ถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกส่วนหนึ่งตกแก่ ซ. ในฐานะทายาทโดยธรรม แม้ซ. ไม่ได้เรียกร้องแบ่งหรือสละมรดกตามมาตรา 1612.

เมื่อซ. ถึงแก่ความตายก่อนการจัดการมรดกของ จ. ทรัพย์มรดกส่วนของซ. จึงตกแก่ผู้สืบสันดานของซ. ตามมาตรา 1639. โจทก์ในฐานะผู้สืบสันดานจึงมีสิทธิฟ้อง.

ประเด็นเรื่องเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน

ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงเป็นสินสมรสระหว่าง จ. กับ ค. ตามมาตรา 1625 และแบ่งให้ค. ครึ่ง และตกเป็นมรดกอีกครึ่งตามมาตรา 1533.

โจทก์ฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินจากผู้จัดการมรดกของ จ.แก่จำเลยต่าง ๆ.

สำหรับผู้รับโอน (เช่น จำเลยที่ 3) ที่ซื้อโดยสุจริตและจ่ายค่าตอบแทน ศาลชี้ว่าได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1300 และมาตรา 6 (ป.พ.พ.) ไม่สามารถเพิกถอนได้.

สำหรับส่วนของโจทก์และผู้สืบสันดานของซ. (1 ใน 24 ส่วน) ที่ผู้จัดการมรดกโอนไปโดยไม่ชอบ ศาลเห็นสมควรให้เพิกถอนและให้จดทะเบียนโอนชื่อโจทก์แทนในฐานะผู้จัดการมรดกของซ.

วิเคราะห์กฎหมาย

กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการผสมผสานระหว่างกฎหมายมรดก (ทายาทโดยธรรม, ผู้จัดการมรดก) กับกฎหมายสินสมรสและการแบ่งทรัพย์สินสามีภริยา (มาตรา 1625, 1533) รวมถึงกฎหมายเพิกถอนนิติกรรม (มาตรา 1300).

ศาลวางหลักว่า หากมีการโอนทรัพย์มรดกโดยผู้จัดการมรดกโดยมิชอบแก่ผู้มีสิทธิแล้ว ผู้ได้รับโอนโดยสุจริตอาจได้รับความคุ้มครอง แต่สิทธิของทายาทที่ถูกละเมิดโดยผู้จัดการมรดกยังคงถูกคุ้มครองภายใต้กฎหมายเพิกถอนนิติกรรม.

อีกประเด็นที่น่าสังเกตคือ การอ้างอายุความของคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก (มาตรา 1733) แตกต่างจากอายุความเพิกถอนนิติกรรมทั่วไป (มาตรา 1754) ซึ่งศาลได้ชี้ให้เห็นข้อจำกัดในการใช้ประเด็นนี้.

นอกจากนี้ กรณีของทายาทผู้สืบสันดาน (มาตรา 1639) และผู้จัดการมรดกที่ถึงแก่ความตายก่อนการจัดการมรดก เป็นประเด็นที่ศาลตัดสินอย่างรัดกุม – ผู้สืบสันดานของผู้ถึงแก่ความตายมีสิทธิรับมรดกแทน.

สำหรับผู้จัดการมรดก การโอนที่ดินโดยไม่ชอบให้แก่จำเลยที่ 1 และ 2 ถือเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้จัดการมรดกของซ. (โจทก์) มีอำนาจฟ้องเพิกถอนเฉพาะส่วนนั้นและนำไปแบ่งปันตามกฎหมาย.

ข้อคิดทางกฎหมาย

การจัดการมรดกเป็นเรื่องที่ผู้จัดการมรดกและทายาทต้องให้ความระมัดระวังโดยเฉพาะหากมีสินสมรสและทรัพย์มรดกผสมกัน.

อายุความในคดีมรดกและการเพิกถอนนิติกรรมมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ผู้ใช้สิทธิควรทราบมาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง (มาตรา 1733 vs มาตรา 1754).

ความสัมพันธ์ของครอบครัว เช่น การอยู่กินฉันสามีภริยาก่อนใช้บังคับกฎหมาย บรรพ 5 พ.ศ. 2477 อาจส่งผลสำคัญถึงสิทธิทายาทโดยธรรม.

ผู้รับโอนโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1300 ทำให้การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมมีข้อจำกัด.

ผู้จัดการมรดกที่โอนทรัพย์โดยไม่ชอบ อาจถูกผู้มีสิทธิโดยชอบฟ้องเพิกถอนเฉพาะส่วนของตนตามกฎหมาย.

คู่สมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย และสินสมรส vs มรดก เป็นประเด็นที่ศาลใช้บ่อย จึงควรเข้าใจบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง.

