
| (ฎีกาที่ 1280/2568) สัญญาประนีประนอมยอมความ & การผิดสัญญา
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความทำขึ้นเพื่อยุติข้อพิพาท แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพาณิชย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการผิดสัญญา จำเลยต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ อ้างอิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และ 852
สรุปข้อเท็จจริง • เดิมโจทก์ถูกฟ้องขับไล่ตามคำพิพากษาคดีแพ่ง ศาลสั่งให้ออกจากบ้านและที่ดินพิพาท • ต่อมา คู่ความรวม 5 ฝ่าย รวมถึงโจทก์และจำเลยทั้งสอง ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยตกลงให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพาณิชย์ 32 คูหาให้แก่แม่ของโจทก์ภายใน 1 ปี • หากโอนเสร็จสิ้น โจทก์ต้องย้ายออกจากบ้านพิพาทและส่งมอบกุญแจแก่จำเลย • แต่เมื่อครบกำหนด จำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์ และยังขอศาลออกหมายจับโจทก์เพื่อบังคับตามคดีเดิม • โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • แม้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นนอกศาลจะไม่ลบล้างผลของคำพิพากษาเดิม แต่ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 • ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความตาม มาตรา 852 ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่ตกลงไว้ และผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่าย • การที่จำเลยไม่โอนที่ดินและอาคารพาณิชย์ ถือเป็นการผิดสัญญา และยังยื่นคำร้องขับไล่โจทก์โดยไม่ชอบ • จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เดือนละ 10,000 บาท และต้นเงิน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ประเด็นทางกฎหมายและการวิเคราะห์ 1. ลักษณะของสัญญาประนีประนอมยอมความ (ป.พ.พ. มาตรา 850, 852) o ศาลยืนยันว่าข้อตกลงระงับข้อพิพาทที่ทำโดยสมัครใจ มีผลผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่าย แม้จะทำขึ้นนอกศาล o หากคู่สัญญาไม่ปฏิบัติตาม ถือเป็นการผิดสัญญาและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย 2. ความสัมพันธ์ระหว่างคำพิพากษาเดิมกับสัญญาใหม่ o แม้คำพิพากษาเดิมยังมีผล แต่เมื่อคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความใหม่ ข้อตกลงนั้นเป็นสิทธิใหม่ที่ผูกพันคู่สัญญา o จำเลยไม่สามารถอ้างสิทธิในคำพิพากษาเดิมเพื่อขับไล่โจทก์ได้ หากยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาใหม่ 3. ความรับผิดร่วมของกรรมการบริษัท o จำเลยที่ 2 เซ็นในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจและในฐานะส่วนตัว พร้อมประทับตราบริษัท o ศาลจึงเห็นว่าจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับบริษัท
IRAC Analysis Issue: จำเลยทั้งสองไม่โอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่ Rule: • ป.พ.พ. มาตรา 850: สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาที่คู่กรณีตกลงระงับข้อพิพาท • ป.พ.พ. มาตรา 852: ผลของสัญญาคือการสละสิทธิและได้สิทธิใหม่ตามที่กำหนดในสัญญา • หลักทั่วไปว่าผู้ไม่ปฏิบัติตามสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหาย Application: • คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสมัครใจ มีข้อความชัดเจนให้โอนกรรมสิทธิ์อาคารพาณิชย์ • จำเลยทั้งสองไม่โอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนดเวลา แต่กลับใช้สิทธิบังคับคดีเดิม ซึ่งขัดต่อเจตนาสัญญา • การกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์ฟ้อง Conclusion: จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ข้อคิดทางกฎหมาย • สัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ทำขึ้นนอกศาล แต่หากไม่มีข้อความขัดต่อกฎหมายย่อมมีผลบังคับใช้เสมือนสัญญาปกติ • การทำสัญญาลักษณะนี้ต้องระวังการกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน เพราะหากฝ่ายใดผิดสัญญาจะถูกบังคับใช้ตามกฎหมายทันที • กรรมการบริษัทที่ลงนามในสัญญาในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนนิติบุคคล อาจต้องรับผิดร่วมกับบริษัท
English Summary The Supreme Court Decision No. 1280/2025 concerns a compromise agreement between the parties. The defendants failed to transfer land and commercial buildings to the plaintiff’s mother as agreed. The Court held that the compromise agreement under Sections 850 and 852 of the Civil and Commercial Code was binding. The defendants’ failure constituted a breach, making them jointly liable to pay damages and interest to the plaintiff.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2568 ในระหว่างการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีเดิม โจทก์และจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 พร้อมกับคู่สัญญารวม 5 ฝ่าย ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ ระบุว่าคู่สัญญาทุกฝ่ายสมัครใจและยินยอมที่จะยุติข้อพิพาทในคดีให้เสร็จสิ้นจากศาล ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 กับคู่สัญญาฝ่ายอื่น รวมถึงโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่ 5 ให้เสร็จสิ้นไปจากศาลโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เมื่อไม่มีข้อความตอนใดขัดต่อกฎหมาย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ผลของสัญญาทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมีลักษณะเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนที่มุ่งจะบังคับให้มีการซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 แล้ว คู่สัญญาฝ่ายที่เหลือยินยอมจะปฏิบัติตามข้อตกลงแห่งสัญญาเป็นลำดับ เมื่อได้ความว่า จำเลยทั้งสองในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 ไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 5 จึงไม่จำต้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขับไล่โจทก์โดยขอให้ศาลออกหมายจับโจทก์ ทั้งที่ทราบดีว่าโจทก์ยังคงมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในสัญญา เช่นนี้ย่อมต้องถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารพาณิชย์ 32 คูหา ในโครงการสินอุดมช้อปปิ้งมอลล์ให้แก่มารดาโจทก์จนเสร็จสิ้น จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 70,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (17 สิงหาคม 