การจัดการมรดกและผู้จัดการมรดก, สินสมรสและสินส่วนตัวในคดีมรดก, อายุความคดีมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733

ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียมิได้บัญญัติให้ใช้บังคับเฉพาะแก่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย

ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนมรดกที่ดิน 9 แปลง

การฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดิน 9 แปลง ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายจวงที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนให้แก่จำเลยหลายรายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาทที่มีสิทธิ นายซิ้มเหงียนบิดาของนายจวงซึ่งเป็นคนต่างด้าวแต่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมียก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ย่อมมีสิทธิในมรดกของนายจวง และเมื่อถึงแก่ความตาย มรดกส่วนนั้นตกแก่ทายาทรวมถึงโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียนมีอำนาจฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดินในส่วน 1 ใน 24 ส่วน และให้โอนที่ดินดังกล่าวกลับเป็นชื่อโจทก์เพื่อแบ่งปันมรดกต่อไป โดยยกฟ้องในส่วนที่ดินที่มีการขายโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนให้แก่จำเลยที่ 3

ประเด็นทางกฎหมายในคดีนี้

1. เรื่องอายุความของคดีที่เกี่ยวกับการจัดการมรดก

•ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก ซึ่งมีอายุความ 5 ปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง

•จำเลยที่ 1, 2 และที่ 4 ถึง 11 ไม่ได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ประเด็นเรื่องอายุความ จึงทำให้ ประเด็นนี้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 •ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความตาม มาตรา 1754 วรรคสี่ ซึ่งเป็น การวินิจฉัยนอกประเด็นในอุทธรณ์ ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง

•การที่คู่ความนำฎีกาและคำแก้ฎีกามาอ้างเรื่องอายุความ ไม่อาจยกขึ้นว่ากันได้ เนื่องจากเป็น ฎีกาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252

2. สถานะความเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของนายซิ้มเหงียนต่อนายจวง

•ข้อโต้แย้งของจำเลยที่ 1, 2 และที่ 4–11 คือ นายซิ้มเหงียนเป็นคนต่างด้าว จึงไม่อาจมีสถานะเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายกับนางฟ้าตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย

•ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กฎหมายลักษณะผัวเมียใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป ไม่จำกัดสัญชาติ และการสมรสที่เกิดก่อน การใช้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ยังคงมีผลสมบูรณ์ตาม มาตรา 4 (1) พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ. พ.ศ. 2477

•เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ามีการอยู่กินฉันสามีภริยาและมีบุตรร่วมกันถึง 9 คน ก่อนประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว จึงฟังได้ว่า นายซิ้มเหงียนเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของนายจวง

3. สิทธิในมรดกของนายซิ้มเหงียนและการตกทอดแก่โจทก์

•ตาม มาตรา 1599, 1629, 1630 และ 1635 นายซิ้มเหงียนซึ่งเป็นบิดาของนายจวงมีฐานะเป็น ทายาทโดยธรรมลำดับที่ 2 และมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกเทียบเท่าทายาทชั้นบุตร

•แม้นายซิ้มเหงียนไม่ได้ยื่นคำขอแบ่งมรดก แต่เพราะ ไม่มีการแสดงเจตนาสละมรดก ตาม มาตรา 1612 สิทธิมรดกของนายซิ้มเหงียนจึงไม่สิ้นไป

•เมื่อนายซิ้มเหงียนถึงแก่ความตายก่อนการจัดการมรดกเสร็จสิ้น มรดกส่วนนี้จึง ตกทอดไปยังทายาทของนายซิ้มเหงียนทั้งเก้าคน รวมถึงโจทก์

4. สิทธิฟ้องของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียน

•ที่ดินทั้งเก้าแปลงเป็น สินสมรส ของนายจวงและนางคำตาม มาตรา 1533 ซึ่งต้องแบ่งกันคนละครึ่งเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยเหตุการตาย (มาตรา 1501 และ 1625)

•ส่วนที่เป็นมรดกของนายจวงต้องแบ่งตามสิทธิของทายาทลำดับที่ 1, ลำดับที่ 2 และคู่สมรส

•โจทก์ในฐานะ ทายาทและผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียน มีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนที่เป็นสิทธิของนายซิ้มเหงียนตาม มาตรา 1300

•การเพิกถอนต้องกระทำ ทั้งส่วน (1 ใน 24 ส่วน) เพื่อให้โจทก์นำไปจัดการแบ่งปันตามกฎหมายต่อไป

5. สิทธิของผู้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน

•สำหรับที่ดิน 4 แปลงที่โอนให้นางคำแล้วขายต่อให้จำเลยที่ 3 ซึ่งซื้อ โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนสูงถึง 545 ล้านบาท

•ตาม มาตรา 1300 และมาตรา 6 ป.พ.พ. ผู้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนได้รับความคุ้มครอง ไม่สามารถเพิกถอนการโอนดังกล่าวได้

•โจทก์จึงฟ้องเพิกถอนไม่ได้ ในส่วนนี้

6. หลักการสำคัญที่ศาลฎีกาเน้น

•การวินิจฉัยของศาลต้องอยู่ภายในขอบเขตประเด็นที่คู่ความยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบ หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็น ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

•สิทธิของทายาทไม่สิ้นสุดลงโดยปริยาย เว้นแต่มีการสละมรดกตามแบบที่กฎหมายกำหนด

•ผู้รับโอนที่ดินโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนจะได้รับความคุ้มครองเต็มที่ แม้จะเกิดความเสียเปรียบแก่ทายาทที่มีสิทธิในมรดก

คดีนี้ศาลฎีกาตัดสินว่า การเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินโดยโจทก์ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายไม่ขาดอายุความ เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก โดยทรัพย์สินส่วนหนึ่งถูกแบ่งเป็นมรดกตกทอดให้แก่ทายาทและผู้สืบสันดานตามกฎหมาย ทั้งนี้ศาลพิจารณาว่าการโอนที่ดินบางส่วนโดยไม่ได้รับความยินยอมของทายาทถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำถามที่ 1

คำถาม: การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในกรณีนี้มีอายุความเท่าใด และศาลชั้นต้นมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นนี้?

คำตอบ: การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในกรณีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก ซึ่งมีอายุความ 5 ปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ และประเด็นนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำถามที่ 2

คำถาม: ศาลฎีกามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการสมรสระหว่างนายซิ้มเหงียนกับนางฟ้า และผลต่อการแบ่งมรดก?

คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการสมรสระหว่างนายซิ้มเหงียนกับนางฟ้าเป็นการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย แม้ทั้งคู่จะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ถือว่ามีผลผูกพันตามกฎหมาย ทรัพย์มรดกของนายจวงซึ่งเป็นบุตรของทั้งคู่จึงตกแก่ทายาทโดยธรรม รวมถึงนายซิ้มเหงียน และเมื่อนายซิ้มเหงียนถึงแก่ความตาย มรดกส่วนของเขาก็ตกแก่ผู้สืบสันดานต่อไปตามกฎหมาย

โจทก์(เป็นบุตร)เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนายซิ้ม(บิดาของโจทก์และบิดาของนายจวง) ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 (เป็นบุตรของนายจวง) ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายจวง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของนายจวง(อ้างว่าเป็นสินสมรสของนายซิ้ม) อันเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มีอายุความห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ซึ่งคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามที่ต่อสู้ในคำให้การ ประเด็นที่ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ฎีกาเรื่องอายุความ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 แก้ฎีกาเรื่องอายุความเช่นกัน จึงเป็นฎีกาและคำแก้ฎีกาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2564

คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ ซ. ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งเก้าแปลงที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ถึงที่ 11 เป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มีอายุความห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามที่ต่อสู้ในคำให้การ ประเด็นที่ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสี่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฎีกาเรื่องอายุความ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 แก้ฎีกาเรื่องอายุความเช่นกัน จึงเป็นฎีกาและคำแก้ฎีกาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252

ซ. กับ ฟ. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งมิได้บัญญัติให้ใช้บังคับเฉพาะแก่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย กฎหมายลักษณะผัวเมียมีผลใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดสัญชาติ และตาม พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งบรรพนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการสมรสซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้ และทั้งสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแต่การสมรสนั้น ๆ” ซึ่งมีความหมายว่าการสมรสที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมียอยู่อย่างไร ก็ยังคงสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายอยู่อย่างนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 พุทธศักราช 2479 ไม่กระทบกระเทือนถึงการสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งคู่สมรสไม่จำต้องจดทะเบียนสมรส

ซ. เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของ จ. เมื่อ จ. ถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกของ จ. ส่วนหนึ่งย่อมตกได้แก่ ซ. ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม แม้ ซ. ไม่ได้เรียกร้องก็ไม่มีผลทำให้เสียสิทธิในมรดกส่วนของตนแต่อย่างใด เพราะไม่ปรากฏว่า ซ. แสดงเจตนาสละมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612 แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังมิได้จัดการทรัพย์มรดกของ จ. ซ. ถึงแก่ความตายเสียก่อน โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่งของ ซ. ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของ จ. ที่ตกได้แก่ ซ. ส่วนหนึ่ง