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะจดทะเบียนโอนที่ดินและอาคารพาณิชย์ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2561 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี จากต้นเงิน 70,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 เดิมจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวกับพวกเคยฟ้องขับไล่โจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 598/2560 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์และบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 30/448 และที่ดินโฉนดเลขที่ 15568 จังหวัดนครศรีธรรมราช คดีถึงที่สุดแล้ว และศาลออกหมายบังคับคดีให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม 2561 โจทก์และจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 พร้อมกับคู่สัญญารวม 5 ฝ่าย ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำที่ศาลแขวงนครศรีธรรมราช ซึ่งมีข้อความโดยสรุปว่า คู่สัญญาทุกฝ่ายสมัครใจและยินยอมที่ยุติข้อพิพาททุกคดีให้เสร็จสิ้นไปจากศาล โดยจำเลยทั้งสองในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 ตกลงขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ 32 คูหา ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ และตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา โดยตกลงกันว่าในวันที่คู่สัญญาฝ่ายที่ 1 โอนที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ 32 คูหา ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 โจทก์ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 5 ตกลงขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร พร้อมส่งมอบการครอบครองและกุญแจบ้านพิพาทให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 1 รับไว้ในวันจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ ณ สำนักงานที่ดิน หากคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 ไม่ไปดำเนินการโอนที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ 32 คูหา ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 หรือไม่ดำเนินการตามที่ตกลงไว้ในสัญญานี้ ถือว่าคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 ประพฤติผิดสัญญา ยินยอมให้คู่ความฝ่ายที่ 3 ฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดได้ทันที แต่เมื่อครบกำหนด 1 ปี ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 ยังไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อาคารพาณิชย์ 32 คูหา ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 ได้ ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2564 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องเพื่อขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานให้ศาลออกหมายจับโจทก์เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีเดิม ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับโจทก์ โจทก์จึงยินยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นนอกศาล ซึ่งไม่อาจยกเลิกเพิกถอนหรือลบล้างผลของคำพิพากษาในคดีเดิม รวมทั้งไม่กระทบถึงสิทธิในการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีเดิมก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาได้ความว่า ในระหว่างการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีเดิม โจทก์และจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 พร้อมกับคู่สัญญารวม 5 ฝ่าย ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยระบุว่าคู่สัญญาทุกฝ่ายสมัครใจและยินยอมที่จะยุติข้อพิพาทในทุกคดีให้เสร็จสิ้นจากศาล ซึ่งระบุรวมถึงคดีเดิมที่โจทก์ถูกจำเลยที่ 2 กับพวกฟ้องขับไล่ออกจากบ้านและที่ดินพิพาทด้วย และเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ในคดีเดิมซึ่งเป็นบุตรและอยู่ในอำนาจปกครองของจำเลยที่ 2 ได้โต้แย้งคัดค้านการกระทำของจำเลยที่ 2 ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 กับคู่สัญญาฝ่ายอื่น รวมถึงโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่ 5 ให้เสร็จสิ้นไปจากศาลโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เมื่อไม่มีข้อความตอนใดขัดต่อกฎหมาย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ซึ่งมีผลผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่าย เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมีลักษณะเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนที่มุ่งจะบังคับให้มีการซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ 32 คูหา ในโครงการของจำเลยที่ 1 ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาเป็นสำคัญ โดยในวันที่คู่สัญญาฝ่ายที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ 32 คูหา ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 แล้ว คู่สัญญาฝ่ายที่เหลือยินยอมจะปฏิบัติตามข้อตกลงแห่งสัญญาต่อไปตามลำดับ เมื่อได้ความว่า จำเลยทั้งสองในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 1 ไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ 32 คูหา ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ 5 จึงไม่จำต้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขับไล่โจทก์โดยขอให้ศาลออกหมายจับโจทก์ ทั้งที่ทราบดีว่าโจทก์ยังคงมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในสัญญา เช่นนี้ ย่อมต้องถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 กระทำการนอกขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จำเลยที่ 2 กระทำการในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 พร้อมทั้งประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในเอกสารสัญญาทุกแผ่น จึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 กระทำในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความและใช้สิทธิบังคับคดีโดยไม่ชอบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องจำยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ก่อนฟ้องและหลังฟ้องแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท โดยเทียบเคียงกับค่าสินไหมทดแทนที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในคดีเดิม จึงนับว่าเหมาะสมและชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองล้วนฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|






.jpg)