เมื่อ จ. ถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่าง จ. กับ ค. ย่อมสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1501 การคิดส่วนแบ่งทรัพย์สินระหว่าง จ. กับ. ค. มีผลตั้งแต่การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตาย และการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาให้อยู่ในบังคับของบทบัญญัติว่าด้วยการหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1625 ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงจึงต้องแบ่งเป็นมรดกของ จ. และแบ่งให้ ค. คนละส่วนเท่ากันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1533 ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงกึ่งหนึ่งส่วนที่เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ผู้สืบสันดานของ จ. ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1 ซ. บิดาของ จ. ทายาทโดยธรรมลำดับที่ 2 มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร และ ค. คู่สมรสซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง, 1629 (1) (2), 1630 วรรคสอง และ 1635 (1) แต่ ซ. ถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีการจัดการมรดกของ จ. มรดกในส่วนของ ซ. จึงตกได้แก่ผู้สืบสันดานของ ซ. ทั้งเก้าคน เมื่อ จ. ถึงแก่ความตายไปก่อน ผู้สืบสันดานของ จ. คือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 มีสิทธิรับมรดกแทนที่ จ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1639 ส่วน ย. ผู้สืบสันดานคนหนึ่งของ ซ. ที่ถึงแก่ความตายไปแล้วนั้นแม้ไม่ปรากฏว่า ย. ถึงแก่ความตายก่อนหรือหลัง ซ. ผู้สืบสันดานของ ย. ทั้งหกคนย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่หรือสืบมรดกของ ย. แล้วแต่กรณี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2564,การเพิกถอนนิติกรรมโอนมรดก,ข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินมรดก,สิทธิของทายาทโดยธรรม,อายุความคดีมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733,การจัดการมรดกและผู้จัดการมรดก,กฎหมายลักษณะผัวเมียและการสมรสก่อนปี 2477,การฟ้องขอแบ่งมรดกตามกฎหมาย,สินสมรสและสินส่วนตัวในคดีมรดก,บทบัญญัติว่าด้วยการสมรสและสิทธิในมรดก,

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยทั้งสิบเอ็ดให้กลับเป็นของนายจวง หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้ถอนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายจวง และตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายจวงแทน

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ให้การขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์และนายจวงเป็นบุตรของนายซิ้มเหงียนหรือกักหมา กับนางฟ้า มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 9 คน จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 เป็นบุตรของนายจวงกับนางคำ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 นายจวงถึงแก่ความตาย มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน 9 แปลง คือ โฉนดที่ดินเลขที่ 1307 กรุงเทพมหานคร โฉนดที่ดินเลขที่ 6487 และ 6488 กรุงเทพมหานคร โฉนดที่ดินเลขที่ 26961 กรุงเทพมหานคร (โฉนดที่ดินเลขที่ 41676 กรุงเทพมหานคร) โฉนดที่ดินเลขที่ 41677, 42977, 42978, 42979 และ 42980 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายจวง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 8083/2541 ของศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 13 เมษายน 2545 นายซิ้มเหงียนถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายจวง วันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1307, 6487, 6488 และ 26961 (41676) ให้แก่นางคำ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ในวันเดียวกันบุคคลดังกล่าวจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสี่แปลงแก่จำเลยที่ 3 และในวันดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 41677 ให้แก่จำเลยที่ 1 วันที่ 22 มิถุนายน 2558 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42977 ให้แก่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42978 ให้แก่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42979 ให้แก่จำเลยที่ 10 และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42980 ให้แก่จำเลยที่ 11 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้แบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาท แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกเฉย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ศาลจังหวัดพระโขนงมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียนตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1124/2559 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ถอนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายจวง โจทก์ไม่อุทธรณ์ ปัญหานี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ข้อแรกมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียนฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายจวง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งเก้าแปลงที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ถึงที่ 11 เป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มีอายุความห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามที่ต่อสู้ในคำให้การ ประเด็นที่ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสี่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฎีกาเรื่องอายุความ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 แก้ฎีกาเรื่องอายุความเช่นกัน จึงเป็นฎีกาและคำแก้ฎีกาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ข้อต่อไปมีว่า นายซิ้มเหงียนเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของนายจวงหรือไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 แก้ฎีกาว่า นายซิ้มเหงียนเป็นคนต่างด้าว ไม่มีสัญชาติไทย อยู่กินฉันสามีภริยากับนางฟ้าก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พุทธศักราช 2477 ไม่อาจนำกฎหมายลักษณะผัวเมียมาใช้บังคับกับความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยการสมรสได้ นายซิ้มเหงียนจึงไม่ใช่บิดาชอบด้วยกฎหมายไม่มีสิทธิได้รับมรดกของนายจวง โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของนายซิ้มเหงียนจึงไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายจวงในส่วนที่ตกได้แก่นายซิ้มเหงียน เห็นว่า โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายซิ้มเหงียน และได้ความจากจำเลยที่ 6 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่านายซิ้มเหงียนเข้ามามีถิ่นที่อยู่ตามทะเบียนคนต่างด้าวตั้งแต่ปี 2465 โดยอยู่กินกับนางฟ้ามีบุตรคือนายจวงเกิดปี 2476 ทั้งในคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ยอมรับว่านายซิ้มเหงียนกับนางฟ้าอยู่กินกันก่อนมีการประกาศใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 โดยมีบุตรด้วยกันถึง 9 คน แสดงว่านายซิ้มเหงียนกับนางฟ้ามีเจตนาอยู่กินกันฉันสามีภริยา นายซิ้มเหงียนกับนางฟ้าจึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งมิได้บัญญัติให้ใช้บังคับเฉพาะแก่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ฎีกา กฎหมายลักษณะผัวเมียมีผลใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดสัญชาติ และตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งบรรพนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการสมรสซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้ และทั้งสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแต่การสมรสนั้น ๆ” ซึ่งมีความหมายว่าการสมรสที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมียอยู่อย่างไร ก็ยังคงสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายอยู่อย่างนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พุทธศักราช 2477 ไม่กระทบกระเทือนถึงการสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งคู่สมรสไม่จำต้องจดทะเบียนสมรส ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่านายซิ้มเหงียนเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของนายจวง เมื่อนายจวงถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกของนายจวงส่วนหนึ่งย่อมตกได้แก่นายซิ้มเหงียนซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม แม้นายซิ้มเหงียนไม่ได้เรียกร้องขอแบ่งปันมรดกส่วนของตนจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ไม่มีผลทำให้นายซิ้มเหงียนเสียสิทธิในมรดกส่วนของตนแต่อย่างใด เพราะไม่ปรากฏว่านายซิ้มเหงียนแสดงเจตนาสละมรดกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612 แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังมิได้จัดการทรัพย์มรดกของนายจวง นายซิ้มเหงียนถึงแก่ความตายเสียก่อน โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่งของนายซิ้มเหงียนย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของนายจวงที่ตกได้แก่นายซิ้มเหงียนส่วนหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่านายซิ้มเหงียนเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของนายจวง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย คำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงตามฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว เพื่อให้คดีเสร็จไปโดยเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน เห็นว่า ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงตามฟ้องเป็นทรัพย์สินที่นายจวงได้มาระหว่างสมรสกับนางคำ และตามบัญชีเครือญาติที่โจทก์อ้างต่อศาลระบุว่านายจวงจดทะเบียนสมรสกับนางคำ ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงจึงเป็นสินสมรสระหว่างนายจวงกับนางคำ เมื่อนายจวงถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่างนายจวงกับนางคำย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 การคิดส่วนแบ่งทรัพย์สินระหว่างนายจวงกับนางคำมีผลตั้งแต่การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายนั้น และการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาให้อยู่ในบังคับของบทบัญญัติว่าด้วยการหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 (1) ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงจึงต้องแบ่งเป็นมรดกของนายจวงและแบ่งให้นางคำคนละส่วนเท่ากัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 ที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงกึ่งหนึ่งส่วนที่เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ผู้สืบสันดานของนายจวงซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1 นายซิ้มเหงียนบิดาของนายจวงทายาทโดยธรรมลำดับที่ 2 มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร และนางคำคู่สมรสซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง, 1629 วรรคหนึ่ง (1) (2) วรรคสอง, 1630 วรรคสอง และ 1635 (1) แต่นายซิ้มเหงียนถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีการจัดการมรดกของนายจวง มรดกในส่วนของนายซิ้มเหงียนจึงตกได้แก่ผู้สืบสันดานของนายซิ้มเหงียนทั้งเก้าคน คือ นายจวง นางยิ้น นางพรทิพย์ นางฟอง นายอำนวย นายวัชระ นางศรีประภา นางพรทิศ และโจทก์ เมื่อนายจวงถึงแก่ความตายไปก่อน ผู้สืบสันดานของนายจวงคือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายจวงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1639 ส่วนนางยิ้นที่ถึงแก่ความตายไปแล้วนั้น แม้ไม่ปรากฏว่านางยิ้นถึงแก่ความตายก่อนหรือหลังนายซิ้มเหงียน ผู้สืบสันดานของนางยิ้นทั้งหกคน คือ นายสุพร นางทัศณีย์ นางสุภาณี นางสุทธา นายวิษณุ และนางณัชชาตามบัญชีเครือญาติดังกล่าวย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่หรือสืบมรดกของนางยิ้นแล้วแต่กรณี สรุปแล้วนางคำมีสิทธิในที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลง 13 ใน 24 ส่วน จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 และนายซิ้มเหงียนมีสิทธิในที่ดินพิพาททั้งเก้าแปลงคนละ 1 ใน 24 ส่วน ส่วนของนายซิ้มเหงียนต้องแบ่งเป็น 9 ส่วน แก่โจทก์และทายาทดังที่วินิจฉัยข้างต้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 41677 และ 42978 ให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 42977 ให้แก่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ที่ดินโฉนดเลขที่ 42979 ให้แก่จำเลยที่ 10 และที่ดินโฉนดเลขที่ 42980 ให้แก่จำเลยที่ 11 ซึ่งรวมส่วนของโจทก์และทายาทของนายซิ้มเหงียนโดยไม่ได้รับความยินยอมและไม่มีค่าตอบแทนนั้น เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียนมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนและทายาทของนายซิ้มเหงียนจำนวน 1 ใน 24 ส่วน ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แม้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 มีสิทธิในที่ดินพิพาทส่วนของนายจวงส่วนที่จะเพิกถอนรวมอยู่ด้วย 1 ใน 9 ส่วน จากจำนวน 1 ใน 24 ส่วน แต่กรณีไม่อาจเพิกถอนเฉพาะส่วนของโจทก์และทายาทอื่นของนายซิ้มเหงียน 8 ใน 9 ส่วน จากจำนวน 1 ใน 24 ส่วนได้ ต้องเพิกถอนส่วนที่เป็นมรดกของนายซิ้มเหงียนทั้งหมด 1 ใน 24 ส่วน เพื่อให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกนำไปจัดการแบ่งปันให้แก่ทายาทของนายซิ้มเหงียนตามกฎหมายต่อไป และแม้โจทก์จะมีคำขอให้การเพิกถอนการจดทะเบียนกลับไปเป็นชื่อของนายจวงตามเดิมแต่ความประสงค์แท้จริงของโจทก์ต้องการนำทรัพย์มรดกส่วนนี้ไปแบ่งปันให้แก่ทายาทของนายซิ้มเหงียนและเพื่อมิให้มีปัญหาในชั้นบังคับคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรให้โอนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียน ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 1307, 6487, 6488 และ 26961 (41676) เห็นว่า ตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินระบุว่าเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1307, 6487, 6488 และ 26961 (41676) ให้แก่นางคำ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 และในวันเดียวกันบุคคลดังกล่าวจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสี่แปลงแก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มิได้รับโอนที่ดินทั้งสี่แปลงดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แม้การโอนดังกล่าวเป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน แต่การโอนอันมีค่าตอบแทนซึ่งผู้รับโอนกระทำโดยสุจริตนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 บัญญัติว่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้ ซึ่งตามคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินโดยไม่สุจริต จึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า จำเลยที่ 3 ผู้รับโอนกระทำโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 และทางพิจารณาโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 กระทำโดยไม่สุจริตอย่างไร ข้อเท็จจริงกลับได้ความจากพยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงดังกล่าวมาในราคาสูงถึง 545,000,000 บาท โดยจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ 3 ย่อมได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงไม่ได้ ชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ในส่วนของโจทก์และทายาทของนายซิ้มเหงียนจำนวน 1 ใน 24 ส่วน ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 41677 และ 42978 กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 และวันที่ 22 มิถุนายน 2558 ตามลำดับ โฉนดที่ดินเลขที่ 42977 กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558 โฉนดที่ดินเลขที่ 42979 กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงกับจำเลยที่ 10 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558 และโฉนดที่ดินเลขที่ 42980 กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงกับจำเลยที่ 11 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558 จำนวน 1 ใน 24 ส่วนของที่ดินพิพาท ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวงจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายซิ้มเหงียนตามส่วนดังกล่าว หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 11 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

IRAC 

Issue (ประเด็นปัญหา)

1. คดีนี้โจทก์ฟ้องภายในอายุความหรือไม่?

2. ซ. เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของ จ. หรือไม่ และโจทก์มีสิทธิทายาทหรือไม่?

3. โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทหรือไม่?

Rule (หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง: “คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกมีอายุความห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง”

ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสี่: กำหนดอายุความของการเพิกถอนนิติกรรมทั่วไป

ป.พ.พ. มาตรา 1612: สิทธิ์ในการสละมรดก

ป.พ.พ. มาตรา 1533: การแบ่งทรัพย์สินเมื่อการสมรสสิ้นสุดด้วยเหตุความตาย

ป.พ.พ. มาตรา 1625: การแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาโดยความยินยอม

ป.พ.พ. มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง, 1629, 1630, 1635: เรื่องทายาทโดยธรรม

ป.พ.พ. มาตรา 1639: ผู้สืบสันดานรับมรดกแทน

ป.พ.พ. มาตรา 1300: “ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้ในกรณีผู้รับโอนโดยสุจริต”

ป.พ.พ. มาตรา 6: ผู้รับโอนโดยสุจริต

พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติฯ มาตรา 4 (1): ยืนยันการสมรสก่อนบรรพ 5 ยังชอบด้วยกฎหมาย

Application (การใช้หลักกฎหมายกับข้อเท็จจริง)

ตามข้อเท็จจริง โจทก์ฟ้องภายในอายุความห้าปีตามมาตรา 1733 และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ประเด็นนี้ → อายุความยังไม่ขาด

การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใช้นิติกรรมตามมาตรา 1754 จึงไม่ชอบด้วยขั้นตอนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 และการฎีกาเรื่องอายุความเป็นฎีกาที่ห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225/252 → ประเด็นอายุความจึงถูกยุติ

ซ. กับ ฟ. อยู่กินฉันสามีภริยาก่อนใช้บังคับบรรพ 5 จึงถือว่าเป็นสามีภริยาตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซ. เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของ จ. → โจทก์ในฐานะผู้สืบสันดานของซ. มีสิทธิได้รับมรดกของ จ. และซ.

ที่ดินทั้งเก้าแปลงเป็นสินสมรส (แบ่งให้ค. ครึ่ง) และตกเป็นมรดกของ จ. ครึ่งหนึ่ง → ส่วนที่ตกแก่ซ./ผู้สืบสันดานซ. ได้แก่ 1 ใน 24 ส่วน

การโอนที่ดินโดยผู้จัดการมรดกของ จ. ให้แก่จำเลยต่าง ๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมของซ./ผู้สืบสันดาน – ถือเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สำหรับผู้รับโอนโดยสุจริต (จำเลยที่ 3) ศาลยกคำขอเพิกถอน เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้อง → คุ้มครองตามมาตรา 1300

สำหรับส่วนของโจทก์ (1 ใน 24 ส่วน) ศาลเห็นสมควรให้เพิกถอนและให้โอนชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของซ. → ศาลแก้คำพิพากษา

Conclusion (บทสรุป)

ศาลฎีกาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในบางส่วน และพิพากษาแก้ไขโดยให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินบางโฉนดในส่วนของผู้สืบสันดานซ. จำนวน 1 ใน 24 ส่วน และให้จำเลยที่ 1 & 2 จดทะเบียนโอนชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของซ. หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยมีการกำหนดค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษา




คดีมรดก ร้องศาลตั้งผู้จัดการมรดก

พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง & ความสามารถผู้ทำพินัยกรรม(ฎีกา 6522/2561)
ผู้จัดการมรดกยักยอกเงิน & จัดการที่ดินมรดก (ฎีกา 1543/2568)
สัญญาประนีประนอม & สิทธิผู้จัดการมรดกเสียงข้างมาก (ฎีกา 3001/2568)
วิเคราะห์ผู้จัดการมรดกจำนองที่ดิน ทุจริต,กองมรดก, ทายาท,(ฎีกา 5902/2567)
สิทธิทายาท & การแบ่งมรดกโดยจับฉลาก, ทายาทไม่เข้าร่วมประชุม (ฎีกา 2128/2567)
อำนาจผู้จัดการมรดกร่วม & ฟ้องเรียกทรัพย์, มาตรา 1726, (ฎีกา 2628/2567)
คดีมรดก อายุความมรดก 10 ปี, สิทธิทายาท, แบ่งมรดก, (ฎีกา 9992/2560)
บังคับแบ่งมรดก & เพิกถอนโอน,ผู้จัดการมรดก, (ฎีกา 3886/2566)
(ฎีกาที่ 2656/2567) ภาษีการรับมรดก & คำนวณมูลค่าทรัพย์สิน
(ฎีกาที่ 3681/2567) : อำนาจผู้จัดการมรดกร่วมในการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนสู่กองมรดก
(ฎีกาที่ 8200/2567) เพิกถอนโฉนดที่ดินและการจัดการมรดก: การบังคับคดีและผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2567 การตั้งผู้จัดการมรดกและการคัดค้านสิทธิของทายาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4044/2567: พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ความสมบูรณ์และผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5560/2567: มรดกไม่มีทายาทตกเป็นของแผ่นดิน และสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งเงินฝาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2567: การเพิกถอนพินัยกรรมและหลักเกณฑ์ความชอบด้วยกฎหมายของอุทธรณ์
พินัยกรรมผิดแบบเอกสารลับยังสมบูรณ์ได้ หากครบเงื่อนไขพินัยกรรมธรรมดา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว(ฎีกา 7272/2562)
ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดกและความรับผิดตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 416/2563)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563: การโอนมรดกและอำนาจผู้จัดการมรดก
สิทธิรับมรดก ทายาทโดยธรรม & สินสมรส(ฎีกา 755/2565)
การจัดการมรดกไม่ชอบไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว
ทายาทฟ้องทายาทให้แบ่งทรัพย์มรดก สิทธิฟ้องแบ่งมรดกเมื่อพ้นอายุความ
พินัยกรรมของผู้ตายที่ห้ามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นโมฆะ, ข้อห้ามในพินัยกรรมเป็นโมฆะ, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
ถอนผู้จัดการมรดก, การปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว, การจัดการศาลจ้าวไม่เป็นมรดก, ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วเป็นกุศลสถาน
ที่ดินของรัฐ มรดกของผู้ตาย, ที่ดินนิคมสหกรณ์, สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน, สิทธิเหนือพื้นดิน, การเพิกถอนโฉนดที่ดิน,
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในกองมรดก, การเพิกถอนนิติกรรมในทรัพย์มรดก, การขายทรัพย์มรดกเพื่อชำระหนี้, ผู้จัดการมรดกกับสิทธิและหน้าที่
มรดกตกทอด, การเพิกถอนการสละมรดก, อายุความในการฟ้องคดีมรดก, สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้
หนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ในเงินทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ไม่ถือเป็นพินัยกรรม, เงินสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์, สิทธิผู้รับโอนประโยชน์ในเงินสงเคราะห์
นิติกรรมซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นคนต่างด้าว, คดีมรดกที่ดินของคนต่างด้าว, อายุความคดีมรดก, การยักยอกทรัพย์มรดก
พินัยกรรมยกมรดกให้พี่น้องร่วมบิดามารดา, สิทธิของผู้สืบสันดานในการรับมรดกแทนที่, การฟ้องเรียกค่าเช่าจากทรัพย์สินมรดก
การกำจัดทายาทมิให้รับมรดก, สิทธิรับมรดกของผู้สืบสันดานเมื่อทายาทถูกกำจัด, การเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดก
เพิกถอนโอนมรดก & สิทธิทายาท (ฎีกา 1023/2566)
ผู้จัดการมรดกและการโอนทรัพย์มรดก, พินัยกรรมด้วยวาจา ป.พ.พ. มาตรา 1663, การครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท
สิทธิทายาทในมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, ทายาทตายก่อนแบ่งมรดก, รับมรดกแทนที่ มาตรา 1639,
สิทธิการฟ้องขอแบ่งมรดกของทายาท, การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดก, สินสมรสหลังคู่สมรสเสียชีวิต
สัญญาประกันชีวิต, สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, ผู้ทำประกันชีวิตและผู้รับผลประโยชน์ตายพร้อมกัน
การจัดการหนี้สินในกองมรดก, สิทธิของเจ้าหนี้กองมรดก, ที่ดินมรดกและการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก
ผู้จัดการมรดกปฏิบัติผิดหน้าที่-ทายาทผู้มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้
ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่เพียงทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป
การจัดการทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกตามหน้าที่ที่จำเป็น
คำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกปิดบังทรัพย์มรดกมีผลอย่างไร
ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปี
ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ผู้มีส่วนได้เสีย
สามีไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้จัดการมรดกได้
ทรัพย์มรดกยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาททุกคน-การจัดการทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้น
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มีผลอย่างไร?
ฟ้องผู้จัดการมรดกนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงเกินห้าปีขาดอายุความ
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลถูกเพิกถอนได้
อายุความคดีมรดก เจ้าหนี้ฟ้องคดีมรดกเกินหนึ่งปี
คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก
บุตรบุญธรรมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรนอกกฎหมายซึ่งผู้ตายรับรองแล้วเป็นผู้สืบสันดาน
มารดาขายที่ดินซึ่งผู้เยาว์มีส่วนแบ่งไม่ต้องขอศาล
นายอำเภอคือผู้มีอำนาจจัดทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ความรับผิดของผู้จัดการมดกภายหลังการเสียชีวิต
ผู้จัดการมรดกร่วมนำทรัพย์มรดกหาประโยชน์แก่ตน
ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?
คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ
อายุความคดีมรดก และอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก
(ฎีกา 2150/2561) – สิทธิร้องถอนผู้จัดการมรดกก่อนปันมรดก(ฎีกา 2150/2561)
การปันมรดกเสร็จสิ้นลงแล้วการถอนผู้จัดการมรดกย่อมพ้นกำหนดเวลา
สามีมิได้จดทะเบียนสมรสไม่ถือเป็นทายาทของภริยาผู้ตาย
อำนาจหน้าที่จัดการศพพระภิกษุผู้มรณภาพไม่มีทรัพย์สิน
สามีไม่จดทะเบียนสมรสขอถอนผู้จัดการมรดก มีกรรมสิทธิ์รวม
ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดก
อำนาจฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย
ทายาททุกคนมอบหมายให้ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วม
ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300
ทายาทโดยธรรมย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกตามส่วนที่จะพึงได้
สิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาห้ามยกเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนโดยสุจริต
ผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก
ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว
ผู้คัดค้านไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการขอจัดการมรดก
ทายาทมีส่วนเท่ากันออกค่าใช้จ่ายจัดการทำศพ
ความเหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น
สิทธิของบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายในการรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย
หนังสือสัญญาแบ่งมรดกตกเป็นโมฆะหรือไม่?
อำนาจและหน้าที่ในการจัดการทำศพและลำดับก่อนหลัง
พินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน
ผู้จัดการมรดกฟ้องแทนทายาทโดยธรรมอื่น
คู่สมรสที่จดทะเบียนหย่าแล้วเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่
การสละมรดกมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาเจ้ามรดกตายจึงขาดความเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
แม้กองมรดกมีผู้จัดการมรดกแล้วทายาทก็ยังมีสิทธิฟ้อง
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไม่ได้ทำต่อหน้าพยานตกเป็นโมฆะ
บุตรนอกสมรสและบิดานอกกฎหมายมีสิทธิรับมรดกต่อกันอย่างไร
ผู้จัดการมรดก | ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก
ผู้จัดการมรดกเรียกให้เจ้าของรวมส่งมอบโฉนดที่ดิน
การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงอายุความ 5 ปียังไม่เริ่มนับ
สิทธิรับมรดกก่อนหลัง
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
อายุความฟ้องคดีแพ่งอันเนื่องจากคดียักยอกทรัพย์มรดก
เมื่อแบ่งมรดกเสร็จแล้วความเป็นทายาทสิ้นสุดลง-อายุความมรดก
การแบ่งมรดกที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ
คดีมรดกต้องเป็นคดีที่ทายาทด้วยกันพิพาทกันเรื่องสิทธิในส่วนแบ่งมรดก
ขอให้ศาลสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดของผู้ตาย